เจิ้งสยาแอบฟังบทสนทนาอยู่นอกหน้าต่าง ใจเธอพลันเย็นวาบ ตัวสั่นไปทั่วร่างเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ทั้งที่เป็ฤดูร้อนอันอบอ้าว แต่เธอกลับหนาวเหลือเกิน
เธอไม่อยากแต่งให้คนขาพิการแซ่หลิว เธอเคยเห็นเขามาก่อน เป็บุรุษที่แก่ หน้าตาอัปลักษณ์และขาพิการ เท่านั้นยังไม่พอ เขาไม่เพียงอายุเยอะอย่างเดียว ยังหน้าเลยวัย อายุสามสิบกว่ากลับดูเหมือนคนอายุห้าสิบปี ซ้ำร้ายเขายังสกปรกมาก เสื้อผ้าเลอะเทอะ ร่างกายมอมแมม แถมฟันก็เหลือง เหตุใดเด็กสาวคนอื่นๆ ได้คบหาเด็กหนุ่มวัยรุ่น แต่เธอดันต้องแต่งให้ผู้ชายเช่นนี้เล่า? เจิ้งหยวนเองก็เป็ลูกสาวสกุลเจิ้งเหมือนกัน ทำไมเธอถึงโชคดีได้ทำข้อตกลงแต่งงานกับสกุลเฝิง? เฝิงเจี้ยนเหวินทั้งหล่อเหลา ทั้งตัวสูงใหญ่ ดีเสียขนาดนั้น เธอยังไม่พอใจ ไปหาคนรักในอำเภออยู่ดี
เล็บมือของเจิ้งสยาแทบจะทิ่มเข้าไปในด้ามจับไม้ของเคียว สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน
ขณะเดียวกัน พี่สาวที่อยู่ถัดจากเธอเดินไปจัดการรวงข้าวริมทางหลังเกี่ยวข้าวส่วนของตนเองเสร็จ เธอมองมาทางฝั่งเจิ้งหยวนแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างไม่พอใจนัก “อุ๊ย คุณหนูเจิ้ง เธอยังเกี่ยวของตัวเองไม่เสร็จอีกเหรอ?”
ที่ดินมีการคำนวณไว้แล้ว เจิ้งหยวนทำน้อย คนอื่นไม่ต้องทำมากขึ้นเหรอ? มิน่าคนในกองเดียวกันถึงไม่ชอบ ถึงกระนั้น เจิ้งหยวนกลับไม่โกรธ แถมยังเอ่ยตอบยิ้มๆ “ใกล้แล้วละ”
“งั้นเธอรีบเข้าเถอะ ฉันบอกเลยนะ ทำงานไม่มีเรี่ยวมีแรงแบบเธอ ระวังจะได้แต้มน้อยเอา!” พี่สาวคนนั้นยังไม่ยอมหยุดจิกกัด
เจิ้งหยวนยกแขนขึ้นปาดเหงื่อแล้วก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าว คร้านจะสนใจเธอต่อ เมื่อเห็นดังนั้นพี่สาวคนนั้นจึงหมดสนุก ก่อนเบะปาก ไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นไม่นาน เจิ้งหยวนก็เกี่ยวข้าวที่รับผิดชอบเสร็จ ทุกๆ คนจะวางข้าวที่เกี่ยวเรียบร้อยลงในเกวียน แล้วค่อยนำข้าวสาลีไปแผ่ที่ลานกว้าง เมื่อรวงข้าวเกือบแห้งแล้วก็จะใช้หินกลมมนกลิ้นบนรางข้าว ทำแบบนี้ซ้ำหลายๆ รอบ ท้ายที่สุดเมล็ดข้าวตามรวงข้าวก็จะแตกจนร่วงลงมา
ทุกคนกำลังวางข้าวสาลีกองบนเกวียนด้วยกัน เจิ้งสยากับเจิ้งหยวนรับผิดชอบหนึ่งคัน ทำเสร็จทั้งสองก็ลากข้าวสาลีไปที่ลาน และต้องระวังไม่ให้ข้าวสาลีร่วงตามทางด้วย
ลานข้าวสาลีอยู่ไม่ใกล้กับท้องนาที่นี่ แต่ก็ไม่ไกลเช่นกัน เพียงแต่ถนนลูกรังเดินลำบาก ลากรถต้องใช้แรงมาก ขนาดเจิ้งหยวนรองผ้าขนหนูไว้ใต้เชือกลาก ไหล่ยังโดนกดทับจนเจ็บระบมเลย
นี่มันไม่ใช่งานของมนุษย์แล้ว!
