“นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักโลหิตก็เข้ามาในโลกมายามรกตด้วย” อันอิ่งก้มหน้าลงมองซากศพนั้นหนึ่งครั้ง “ดูท่าแล้วสำนักภูตผี สำนักโลหิต และวังยมบาลคงจะจ้องเล่นงานพวกเราจริงๆ แค่ไม่รู้ว่าคนของวังยมบาล... ได้เข้ามาในโลกมายามรกตด้วยหรือไม่? หากเพิ่มคนของวังยมบาลเข้าไปด้วย การประลองในโลกมายามรกตในครั้งนี้ เกรงว่าพวกเราคงจะเจอโชคร้ายมากกว่าโชคดีสียแล้ว”
การปรากฏตัวของสำนักภูตผี ทำให้อันอิ่งที่เดิมทียังมีความมั่นใจ บัดนี้ไร้ซึ่งความเชื่อมั่นใดๆ ต่อการเดินทางในโลกมายามรกตอีก
“จะทำอย่างไรดี?” เจิ้งรุ่ยเองก็เริ่มร้อนรน “หรือว่าพวกเราจะหาพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งในโลกมายามรกต แล้วซ่อนตัวไปตลอดครึ่งปีนี้ดี? พอผ่านครึ่งปีไปแล้ว หากพวกเราไม่ได้ออกไปจากโลกมายามรกต ผู้าุโเ่าั้ที่อยู่ในสำนักจะต้องเข้ามาตรวจสอบดูอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะปลอดภัย”
ผู้ประลองคนอื่นๆ ล้วนไม่พูดไม่จาเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก
ก่อนหน้าที่ยังไม่มาทะเลทรายร้าง พวกเขายังมีความคิดที่ว่าเมื่อรวมตัวกับอีกสามสำนักจะบุกกลับไปที่เกาะน้ำแข็ง แล้วฆ่าลูกศิษย์ทุกคนของสำนักภูตผีให้สิ้นซาก
ทว่า พอเข้ามาในทะเลทรายร้างแห่งนี้กลับเห็นลูกศิษย์ของสำนักหลิงอวิ๋นตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของสำนักโลหิต
ทุกคนล้วนกลัวตาย เมื่อพวกคนของสำนักหลิงอวิ๋นที่พวกเขามองว่าเป็ผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ก็ยังตกอยู่ในสภาพยากลำบากซึ่งแม้แต่จะช่วยตัวเองก็ยังทำไม่ได้เช่นนี้ พวกเขาจึงไร้ความมั่นใจทันที
อันอิ่งเอง หลังจากที่เห็นศพของเด็กหนุ่มสำนักหลิงอวิ๋นคนนั้นก็เงียบงันลงไปเช่นกัน
นางกำลังตั้งใจพิจารณาถึงคำแนะนำของเจิ้งรุ่ย
“ทางนั้น!” อยู่ๆ พันเทาก็ชี้ไปยังท้องฟ้าในจุดลึกของทะเลทรายร้าง
เนี่ยเทียนหรี่ตามอง พบว่าเป็ควันสีแดงเข้มเส้นหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา ราวกับัตัวหนึ่งที่กำลังจะทะยานเข้าไปในท้องนภา
“สัญญาณขอความช่วยเหลือจากสำนักหลิงอวิ๋น!” อันอิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงใ
“คนของสำนักหลิงอวิ๋นน่าจะเจอกับปัญหาเช่นกัน และมีความเป็ไปได้มากว่ากำลังต่อสู้กับสำนักโลหิต!” พันเทาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “เจียงหลิงจูมีความสามารถไม่ธรรมดา ลำพังเพียงแค่กิ้งก่าดินน่าจะไม่มากพอให้นางปล่อยสัญญาณขอความช่วยเหลือ อีกอย่างกิ้งก่าดินยังเคยถูกข้าทำร้ายจนาเ็สาหัสที่เกาะน้ำแข็ง ใน่เวลาสั้นๆ มันไม่มีทางหายดีอย่างแน่นอน”
“สำนักหลิงอวิ๋นอาจจะกำลังถูกสำนักโลหิตไล่ฆ่าอยู่ รอพวกเราไปถึง บางที... พวกเขาอาจจะตายไปหลายคนแล้ว” เจิ้งรุ่ยสีหน้าเริ่มไม่เป็ปกติ “หากนอกจากสำนักโลหิตแล้ว ยังมีลูกศิษย์ของวังยมบาลอยู่ด้วย ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็จะยิ่งตายไวมากกว่าเดิม หากพวกเราตามไปอาจต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ต้องต่อสู้กับทั้งสำนักภูตผี และสำนักโลหิตพร้อมกัน ทุกคนคิดว่าควรจะทำอย่างไร?”
