มิคาดสตรีผู้นี้จะเกรี้ยวกราดขึ้นมา
“ในท้องน้อยของเขามีพลังปราณธรรมชาติอยู่”
อวิ๋นสือโม่จิบชาพลางมองเทียนซีอย่างรักใคร่
“ปราณตามธรรมชาติหรือ?”
ฮวาชีเยว่เข้าใจความหมายนั้นทันที มีเพียงผู้ที่ร่ำเรียนศาสตร์แห่งลมปราณมาแล้วจึงจะมีพลังปราณได้ แต่หากมีใครที่มีพลังนั้นั้แ่เกิดแล้ว...เทียนซีก็จะกลายเป็ปรมาจารย์ยอดฝีมือที่เหนือล้ำเกินหยั่ง
ฮวาชีเยว่ดึงตัวเทียนซีมาอย่างยินดี ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
การที่นางจะกลายเป็ผู้แข็งแกร่งนั้นมันไม่ใช่แผนระยะยาว แต่เป็ตอนที่บุตรของนางกลายเป็ผู้แข็งแกร่งแล้วต่างหาก เขาจึงจะปกป้องตนเองได้แม้นางจากไป
ด้วยพลังปราณธรรมชาตินี้ เทียนซีจะพัฒนาได้ไวกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า หมายความว่าในขณะที่คนทั่วไปพัฒนาไปได้เพียงหนึ่งขั้น เขาจะไปได้ถึงสองขั้น!
“ดังนั้น ข้าจึงอยากรับเขาไว้เป็ศิษย์” อวิ๋นสือโม่หรี่ตาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าต้องขอโทษสำหรับคำพูดเมื่อครู่ของข้าด้วย โปรดอย่าเก็บไปใส่ใจเลย เทียนซี เ้าจะรับข้าเป็อาจารย์ได้หรือไม่?”
อวิ๋นสือโม่จับมืออีกข้างของเทียนซี ยิ้มออกมา
ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้เขายังดุด่านาง แต่ตอนนี้เขากลับยิ้มให้นาง ในยามที่ฮวาชีเยว่ไปร้องขอความช่วยเหลือ เขาก็ข่มขู่ว่าจะจัดการเื่ของนางทีหลัง แต่ตอนนี้เขากลับพูดด้วยท่าทีถ่อมตนหรือ?! ฮึ การทำความเข้าใจความคิดของคนชั่วร้ายเป็เื่ยากโดยแท้
ทว่า...การมีเขาเป็อาจารย์จะเป็ประโยชน์ต่อเทียนซีในหลายด้าน โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเื่ที่ฮวาชีเยว่นั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรสายนเวทเลย แล้วจากนั้น เมื่อเทียนซีร่ำเรียนศาสตร์แห่งรสายนเวทแล้ว เขาจะกลายเป็ที่สุดแห่งการรสายนเวทและวรยุทธ์ ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในภพนี้ และนั่นเป็เื่ดีเหลือเกิน
“พวกเรา...จะเก็บไปคิดเ้าค่ะ!” แม้ฮวาชีเยว่จะมีความคิดของนางเอง แต่ยังไว้หน้าท่านอ๋องอยู่บ้าง
อวิ๋นสือโม่ในิ่งไปในขณะที่ปิงอี่เองก็โกรธขึ้นมาชัดเจน มิคาดเื่นี้ยังต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่อีก
หนานอ๋องผู้โด่งดังเป็ถึงหมอเทวดา เหตุใดฮวาชีเยว่ยังต้องคิดในขณะที่ผู้คนมากมายล้วนอยากเบียดร่างผ่านประตูจวนหนานอ๋องเข้ามา? นี่เป็ตรรกะแบบไหนกัน?