เจิ้งหยวนลากพลางพร่ำบนไม่ขาดปาก เธอรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงตัวเองกำลังจะหมดแล้ว แขนขาพลันสั่นระริกไปหมดจนอยากจะล้มลงนอนเสียตรงนั้น! กว่าจะขนย้ายข้าวสาลีมาถึงลานข้าว แล้ววางแผ่ให้เรียบร้อย เจิ้งหยวนก็เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออก
เธอทรุดตัวนั่งบนพื้น ก่อนเช็ดเหงื่อที่ซึมตามกรอบหน้าและบอกว่า “พี่เสี่ยวสยา พักสักเดี๋ยวค่อยกลับกันเถอะ”
เจิ้งสยาสอดส่องไปรอบๆ มีคนสองสามคนเหนื่อยจนทนไม่ไหว กำลังนั่งพักอยู่ไม่ไกลเหมือนกัน เธอหรี่ั์ตารับแสงแดดแยงตา และบังเอิญเห็นคนคุ้นหน้าคนหนึ่งเข้า ทันใดนั้นหัวใจเธอพลันสูบฉีดราวจะทะลุออกจากอก ไม่รู้เอาความร้ายกาจและความกล้ามาจากไหน ก่อนเอ่ยกับเจิ้งหยวนอย่างแ่เบา “เสี่ยวหยวน เธอจะไม่ยอมล้มเลิกงานแต่งงานกับสกุลเฝิงจริงๆ เหรอ?”
แม้เสียงของเธอจะเบาหวิว แต่ด้วยพื้นที่รอบข้างที่โล่งกว้าง และผู้หญิงสองสามคนนั่นนั่งอยู่ไม่ไกลสักเท่าไร จึงได้ยินเข้าพอดี เมื่อพวกเธอได้ยินก็หูผึ่งพร้อมมองมาทางนี้อย่างสอดรู้สอดเห็น
เจิ้งหยวนนั่งหันหลังให้คนเ่าั้ เลยไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง เธอเอื้อมมือไปหยิบขวดแก้วลงมาจากเกวียน เปิดฝามัน แล้วจิบหลายอึกดับกระหาย ก่อนหยักยิ้มบางเบาพลางเอ่ย “ทำไมฉันต้องล้มเลิกล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้เธอไม่อยากแต่งเข้าสกุลเฝิงไม่ใช่เหรอ?” เจิ้งสยากัดริมฝีปากล่างและพูด “แถมเธอยังมีคนรักในอำเภอเมืองแล้วด้วยนี่!”
เจิ้งหยวนจิบน้ำอีกอึกแล้วว่าต่อ “ตอนนั้นอายุฉันยังน้อยอยู่เลยนี่ เด็กเล็กจะไปเข้าใจอะไรล่ะ?” ก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อย แล้วกวาดสายตามองญาติผู้พี่ผ่านๆ พลันย้อนถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “อีกอย่าง... ฉันมีคนรักในเมืองั้แ่เมื่อไรกัน?”
“ฉันได้ยินเจวียนจื่อพูดกับหู เ้าตัวเป็น้องสาวเธอ คงไม่น่าแต่งเื่หรอกมั้ง?”
เจิ้งหยวนหมุดฝาขวดน้ำปิด และอธิบายอย่างใจเย็น “พี่ฟังผิดแล้วละ” ตอนนี้เธอถือหลักการให้ตายก็ไม่ยอมรับ ไม่ว่าใครมาถามตอนไหน เธอจะมีท่าทีเช่นนี้เสมอ
“เป็ไปไม่ได้ ฉันได้ยินมากับหู!” เจิ้งสยาเริ่มวิตกแล้วตะเบ็งเสียงสูงกะทันหัน “ฉันได้ยินเจวียนจื่อพูดเอง เธอหาคนในเมืองมาเป็คนรัก! คนคนนั้นทำงานในโรงงานเครื่องจักร เป็พนักงานรัฐด้วยไม่ใช่เหรอ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้