หลินเฟย ดวงตาเทพ...Return
ตอนที่ 1: มีดผ่าตัดสุดท้ายกับลมหายใจแรก
ปี 2024, โรงพยาบาลประชาชน แห่งมหานคร
แสงไฟในห้องผ่าตัดสว่างจ้าจนแสบตา กลิ่นยาฆ่าเชื้อและกลิ่นคาวเืจาง ๆ ปะปนกันอยู่ในอากาศเย็นเฉียบ เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพดังเป็จังหวะสม่ำเสมอ ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด... มันเป็เสียงเดียวที่บ่งบอกว่าชีวิตที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดยังคงดำเนินต่อไป
ท่ามกลางกลุ่มแพทย์ในชุดสีเขียว มีร่างหนึ่งที่โดดเด่นออกมา แม้จะอยู่ภายใต้หมวกและหน้ากากอนามัย แต่แววตาที่ฉายผ่านแว่นผ่าตัดนั้นกลับคมกริบและนิ่งสงบราวกับผืนน้ำในฤดูหนาว
“หมอหลิน...ผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันเืกำลังตก!” เสียงผู้ช่วยแพทย์ดังขึ้น ทำลายความเงียบงัน
หลินเฟยไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากแผลผ่าตัดขนาดใหญ่บริเวณช่องท้องของผู้ป่วย ดวงตาของนางยังคงจดจ้องไปยังภาพที่ซับซ้อนของอวัยวะภายในที่เปิดอยู่ตรงหน้า ปลายนิ้วที่เรียวยาวแต่ทรงพลังของนางขยับคีมและมีดผ่าตัดด้วยความเร็วและความแม่นยำที่น่าอัศจรรย์ ราวกับศิลปินเอกกำลังบรรเลงบทเพลงที่เดิมพันด้วยชีวิต
“เพิ่มนอร์อิพิเนฟริน 0.5 ไมโครกรัมต่อนาที เตรียมเครื่องกระตุกหัวใจไว้” เสียงของนางลอดผ่านหน้ากากออกมา แม้จะอ่อนล้าแต่ก็ยังเต็มไปด้วยอำนาจสั่งการที่เด็ดขาด
นี่คือชั่วโมงที่ 47 ของการผ่าตัดเคสเนื้องอกในตับอ่อนที่พันอยู่กับเส้นเืสำคัญ ซึ่งโรงพยาบาลอื่นอีกสามแห่งปฏิเสธไปแล้วเพราะความเสี่ยงสูงเกินไป แต่สำหรับ หลินเฟย ศัลยแพทย์อัจฉริยะวัย 32 ปี เ้าของฉายา "หัตถ์เทวะ" คำว่า "เป็ไปไม่ได้" ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของนาง
นางคือตำนานที่ยังมีชีวิตของวงการแพทย์ เป็คนที่โรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศต่างแย่งชิงตัวด้วยข้อเสนอราคางาม แต่หลินเฟยเลือกที่จะอยู่ที่นี่ โรงพยาบาลรัฐที่เต็มไปด้วยเคสยากๆ และท้าทาย เพราะสำหรับนาง การช่วยชีวิตคนคือสิ่งเสพติดชนิดเดียวที่นาง้า
“แยกเส้นเืแดงซูพีเรียมีเซนเทอริกสำเร็จแล้ว” นางประกาศเสียงเรียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจอภาพเป็ครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมง “เตรียมตัดเนื้องอกส่วนสุดท้าย...ขอคีมเดอเบคกีย์”
เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากของนาง แต่สมาธิยังคงแน่วแน่ราวกับภูผา นางใช้เวลาอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง ค่อย ๆ เลาะเนื้องอกร้ายกาจก้อนนั้นออกมาจากร่างของผู้ป่วยได้อย่างหมดจดราวกับปาฏิหาริย์
เมื่อก้อนเนื้อสุดท้ายถูกวางลงบนถาดสแตนเลส เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งห้องผ่าตัด ตามมาด้วยเสียงปรบมือเบา ๆ จากเหล่าแพทย์รุ่นน้องที่เข้ามาสังเกตการณ์
“เย็บปิดแผลได้เลย” หลินเฟยสั่งการเป็ประโยคสุดท้าย ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเริ่มพร่าเลือน ความตึงเครียดที่กดทับร่างกายนางมาเกือบสองวันเต็มได้คลายลงในฉับพลัน และความอ่อนล้าที่สะสมมานานหลายปีก็ถาโถมเข้าใส่ราวกับสึนามิ
นางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพเริ่มอื้ออึงในหู ร่างกายของนางเซถลาไปด้านหลัง...