“เทียนซี ไปกันเถอะ!” เมื่อเห็นบุตรของนางอิ่มหนำแล้ว นางจึงพาเขาไปยังทางออก
เมื่อมองตามรูปลักษณ์อันงดงามของสตรีนางนั้นไปแล้ว ริมฝีปากของอวิ๋นสือโม่กระตุกในขณะที่จิตใจของเขาเศร้าหมองลง
ไม่เคยมีสตรีนางไหนเมินเขาเช่นนี้มาก่อน! แต่ฮวาชีเยว่กลับทำเช่นนั้นได้ สตรีผู้เคยเหลาะแหละและอ่อนแอผู้นี้ดูจะแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ
ในขณะเดียวกัน ผู้นำของสองตระกูลใหญ่ด้านสมุนไพรโอสถก็ต่างนั่งอ่านข้อมูลของฮวาชีเยว่อยู่ในห้องศึกษา
“ฮวาชีเยว่...นางเป็สตรีที่ขี้ขลาดทว่างดงามที่สุดในจวนสกุลฮวา ถูกอี๋เหนียงและสาวใช้รังแกั้แ่ยังเล็ก เหตุใดจู่ๆ จึงกลายมาเป็เช่นนี้ได้?” โอวหยางจิ่ง พ่อบ้านแห่งตระกูลโอวหยางคิ้วขมวดอย่างสงสัย
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสืบมาให้ได้ว่านางได้ต้นหลงแดงมาจากเสวียนจีจริงหรือไม่ สืบหามาด้วยว่านางยังติดต่อคนอื่นเื่อะไรอีก...อย่างไรทุกวันนี้โอสถเช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่ง เหตุใดนางจึงกล้าปลูกเอาไว้ในสวนโท่งๆ เช่นนั้นได้...” โอวหยางปั๋ว ผู้นำสกุลโอวหยางออกคำสั่งเสียงเย็น
เมื่อฮวาชีเยว่สั่งให้พ่อบ้านนำต้นหลงแดงสามต้นไปขาย นางก็ดึงดูดความสนใจจากตระกูลใหญ่ทั้งหมดได้แล้ว ยามนี้ข้อมูลของนางล้วนแต่อยู่ในมือพวกเขา
“ขอรับนายท่าน บ่าวจะส่งคนไปสืบให้เร็วที่สุดขอรับ” บ่าวข้างกายคนหนึ่งรับคำ
“เื่นี้จัดเป็เื่เร่งด่วนที่สุด หากเราชักช้า ผู้อื่นจะลงมือก่อน!” โอวหยางปั๋วสั่งการเสียงเคร่งเครียด
ผู้เฒ่าหลายคนล้วนแต่พยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง ต้นหลงแดงสำคัญต่อตระกูลเรานัก หากผู้อื่นได้ไปแล้ว...”
ตระกูลทรงอำนาจอื่นในวงการโอสถคงมีเพียงสกุลซย่า ตระกูลซย่ามีประวัติศาสตร์เกือบร้อยปี ผ่านการปลูกสมุนไพรมามากมายทั้งยังมีนักรสายนเวทอยู่ในมือหลายชีวิต
ทั้งสองตระกูลต่างก็้าตัวจี้เฟิง แต่สกุลจี้กลับไม่เห็นพวกเขาในสายตา
ถึงแม้ตระกูลซย่าและตระกูลโอวหยางจะเป็ที่ยอมรับในฐานะหัวหอกด้านโอสถสมุนไพร หากเทพโอสถกลับมีสมุนไพรปลูกเอาไว้มากมายยิ่งกว่า
ตระกูลจี้รักษาท่าทีสมถะ แทบไม่เคยติดต่อสองตระกูลใหญ่เลย อย่างไรเสีย ทั้งสองตระกูลก็สนแต่ยอดขายของโอสถสมุนไพร อันเป็แิที่ต่างจากตระกูลจี้โดยสิ้นเชิง
โอสถของตระกูลจี้นั้นมีไว้ขายให้ผู้ที่้ามันเท่านั้น และจะไม่มีการเพิ่มราคา