“พวกเ้า พวกเ้าคิดกันเอาเองเถอะนะ” กัวฉีกล่าวอย่างขลาดกลัว
เนี่ยเทียนมองออกถึงความขี้ขลาดและหวาดกลัวในดวงตาของเขา ในใจเขาคิดอะไร เนี่ยเทียนเองก็รู้ดี
“ข้าคิดว่า...” เนี่ยเทียนเอ่ยปาก
เขาเพิ่งเอ่ยขึ้นมา ที่น่าแปลกก็คือ สายตาของทุกคนพลันมารวมอยู่ที่ตัวของเขาทันที
“เ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?” พันเทากล่าว
“นับแต่ที่สำนักภูตผีและสำนักโลหิตปรากฏตัวในโลกมายามรกตแห่งนี้ พวกเราและอีกสามฝ่ายที่เหลือก็น่าจะมีผลประโยชน์ในด้านความเป็ความตายร่วมกัน ยิ่งคนของอีกสามฝ่ายตายไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่เป็ประโยชน์ต่อพวกเรามากเท่านั้น สามารถจินตนาการได้ว่า หลังจากที่คนทั้งสามฝ่ายตายไปหมดแล้ว สำนักภูตผีและสำนักโลหิตจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตามหาพวกเราอย่างแน่นอน”
“ยิ่งพวกเขาตายเร็ว สำนักภูตผีและสำนักโลหิตก็ยิ่งมีเวลามากขึ้นในการตามหาพวกเราในโลกมายามรกตแห่งนี้”
“หากสุดท้ายพวกเขาหาพวกเราเจอ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงใช้พลังของฝ่ายเดียวไปต่อกรกับทั้งสำนักภูตผีและสำนักโลหิต ไม่มีกองหนุนเหลืออีก”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็มองอันอิ่งด้วยสายตาล้ำลึก กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หากเ้าไร้ซึ่งความเชื่อมั่น ว่าหลังจากซ่อนตัวอยู่ในโลกมายามรกตแล้วจะไม่ถูกสำนักภูตผีและสำนักโลหิตหาเจอ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรรีบไปช่วยสำนักหลิงอวิ๋นโดยเร็วที่สุด”
“ข้า ข้า...” อันอิ่งกระอักกระอ่วน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยความหดหู่ว่า “โลกมายามรกตไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่พวกเ้าคิด ส่วนสำนักโลหิตก็เชี่ยวชาญในการตามหาคนผ่านการเคลื่อนไหวของกระแสเืมากที่สุด ข้าไม่คิดว่าหากพวกเราซ่อนตัวแล้วจะหลุดพ้นจากการตามหาของพวกเขาไปได้”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ พวกกัวฉีหน้าซีดขาว ราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้แล้วเ้าจะยังรออะไรอีกเล่า?” เนี่ยเทียนถามกลับ
“ก็ถูกของเ้า!” สายตาของอันอิ่งมองไปข้างหน้า ในที่สุดก็ตัดสินใจ ะโเสียงดังว่า “รีบตามไป ดูให้แน่ใจว่าสำนักหลิงอวิ๋นเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่!”
“ฟิ้ว!”