“หมอหลิน!”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่นางได้ยิน ก่อนที่ทุกอย่างจะจมลงสู่ความมืดมิดอันเป็นิรันดร์...
....................................................................
ความเ็ป...
นั่นคือสิ่งแรกที่หลินเฟยรับรู้ได้ มันไม่ใช่ความเ็ปจากการยืนผ่าตัดนาน ๆ แต่เป็ความเ็ปที่เสียดแทงไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ความหนาวเย็นที่กัดกินเข้าถึงกระดูก และความหิวโหยที่บิดลำไส้จนแทบจะขาดใจ
เปลือกตาของนางหนักอึ้งราวกับมีแท่งตะกั่วถ่วงไว้ แต่นางก็พยายามฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพดานสีขาวของโรงพยาบาลหรือใบหน้าที่คุ้นเคยของเพื่อนร่วมงาน แต่มันคือหลังคาที่ทำจากฟางเก่า ๆ ซึ่งมีรูโหว่จนมองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดและหนาวเหน็บได้ ลมหนาวพัดกรูเข้ามาทางช่องโหว่และผนังดินที่แตกระแหง ปะทะเข้ากับร่างของนางที่สวมเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ที่แทบจะกันความหนาวไม่ได้เลย
นางนอนอยู่บนเตียงไม้ที่แข็งกระด้าง มีเพียงผ้าห่มบาง ๆ ที่ทั้งเหม็นอับและเต็มไปด้วยรอยปะชุนคลุมร่างอยู่ ที่นี่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้น? อุบัติเหตุ? หรือนางถูกลักพาตัว?
หลินเฟยพยายามจะขยับตัว แต่ความเ็ประลอกใหม่ก็แล่นปราดไปทั่วร่างพร้อมกับความทรงจำที่ไม่ใช่ของนาง!
ภาพของเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อ "หลินเฟย" เหมือนกันกับนาง...ภาพของกระท่อมซอมซ่อหลังนี้...ภาพของบิดาผู้ซื่อสัตย์แต่ถูกกดขี่จนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน...ภาพของมารดาที่นอนป่วยกระเสาะกระแสะอยู่บนเตียงอีกฝั่งของห้อง...ภาพของน้องชายตัวน้อยที่ผอมจนเห็นซี่โครง...
และภาพของความอยุติธรรม...
ภาพของ ท่านย่าหลิน หญิงชราหัวใจอำมหิตที่ลำเอียงรักแต่หลานจากบ้านใหญ่...ภาพของ ท่านลุงใหญ่ กับ ป้าใหญ่ ที่มีสายตาละโมบ คอยหาทางฮุบทุกสิ่งทุกอย่าง...ภาพของ หลินเวย ลูกพี่ลูกน้องที่ขี้อิจฉา คอยหาเื่กลั่นแกล้งนางสารพัด...
ภาพสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุด คือภาพที่ร่างนี้ถูกหลินเวยผลักตกน้ำในฤดูหนาวอันโหดร้าย เพียงเพราะนางไปขวางทางไม่ให้หลินเวยขโมยมันเทศชิ้นสุดท้ายของครอบครัวไป หลังจากถูกช่วยขึ้นมา นางก็ป่วยหนัก มีไข้สูงจนเพ้อ และค่อย ๆ สิ้นใจไปอย่างเดียวดายในกระท่อมหลังนี้...
“อึก!”
หลินเฟยในร่างใหม่ไอออกมาอย่างรุนแรง ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาปะทะกับจิติญญาของศัลยแพทย์จากศตวรรษที่ 21 อย่างจัง มันเหมือนกับการดูหนังชีวิตของคนอื่น แต่ความเ็ป ความอัปยศ ความหิวโหย และความสิ้นหวังนั้นกลับสมจริงราวกับเป็ของนางเอง
นี่นาง...ทะลุมิติหรือ?
