ไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนกลุ่มนั้นก็มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง องครักษ์เฝ้าประตูเห็นว่าเป็กลุ่มของโจวโม่เสวียน ไหนเลยจะกล้าชักช้า จึงรีบเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไปทันที
เจียงชิงอวิ๋นกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือ เมื่อได้ยินว่าหลานของตนมาหาก็รีบออกไปพบที่ห้องโถง
“ท่านอา ท่านย่าให้ข้าพาองครักษ์สิบคนและนำอาหารอีกจำนวนหนึ่งมาให้ท่าน” เมื่อโจวโม่เสวียนพบเจียงชิงอวิ๋นที่มีใบหน้าขาวซีดร่างกายซูบผอม อีกทั้งใบหน้ายังซีดเซียว ก็รีบเข้าไปคารวะ คราวที่แล้วเจียงชิงอวิ๋นกล่าวคำพูดเสียดแทงหูยิ่งนัก ทั้งยังกล่าวคล้ายกลัวว่าตนจะอาเจียนจนขายหน้า ทำให้รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง เมื่อกลับไปแล้วจึงไปถามเอากับทหารเก่าประจำกองทัพเยี่ยน พบว่าเป็ดังที่อีกฝ่ายกล่าวจริงๆ จึงรับฟังอย่างตั้งใจ เจียงชิงอวิ๋นคิดทำเพื่อเขาจากใจจริง เขาไม่ใช่คนโง่ โทสะพลันมลายหายไป ทั้งยังรู้สึกเคารพเลื่อมใสเจียงชิงอวิ๋นที่เป็ท่านอาน้อยของตนมากขึ้นอีกด้วย
เจียงชิงอวิ๋นใช้สองมือประคองไหล่โจวโม่เสวียน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “ท่านน้าสบายดีหรือไม่”
“สบายดี ท่านเล่า?”
“ข้าก็สบายดี” เจียงชิงอวิ๋นเชิญโจวโม่เสวียนนั่ง โจวโม่เสวียนย่อมไม่กล้านั่งตามอำเภอใจ จึงเลือกนั่งในตำแหน่งรองลงมา
โจวโม่เสวียนเห็นเจียงชิงอวิ๋นสวมอาภรณ์ค่อนข้างหนา นี่เป็ปลายฤดูใบไม้ร่วง ยังไม่ทันเข้าฤดูหนาวก็สวมอาภรณ์หนาเพียงนี้แล้ว หากถึง่เดือนสิบสองจะทำอย่างไร “ฤดูหนาวของเมืองเยี่ยนหนาวยิ่งนัก ข้าได้ยินห่าวทงบอกมาว่า มีคนในอำเภอก่อเตียงเตาได้ หากจุดเตียงเตาในฤดูหนาวห้องจะอบอุ่นและไม่ทำให้อากาศแห้ง ข้าจะให้เขาไปหาคนมาก่อเตียงเตาให้ท่าน ดีหรือไม่”
“ข้าก็เคยได้ยินเื่เตียงเตามาเช่นกัน” เจียงชิงอวิ๋นยิ้ม “มีคนในหมู่บ้านก่อเตียงเตาแล้ว ข้าให้ผู้ดูแลในจวนไปสอบถามดู เขาบอกว่าไม่ได้สกปรกเช่นการจุดถ่าน ทั้งยังอบอุ่นมากด้วย เพียงแต่ต้องย้ายเตียงไปก่อเตียงดินโดยก่อติดกำแพง ข้าเห็นว่าต้องใช้ดิน จึงรู้สึกประหลาดใจถึงกับต้องไปดูด้วยตนเอง พบว่าเป็เช่นนั้นจริงๆ”
“ท่านอาจะยอมก่อเตียงเตาหรือ” โจวโม่เสวียนเคยบอกให้คนในครอบครัวก่อเตียงเตาแล้ว แต่คนในครอบครัวรังเกียจที่ต้องนอนบนเตียงดิน ซึ่งให้ความรู้สึกไม่เป็มงคลจึงไม่เห็นด้วย