นางเพิ่งพูดจบ เนี่ยเทียนก็ราวกับลูกศรแหลมคมที่พุ่งออกจากแล่ง ถลาออกไปเป็คนแรก
คราวนี้เขาไม่ได้ปกปิดอะไรอีก พลังิญญาในร่างพลันะเิออก เมื่อประสานกับร่างกายของเขาที่เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ใช้ความเร็วนั้นที่แม้แต่อันอิ่งก็ยังตกตะลึง กระโจนทะยานไปด้วยความรวดเร็ว
ทางฝั่งของสำนักหลิงอวิ๋นมีเจียงหลิงจูและเนี่ยเสียนอยู่
เจียงหลิงจูที่มีโอกาสเจอกันหนึ่งครั้งในเมืองเฮยอวิ๋น นางคือแก้วตาดวงใจของเ้าสำนักหลิงอวิ๋นเจียงจือซู เขามีความประทับใจที่ไม่เลวนักต่อเจียงหลิงจู
ส่วนเนี่ยเสียนก็เป็เหมือนเขา ต่างก็เป็คนของตระกูลเนี่ยเหมือนกัน
ลำพังเพียงแค่เจียงหลิงจูและเนี่ยเสียน เมื่อสำนักหลิงอวิ๋นตกทุกข์ได้ยาก เขาจึงไม่สามารถแสร้งทำเป็นิ่งดูดายได้อีก
อีกอย่างเขารู้แน่ชัดดียิ่งกว่าทุกคนว่ามีเพียงผู้ประลองของสำนักหลิงอวิ๋นมีชีวิตอยู่เท่านั้น ความเป็ไปได้ที่พวกเขาจะรบชนะสำนักภูตผีและสำนักโลหิตจึงจะเพิ่มขึ้น
ถึง่เวลาคับขัน เขามักจะมองสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด รู้ว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะปกป้องตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยได้
เขาตระหนักอย่างชัดแจ้งว่า การช่วยสำนักหลิงอวิ๋นก็คือการช่วยตัวเขาเอง!
ในทะเลทรายร้าง ทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เจียงหลิงจูและพวกประลองสำนักหลิงอวิ๋นอย่างเนี่ยเสียนอีกหกคนกำลังต่อสู้กับพวกอวี๋ถงและอีกห้าคนจากสำนักโลหิต แสงสีเืมากมายหลายเส้นลอยละล่องหายไปอย่างรวดเร็วบนสนามรบ
มุมหนึ่งของสนามรบ ผู้ประลองสองคนของสำนักหลิงอวิ๋นนอนจมกองเือยู่ พวกเขาเพิ่งจะเสียชีวิตไปได้ไม่นาน
ตรงทะเลสาบ ยังมีศพของสัตว์วิเศษอีกหลายตัวที่เืและเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก แม้แต่กิ้งก่าดินตัวนั้นก็ยังเป็หนึ่งในซากศพนั้นด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเจียงหลิงจูเพิ่งจะหากิ้งก่าดินเจอในบริเวณใกล้เคียง หลังจากต่อสู้กันอย่างยากลำบากพักใหญ่ ถึงได้สังหารกิ้งก่าดินที่าเ็หนักตัวนั้นลงได้
ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมจะตัดหัวของกิ้งก่าดิน พวกห้าคนของสำนักโลหิตที่มีอวี๋ถงเป็ผู้นำก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
ราวกับว่าสำนักโลหิตคอยติดตามพวกเขามานานมากแล้ว และรอให้พวกเขาต่อสู้กับกิ้งก่าดินจนเสร็จสิ้นจึงปรากฏตัวออกมา
พวกเขาเพิ่งจะฆ่ากิ้งก่าดินได้ ยังไม่ทันที่จะพักผ่อนฟื้นฟูพละกำลัง พวกอวี๋ถงห้าคนก็ปรากฏกายทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เริ่มพุ่งเข้ามาประหัตปะากลุ่มของสำนักหลิงอวิ๋นทันที
ฝ่ายหนึ่งเหนื่อยล้าอ่อนกำลัง อีกฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยพละกำลังพร้อมรบ การต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่เท่าเทียมั้แ่เริ่มต้น
เพิ่งจะต่อสู้กันไปได้แค่หนึ่งเค่อ ผู้ประลองสองคนของสำนักหลิงอวิ๋นก็ถูกลูกศิษย์สำนักโลหิตฆ่าตาย
สำนักหลิงอวิ๋นที่เหลือกันเพียงหกคน เผชิญหน้ากับลูกศิษย์สำนักโลหิตห้าคนที่มีอวี๋ถงเป็ผู้นำ จึงตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างถึงที่สุด จำต้องปล่อยสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป หวังว่าเมื่อคนของอีกสามสำนักที่อยู่ใกล้เคียงมองเห็นจะรีบเข้ามาช่วยเหลือ
“เพี๊ยะๆ!”