เื่ไร้สาระที่เคยอ่านในนิยายออนไลน์เพื่อฆ่าเวลากลายเป็ความจริงที่โหดร้ายอยู่ตรงหน้า นางตายจากการทำงานหนักเกินไป และิญญาก็เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาวผู้อาภัพที่เพิ่งจะสิ้นใจไป
ช่างน่าขันสิ้นดี! ชีวิตก่อนนางคือ "หัตถ์เทวะ" ผู้ต่อสู้กับยมทูตเพื่อฉุดดึงชีวิตคนอื่นกลับมา แต่สุดท้ายนางกลับปล่อยให้ยมทูตพรากชีวิตตัวเองไปอย่างง่ายดาย และต้องมาอยู่ในร่างที่อ่อนแอและไร้ค่าเช่นนี้
"เฟยเอ๋อ...เฟยเอ๋อ... ฟื้นแล้วหรือลูก?" เสียงแหบแห้งที่เต็มไปด้วยความห่วงใยดังขึ้นจากเตียงฝั่งตรงข้าม
หลินเฟยหันไปมองช้า ๆ นางเห็นร่างของสตรีวัยกลางคนที่ซูบผอมจนใบหน้าตอบโลง แต่ดวงตานั้นยังคงฉายแววรักใคร่อย่างสุดซึ้ง นี่คือ ท่านแม่หลิว มารดาของร่างนี้ นางพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ไอออกมาอย่างรุนแรงจนตัวงอ
แค่ก...แค่ก...แค่ก!
มันไม่ใช่แค่การไอธรรมดา แต่เป็เสียงที่แหบแห้งและกร่อนมาจากส่วนลึกของปอด เป็เสียงที่บ่งบอกถึงอาการป่วยเรื้อรังที่กัดกินชีวิตมานาน สัญชาตญาณของศัลยแพทย์ในตัวหลินเฟยทำงานทันที นางเพ่งสายตาไปที่ร่างของมารดาโดยไม่รู้ตัว พยายามจะวินิจฉัยอาการจากภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน
และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง...โลกในสายตาของนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
ร่างกายของท่านแม่หลิวที่เคยเห็นเป็เพียงเงาราง ๆ ในความมืด บัดนี้กลับกลายเป็ภาพสามมิติที่โปร่งแสงในสายตาของนาง! นางมองเห็นโครงกระดูก, อวัยวะภายใน, เส้นเื และ...เส้นพลังงานประหลาดที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างซึ่งวิทยาศาสตร์ในโลกเก่าของนางไม่เคยรู้จักมาก่อน
"นี่มัน...อะไรกัน?" หลินเฟยพึมพำกับตัวเองด้วยความตกตะลึง
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่บริเวณทรวงอกของท่านแม่หลิวโดยอัตโนมัติ ภาพที่เห็นทำให้นางต้องสูดหายใจอย่างเย็นเยียบ นางเห็นเงาสีเทาดำที่เกาะกินอยู่บริเวณปอดด้านซ้ายอย่างชัดเจน เห็นเส้นลมปราณหลายเส้นที่อุดตันจนกลายเป็สีคล้ำ เห็นการไหลเวียนของโลหิตที่เชื่องช้าราวกับน้ำในหนองบึง และที่สำคัญที่สุด...นางมองเห็น "ไอเย็น" สีฟ้าจาง ๆ ที่ฝังลึกอยู่ในไขกระดูก มันคือต้นตอของโรคภัยทั้งหมด!
ภาวะปอดอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลาม ผสมกับภาวะขาดสารอาหารรุนแรง และความเย็นที่สะสมในร่างกายมานานจนทำลายระบบภูมิคุ้มกัน นี่คือการวินิจฉัยที่แม่นยำยิ่งกว่าการใช้เครื่อง CT Scan และ MRI รวมกันเสียอีก
"ดวงตาเทพ..."
คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของนาง หรือว่านี่คือพร์ที่ติดตัวิญญาของนางมาด้วย? พร์ที่เคยทำให้นางเป็สุดยอดแพทย์ในโลกเก่า บัดนี้มันได้พัฒนาไปสู่ระดับที่เหนือธรรมชาติในโลกใหม่!
แต่แล้วความจริงอันโหดร้ายก็ตามมาตบหน้านางอย่างจัง...แล้วจะอย่างไรเล่า? ในโลกเก่า นางมีห้องผ่าตัดที่ทันสมัยที่สุด มีทีมแพทย์ที่ดีที่สุด มียาปฏิชีวนะและเครื่องมือแพทย์ครบครัน แต่นางในตอนนี้...ในกระท่อมซอมซ่อที่แม้แต่อาหารจะกินยังแทบไม่มี นางจะเอาปัญญาอะไรไปรักษาโรคที่ซับซ้อนเช่นนี้? ความสามารถที่มองเห็นต้นตอของโรคได้ แต่กลับไม่มีปัญญาจะรักษา...มันช่างเป็เื่ตลกร้ายที่น่าสมเพชที่สุด!