“ยอม เพียงแต่คนที่รับก่อเตียงเตาบอกพ่อบ้านว่า พวกเขามีงานมาก ต้องทำตามลำดับ ซึ่งของข้าได้่ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า”
“เื่เล็กน้อยเพียงเท่านี้ หลานจะจัดการให้ท่านเอง”
เจียงชิงอวิ๋นยิ้ม “ได้ เช่นนั้นให้ข้าอาศัยบารมีเ้าเร่งการก่อเตียงเตาในจวนสักหน่อยแล้วกัน”
โจวโม่เสวียนออกคำสั่ง “จ้าวอี้ เ้าไปจัดการเื่ก่อเตียงเตาของจวนท่านอาให้ดี”
จ้าวอี้ตอบรับเต็มปากเต็มคำ ทั้งยังกล่าวเสริมด้วยว่า “ คุณชายเจียงขอรับ คราวนี้ในเสบียงอาหารที่ไท่เฟยนำมาให้ท่าน มีเต้าหู้ตระกูลหลี่จากอำเภอฉางผิงอยู่ด้วยขอรับ เต้าหู้ตระกูลหลี่กับขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ เป็อาหารที่ตระกูลหลี่แห่งหมู่บ้านหลี่ทำขึ้น เต้าหู้ตระกูลหลี่นี้เป็อาหารชนิดใหม่ ไท่เฟยเพิ่งเสวยไปเมื่อตอนเที่ยง พระนางทรงนึกถึงท่าน จึงให้ท่านเสี้ยนกงนำมาให้ท่านชิม”
เต้าหู้เป็สีขาว
ฉินไท่เฟยได้ยินมาว่า กินเต้าหู้จะช่วยบำรุงร่างกาย พระนางคิดว่าเจียงชิงอวิ๋นซูบผอมเกินไป ทั้งยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์ ย่อมไม่อาจกินเนื้อสัตว์ จึงให้โจวโม่เสวียนนำเต้าหู้มาให้ที่จวนเจียง
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าก็รู้จักเต้าหู้ตระกูลหลี่ มีชายวัยกลางคนมาขายอยู่ที่ตลาดเล็กในอำเภอฉางผิง ได้ยินว่าเต้าหู้ตระกูลหลี่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน นำไปทำอาหารหรือจะทำน้ำแกงก็ได้ พวกบ่าวไพร่ในจวนซื้อมาแล้วครั้งหนึ่ง โรงครัวเคยทำให้ข้ากินแล้ว อร่อยจริงๆ ข้าชอบกินมาก ทว่าพอส่งคนไปอีกครั้งกลับซื้อไม่ทัน ท่านน้ามีน้ำใจส่งมาให้ข้าเช่นนี้นับว่าเป็ลาภปากแล้ว”
“ท่านอา ข้าจะพาท่านไปดูองครักษ์” โจวโม่เสวียนเชิญเจียงชิงอวิ๋นออกไปจากห้องโถง ชี้นิ้วไปยังชายฉกรรจ์ในอาภรณ์สีดำทั้งสิบที่ยืนอยู่ในลาน “พวกเขามาจากทัพเยี่ยน เป็ทหารในจวนอ๋อง”
ก่อนหน้านี้จวนเจียงเคยมีองครักษ์เป็ของตนเอง องครักษ์ทุกคนถูกเลือกจากสิบเหลือหนึ่ง แต่องครักษ์ของจวนเยี่ยน อ๋องถูกเลือกจากร้อยเหลือหนึ่ง ทุกคนมีบุคลิกและลักษณะที่โเี้ดุดัน มีไอสังหารดังผู้ที่เคยฆ่าคนในสนามรบแผ่ออกมาอย่างมิอาจลบล้าง
คนทั้งสิบคุกเข่าลง กล่าวอย่างพร้อมเพรียงว่า “น้อมพบนายท่าน”