ข้างกายของอวี๋ถง งูโลหิตยาวห้าหกเมตร ลำตัวหนาเท่านิ้วหัวแม่มือตัวหนึ่งส่งเสียงดังราวแส้เส้นหนึ่ง
งูโลหิตตัวแล้วตัวเล่าปล่อยกลิ่นคาวเืแสบจมูก ทั้งยังแฝงเร้นไว้ด้วยพลังแปลกประหลาดที่ทำให้กระแสเืของผู้คนสูญเสียการควบคุมตัวเอง
ขณะที่เจียงหลิงจูต่อสู้กับอวี๋ถง ยังต้องแบ่งสมาธิไปควบคุมการเคลื่อนไหวของกระแสเืในร่างกายด้วย สภาพของนางจึงย่ำแย่อย่างยิ่ง
“เพี๊ยะ!”
งูโลหิตตัวยาวตัวหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากพื้นทรายด้านหลังเจียงหลิงจู แล้วฟาดเข้าไปที่ด้านหลังของนางอย่างแรง
เจียงหลิงจูร้องด้วยความเ็ป ััได้ถึงความปวดแสบปวดร้อนที่ด้านหลังทันที ร่างของนางโซซัดโซเซถลาไปข้างหน้า
“เพี๊ยะๆ!”
ภายใต้การควบคุมของอวี๋ถง งูโลหิตจำนวนมากเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิมพุ่งเข้าฉกกัดนางราวกับ้าเขมือบกลืนนางเข้าไป
“โล่แปลงเมฆา!”
กลุ่มเมฆหลายก้อนพลันลอยออกมาจากโล่สีเงินที่เจียงหลิงจูถืออยู่ กลายมาเป็ชั้นป้องกันหนาแน่นปกคลุมไปทั่วกายที่โซซัดโซเซของเจียงหลิงจู
“เพี๊ยะๆ!”
งูโลหิตมากมายหลายตัวฟาดสะบัดลงบนเมฆหนาแน่นชั้นนอกจนเกิดเสียงเพี๊ยะๆ ดังเซ็งแซ่
เจียงหลิงจูหน้าซีดขาว คล้ายว่าสูญเสียพลังิญญาไปเป็จำนวนมาก นางกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า “นางคนต่ำช้า! หากไม่เป็เพราะก่อนหน้านั้นข้าสังหารกิ้งก่าดินจนสูญเสียพลังิญญาไปส่วนหนึ่ง ผู้หญิงอย่างเ้าก็อย่าได้หวังว่าจะโจมตีข้าได้”
“อ้อ” อวี๋ถงตอบรับอย่างเ็าหนึ่งประโยค สีหน้าไร้อารมณ์ ลงมืออย่างเหี้ยมโหดต่อไป
“ฟู่ว!”
และเวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งพลันเผยกายขึ้นมาอย่างกะทันหันด้านหลังเนินทราย
“เนี่ยเทียน!”
เนี่ยเสียนที่ถูกลูกศิษย์ของสำนักโลหิตคนหนึ่งบีบให้ต้องถอยร่นจนเกือบจะตกลงไปในทะเลสาบ พลันร้องอุทานอย่างตกตะลึง
“เนี่ยเทียน!” เจียงหลิงจูฮึกเหิมขึ้นมา กล่าวด้วยความปีติยินดี “อันอิ่งเล่า? พวกเขาตามมาด้วยหรือไม่?”
“อืม อีกเดี๋ยวก็มาถึงแล้ว” เนี่ยเทียนะโตอบ
พวกลูกศิษย์สำนักหลิงอวิ๋นที่ใกล้จะอยู่ในสภาพอับจนเต็มที พอได้ยินว่าคนของหอหลิงเป่ากำลังจะมาถึงในไม่ช้า ต่างก็ตื่นเต้นกันขึ้นมา
“ทุกคนอดทนกันอีกหน่อย!”
-----