ตรงกันข้าม ตระกูลซย่าและโอวหยางนั้นดีดราคาขึ้นทุกปี ส่งผลให้คนมากมายชิงชังพวกเขา แต่เพราะตระกูลจี้อาศัยอยู่ในูเาอันห่างไกล ต้องใช้เวลานานในการเข้าถึง จึงทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อยาที่แพงกว่าในเมืองหลวงเพื่อประหยัดเวลา
ในยามนี้เมื่อตระกูลจี้ประกาศรับศิษย์ ทางตระกูลซย่าและตระกูลโอวหยางต่างก็มองว่าเป็การขยายตลาดจึงเริ่มกังวลขึ้นมา
“ท่านพ่อกล่าวถูกต้อง ฮวาชีเยว่เป็สตรีที่พิเศษ สามารถดึงดูดได้ทั้งจี้เฟิง จี้จิง และแม้แต่หนานอ๋อง” เสียงเ็าของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น นางคือบุตรีโอวหยางปั๋วนามโอวหยางหน่วน โอวหยางหน่วนนั้นหลงใหลจี้เฟิง แต่จี้เฟิงกลับไม่เคยแม้แต่จะมองหน้านาง
โอวหยางปั๋วมองบุตรีของเขาอย่างรักใคร่ “หน่วนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล พ่อจะล้างแค้นแทนเ้าเอง!”
เื่นี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน โอวหยางหน่วนสกุลโอวหยางเคยหมั้นหมายกับจี้เฟิงสกุลจี้อยู่
ทว่าสกุลจี้กลับไม่คิดเข้าร่วมวงจรค้ากำไรของสกุลโอวหยางจึงได้เกิดมีปากเสียงกัน ดังนั้นสกุลจี้จึงใช้เหตุนี้เป็ข้ออ้างในการถอนหมั้น
สตรีผู้หนึ่งถูกถอนหมั้นเช่นนี้นับเป็การหยามหน้าที่ร้ายแรงนัก
โอวหยางปั๋วอยากจ้างมือสังหารไปล้างโคตรตระกูลจี้ แต่โอวหยางหน่วนปฏิเสธ
นางกล่าวว่า้ากู้หน้าด้วยความสามารถของตนเอง
“แน่นอนว่าข้าเชื่อท่านพ่อ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” โอวหยางหน่วนหันหลังกลับไปอย่างงดงามแล้วจึงเดินออกประตูไป ดวงอาทิตย์สว่างไสวส่องแสงผ่านฟ้าชื้น ส่งสัญญาณถึงจุดเริ่มต้นของหน้าร้อน
ยามนี้ ทั้งตระกูลซย่า ตระกูลไป๋หลี่ และตระกูลเหลียวล้วนแต่กำลังพูดคุยถึงฮวาชีเยว่ ตัวฮวาชีเยว่เองคงมิคาดว่าการกระทำโดยไม่ตั้งใจในครั้งนั้นกลับดึงดูดความสนใจมากเพียงนี้
ตระกูลเหลียวเป็สำนักผู้ใช้วรยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุด พวกเขามักว่าจ้างจอมยุทธ์พเนจรให้มาทำงานลอบสังหารตามความ้าของลูกค้า
สกุลเหลียวแข็งแกร่งในแง่ของเส้นสาย เหตุผลสำคัญที่สุดของเื่นี้คือการที่ตระกูลเหลียวเป็ตระกูลของฮองเฮาพระองค์ปัจจุบัน จึงมีจุดยืนในเมืองหลวงที่มั่นคงเป็อย่างยิ่ง
หากตระกูลใดในตระกูลเหล่านี้ได้เมล็ดต้นหลงแดงไปแล้ว พวกเขาจะกลายเป็ตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดจนสามารถบดขยี้คู่แข่งทั้งหมดได้ทันที
หลายวันผ่านไปอย่างช้าๆ โดยไม่มีเื่น่าตื่นเต้นอันใดเกิดขึ้น