แอ๊ด...
เสียงประตูไม้ที่ผุพังเปิดออก พร้อมกับร่างของบุรุษคนหนึ่งและเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่เดินเข้ามา บุรุษคนนั้นร่างสูงแต่ร่างกายกลับดูบอบบาง สวมเสื้อผ้าปุปะไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ในบ้าน บนใบหน้ามีริ้วรอยของความกรำงานหนัก และแววตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความรู้สึกผิดที่ปิดไม่มิด เขาคือ หลินเจิ้ง บิดาของร่างนี้
"เฟยเอ๋อ! เ้าฟื้นแล้ว!" หลินเจิ้งร้องออกมาด้วยความดีใจระคนโล่งอก เขารีบก้าวเข้ามาข้างเตียง มองดูลูกสาวด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรัก
ข้าง ๆ เขานั้นคือ หลินหยาง น้องชายวัยห้าขวบที่ผอมจนหัวโต ดวงตากลมใสของเด็กน้อยมองพี่สาวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ในมือเล็ก ๆ ที่ดำมอมแมมของเขา กำเศษหมั่นโถวที่แข็งราวกับก้อนหินและมีขนาดไม่ถึงครึ่งกำปั้นอยู่ชิ้นหนึ่ง
"พี่หญิง...กิน..." เด็กชายยื่นหมั่นโถวชิ้นนั้นมาตรงหน้าหลินเฟยด้วยท่าทางจริงจัง "ท่านพ่อบอกว่า...คนป่วยต้องกินข้าว...ถึงจะหาย"
ภาพนั้น...คำพูดนั้น...มันราวกับค้อนปอนด์ที่ทุบลงมากลางใจของหลินเฟยอย่างจัง
นางมองเศษหมั่นโถวที่แข็งกระด้าง...นี่คืออาหารของพวกเขาหรือ? มองใบหน้าที่ซูบตอบของทุกคนในครอบครัว...นี่คือสภาพชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญอยู่ทุกวันหรือ? ในชาติก่อนนางไม่เคยต้องกังวลเื่ปากท้องแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้...อาหารที่แข็งจนแทบจะใช้เป็อาวุธได้ชิ้นนี้ คือความห่วงใยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ครอบครัวนี้จะมอบให้กันได้
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตาของนางอย่างห้ามไม่อยู่
น้ำตาหยดนี้...ไม่เพียงแต่ไหลให้กับชะตากรรมของเด็กสาวผู้น่าสงสารเ้าของร่างเดิม แต่ยังไหลให้กับชีวิตศัลยแพทย์อัจฉริยะที่จบสิ้นลงของนางด้วย แต่หลังจากน้ำตาหยดนี้...จะไม่มีความอ่อนแออีกต่อไป!
หลินเฟยฝืนยันตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ รับเอาหมั่นโถวชิ้นนั้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนในครอบครัวด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป...แววตาที่เคยนิ่งสงบในห้องผ่าตัด บัดนี้มันกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้มองผู้ป่วย...แต่มองโชคชะตาที่อยู่ตรงหน้า
นางค่อย ๆ กัดหมั่นโถวที่แข็งโป๊กเข้าไปคำหนึ่ง มันบาดเหงือกและฝืดคอจนแทบกลืนไม่ลง แต่นางก็ฝืนเคี้ยวและกลืนมันลงไปจนได้
"ฉันไม่เป็ไรแล้ว" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าแต่หนักแน่น "ท่านพ่อ ท่านแม่
น้องชาย...วางใจเถอะ...จากนี้ไป ฉันจะไม่ยอมให้ใครต้องหิวโหยหรือเจ็บป่วยอีกต่อไป"
นางคือหลินเฟย... "หัตถ์เทวะ" ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อความตาย ในเมื่อ์ให้โอกาสนางได้มีชีวิตอีกครั้งในร่างนี้...นางก็จะขอพลิกชะตากรรมอันเน่าเฟะนี้ด้วยสองมือและมันสมองของนางเอง! าครั้งใหม่ของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...และศัตรูของนางในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่โรคภัยไข้เจ็บ...แต่คือความยากจน ความอยุติธรรม และโชคชะตาทั้งหมดของโลกใบนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้