“ลุกขึ้นได้” เจียงชิงอวิ๋นรู้สึกขอบคุณจวนเยี่ยนอ๋องอีกครั้ง เขากล่าวกับโจวโม่เสวียนว่า “วันหน้าข้าจะไปขอบคุณญาติผู้พี่ด้วยตนเอง”
โจวโม่เสวียนโบกมือลาเจียงชิงอวิ๋นแล้วะโขึ้นม้า ควบไปไม่กี่จั้งก็หันกลับมา พบว่าเจียงชิงอวิ๋นยังยืนมองส่งตนอยู่ที่ประตู จึงฉีกยิ้มสว่างไสว “ท่านอา หลานหันกลับไปยังเห็นท่านอยู่อีก”
เจียงชิงอวิ๋นรอจนกระทั่งร่างของโจวโม่เสวียนลับตาไป แล้วค่อยกล่าวอย่างแ่เบาว่า “พวกเรากลับ”
“ขอรับ” ลุงฝูผู้ดูแลจวนเป็บ่าวเก่าแก่ของตระกูลเจียง ปีนี้อายุสี่สิบเจ็ดแล้ว เขามีร่างกายล่ำสัน ใบหน้าดำดวงตาเรียว มีรอยตีนกาบริเวณหางตา ดูมีอายุมากกว่าความเป็จริง
ในตอนที่ตระกูลเจียงประสบภัยพิบัติ ลุงฝูติดตามเจียงชิงอวิ๋นออกไปข้างนอกพอดีจึงหลบภัยไปได้ ทว่าภรรยาและบุตรของเขาล้วนเสียชีวิตทั้งหมด
เขาและเจียงชิงอวิ๋นจึงกลายเป็คนไร้บ้านไร้ครอบครัว
คนครัวของจวนเจียงเดินเข้ามาถามอย่างนอบน้อมว่า “ท่านผู้ดูแลขอรับ อาหารเย็นสามารถเพิ่มจานเต้าหู้ได้หรือไม่”
“ได้ ไท่เฟยส่งเต้าหู้มาให้อีก ทั้งนายท่านเป็คนกินจึงเพิ่มเติมเข้าไปได้ ต่อไปเื่เช่นนี้ไม่ต้องมาถามข้าอีก” ลุงฝูโบกมือให้คนครัวถอยออกไป
ทั่วทั้งจวนมีเพียงลุงฝูที่มาจากตระกูลเจียง ส่วนคนอื่นๆ มาจากจวนเยี่ยนอ๋อง
ตระกูลเจียงที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งยังมีชื่อเสียงดีงาม มาวันนี้กลับเหลือเพียงเจียงชิงอวิ๋นผู้เดียว ส่วนบ่าวเก่าแก่ของตระกูลเจียงก็เหลือรอดเพียงไม่กี่คน
เมื่อกล่าวถึงบ่าวเก่าแก่ของตระกูลเจียง นอกจากลุงฝูก็ยังมีสามีภรรยาอีกคู่หนึ่ง เมื่อหลายวันก่อนพวกเขาส่งจดหมายมาแจ้งว่า อีกไม่นานจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเจียงมายังเมืองเยี่ยน
ลุงฝูเฝ้ารอสามีภรรยาคู่นี้อย่างใจจดใจจ่อ เชื่อว่าเจียงชิงอวิ๋นที่ไม่แสดงท่าทีใดๆ ก็คงจะรอคอยเช่นเดียวกัน
เจียงชิงอวิ๋นกลับไปยังห้องหนังสือ เมื่อได้กลิ่นหอมจางๆ ของไม้จันทน์หอมโชยมาตามลมก็รู้สึกใจสงบ ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน และเริ่มอ่านหนังสือต่อไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา ลุงฝูก็เดินเข้ามาพร้อมกระดาษสองแผ่นในมือ “นายท่าน เชิญท่านตรวจสอบขอรับ นี่เป็ใบรายการของขวัญที่จวนอ๋องส่งมาให้ในคราวนี้”