ในที่สุดฮวาชีเยว่ก็ยอมรับข้อเสนอรีบเทียนซีเป็ศิษย์ของหนานอ๋อง หนานอ๋องจึงเริ่มเดินเข้าออกจวนของนางด้วยกันกับเทียนซี
การประลองของตระกูลจี้เพิ่งจบไปเพียงครึ่งแรกเท่านั้น การแข่งรอบแรกนี้จะจบลงในอีกครึ่งเดือน
ทว่าตระกูลจี้เพิ่งเปลี่ยนกฎให้มีการแข่งในรอบกลางคืนเพิ่มขึ้นมาด้วย เมืองหลวงในยามนี้จึงมีชีวิตชีวาแม้ในยามค่ำคืน ดังนั้นการประลองรอบแรกนี้จะจบลงในเวลาอีกเพียงเจ็ดวันเท่านั้น
ยามนี้ จวนสกุลฮวาได้รับคำเชิญไปงานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาในอีกเจ็ดวันให้หลัง โดยทั้งตระกูลฮวาสามารถเข้าร่วมงานได้
เจ็ดวันต่อมา งานฉลองวันพระราชสมภพขอไทเฮาจึงเริ่มขึ้น ในเย็นวันนั้น ตำหนักชิ่งชุนได้เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา คนเดินเข้าออกไม่ขาดสายพร้อมถาดอาหารอร่อยชวนน้ำลายสอในมือ ทั้งยังมีผลไม้ ของหวาน และของขวัญจากเหล่าข้าราชบริพาร
ข้างในตำหนักชิ่งชุนนั้น เหล่าข้าราชบริพารกำลังสนุกไปกับฉางหลงฮ่องเต้ พระองค์เป็ฮ่องเต้ที่ได้รับความรักใคร่ เนื่องด้วยทรงเอาใจใส่เหล่าข้าราชบริพารและปวงชน ลดภาษีและของกำนัล ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลของไทเฮา ทั้งประเทศจึงอยู่ในความสงบสุข ชีวิตมีสุขและมีงานมั่นคงมากมาย
ทว่าในเบื้องลึกของการปกครองนี้ ยังคงมีการคดโกงจากภายใน ปัญหาเล็กๆ เช่นนี้จะรวมกันจนก่อเป็ปัญหาใหญ่ ทำให้มีผู้คนมากมายที่เกรงว่าความสงบสุขมั่นคงนี้เป็เพียงฉากหน้าที่คงอยู่ได้ไม่นานนัก
แม้ว่าองค์ไทเฮาจะมีพระชนมายุแปดสิบแปดชันษาแล้ว แต่ยังคงมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ทรงสวมเสื้อนอกสีแดงส่งรอยยิ้มอบอุ่นดุจญาติผู้ใหญ่ให้แก่ข้าราชบริพารเบื้องล่าง
ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องซ้ายของนาง ฮองเฮาประทับอยู่เบื้องขวา องค์ชายนั่งอยู่ทางซ้ายถัดไปจากบิดาในขณะที่องค์หญิงอยู่ถัดไปนั่งอยู่ทางขวา บรรยากาศของความมั่งคั่งแสนสุขแผ่กระจายไปทั่วราชวังภายใต้เสียงดนตรีอันอ่อนนุ่ม
องค์หญิงฮุ่ยหลิงลอบมององค์หญิงฮุ่ยเจินด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ
คืนนี้คงกลายเป็คืนที่วุ่นวายเป็แน่ องค์หญิงฮุ่ยหลิงมองซุ่ยเหลียน นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงฮุ่ยเจินอย่างเ็า คนออกมาปรากฏตัวพร้อมกับรอยแผลเป็บนใบหน้า
ซุ่ยเหลียนเคยเป็เด็กที่งดงาม แต่รอยแผลน่าเกลียดบนหน้านั้นทำให้นางสูญเสียความงามนั้นไป