เจียงชิงอวิ๋นค่อยๆ วางหนังสือลงแล้วหยิบใบรายการขึ้นมาอ่าน ยังคงเหมือนคราวที่แล้ว นอกจากภาพเขียนอักษรโบราณแล้วยังมีทองคำหนึ่งหีบและเงินอีกหนึ่งหีบ ของขวัญมากมายเช่นนี้รวมกันแล้วมีค่าถึงหมื่นตำลึง ทว่าเมื่อครู่โจวโม่เสวียนกลับกล่าวถึงเพียงเต้าหู้ที่มีราคาชั่งละไม่กี่ทองแดงเท่านั้น ทำให้เขาไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย น้ำใจเช่นนี้นับได้ว่าใส่ใจมากจริงๆ
ลุงฝูกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้จวนอ๋องมอบทหารให้พวกเราแล้วรวมสามสิบคน ไท่เฟยและท่านอ๋องดีต่อจวนพวกเราจริงๆ”
เจียงชิงอวิ๋นส่งใบรายการคืนให้ลุงฝู พลางคิดในใจว่า หากมีความสามารถและมีโอกาสจะต้องตอบแทนไท่เฟยและท่านอ๋องแน่นอน
ยามเย็นอาทิตย์คล้อยต่ำ เสียงนกร้องขับขาน แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านหลี่กำลังกินอาหารเย็นอยู่ในบ้าน ท่ามกลางแสงอันมืดสลัว
่นี้อากาศหนาวแล้ว หากนำอาหารที่เพิ่งออกจากกระทะมาวางบนโต๊ะไม่นานก็จะเย็น เมื่อคนเรากินอาหารเย็นๆ เข้าไปก็จะป่วยง่าย ทั้งยังไม่อาจออกไปนั่งกินที่ลานบ้านได้ ทำได้เพียงกินอยู่ในบ้านเท่านั้น
บนโต๊ะแปดเซียนในห้องโถงของบ้านหวังลี่ตง มีผัดไข่หนึ่งจาน ถั่วลิสงทอดหนึ่งจาน หมั่นโถวจากแป้งหยาบหนึ่งจาน และไหสุราสีดำหนึ่งไห นอกจากหวังลี่ตงและภรรยาแล้วยังมีชายฉกรรจ์ใบหน้ายาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย
ที่บ้านมีบุรุษมาเป็แขก หวังซื่อนิวบุตรสาวคนที่สี่ของหวังลี่ตงย่อมไม่อาจมาร่วมโต๊ะ ได้แต่ดื่มน้ำกินหมั่นโถวหยาบๆ อยู่ในครัว นางนึกถึงผัดไข่และถั่วลิสงทอดเ่าั้ยิ่งนัก หวังลี่ตงและภรรยาไม่ยอมให้นางกินแม้แต่คำเดียว มิใช่เพียงคราวนี้ เมื่อก่อนก็เป็เช่นนี้
ได้ยินเสียงชวีหงดังแว่วมาจากด้านนอกว่า “ซื่อนิว นังเด็กสมควรตาย ไสหัวออกมาเก็บกวาดเดี๋ยวนี้”
หวังซื่อนิวเดินก้มหน้าเข้ามาในห้องโถง รีบเก็บถ้วยชามที่ทุกคนกินกันเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เศษอาหาร ส่วนบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า เนื่องจากความเมามายจึงมองสำรวจหวังซื่อนิวอย่างไร้มารยาท ทั้งยังกล่าวหยอกล้อกับหวังลี่ตงว่า “ลูกสาวเ้างดงามจริงๆ”
ชวีหงแสยะยิ้มพูดขึ้นว่า “งดงามอันใดเล่า เปลืองเงิน”
หวังซื่อนิวก้มหน้าต่ำลง ถือถ้วยกับตะเกียบและรีบเดินออกไปโดยเร็ว ได้ยินเสียงชายวัยกลางคนดังแว่วมาอีกว่า “เื่นี้ก็เอาตามนี้ หลังจากสำเร็จจะมาขอบคุณอีกครั้ง”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้