ไทเฮามีความสุขนัก องค์ชายรัชทายาทหวงฝู่ฉางอวี๋มอบปะการังโลหิตัอันเลอค่ามาให้นาง และยามนี้มันกำลังส่องประกายงดงามอยู่เบื้องพระพักตร์
หวงฝู่ฉางอวี๋เป็อนาคตของอาณาจักรฉางจิง เนื่องจากฮ่องเต้มีองค์ชายอยู่เพียงไม่กี่พระองค์ นอกจากองค์ชายลำดับหนึ่งแล้ว ก็ยังมีองค์ชายสิบเอ็ด หวงฝู่เซิ่งหลินโอรสในพระสนมเหมยอยู่อีกพระองค์หนึ่ง
ที่จริงฮ่องเต้เคยมีพระโอรสมากมาย แต่องค์ชายอื่นๆ หากไม่าเ็ก็ป่วยแล้วพากันจากไปในที่สุด
ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้แต่งตั้งรัชทายาท แล้วเก็บหวงฝู่เซิ่งหลินไว้เป็ตัวสำรอง มีหมอดูชื่อดังรายหนึ่งกล่าวว่าล้วนเป็เพราะหินั์ที่อยู่กลางูเาอันเป็ที่ตั้งพระราชวัง ร่ำลือกันว่าหินั์นี้ทับที่เชื้อสายลูกหลานฮ่องเต้จึงเป็ผลให้องค์ชายมากมายสิ้นชีวิตไป
หวงฝู่เซิ่งหลินมอบภาพเขียนอันงดงามที่ทรงวาดด้วยตนเอง ภาพนี้ไทเฮาก็ชื่นชมเป็อันมากเช่นกัน
หวงฝู่เซิ่งหลินเป็โอรสในพระสนมเหมย และเป็พี่น้องขององค์หญิงฮุ่ยหยา สองพี่น้องล้วนแต่เป็คนดีอย่างยิ่ง แตกต่างกับองค์หญิงฮุ่ยหลิงและองค์หญิงฮุ่ยเจินโดยสิ้นเชิง
“ฮูหยินผู้เฒ่าฮวาจากจวนสกุลฮวามาถึงแล้ว!”
สิ้นเสียงรายงาน ฮูหยินผู้เฒ่าฮวาก็เดินนำคุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง และอี๋เหนียงสองแห่งจวนสกุลฮวาเข้ามา อี๋เหนียงสามและคุณหนูสามต่างก็ขอถอนตัวพักผ่อนอยู่ที่จวนเนื่องจากรู้สึกไม่สบายนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าฮวาสวมชุดคลุมสีเขียวที่ดูคล้ายเหรียญทองแดง ขณะที่คุณหนูฮวาชีเยว่สวมชุดคลุมสีเขียวอ่อน ตัวชุดนั้นไม่ได้ดูเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้หรูหรา เสริมใบหน้าอันงดงามของนางได้เป็อย่างดี
คุณหนูรอง ฮวาเมิ่งซือสวมชุดกระโปรงสีชมพู ช่วยให้นางดูน่ารักและงดงาม
เมื่อทั้งสามคารวะฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ก็ออกปากให้พวกนางนั่งลง ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มทักทาย “ผู้ชราขอให้ไทเฮาทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สุขสมบูรณ์ พระชนมายุยืนยาว”
ไทเฮาคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ฮูหยินผู้เฒ่าฮวาอย่ามากมารยาทไปเลย! พวกเราล้วนแต่เป็ครอบครัวใหญ่ครอบครัวเดียวทั้งสิ้น”
คำของนางทำให้ทุกสายตาจ้องมองฮูหยินผู้เฒ่าฮวาอย่างสงสัย สิ่งที่ไทเฮาตรัสหมายความว่าอย่างไรกันแน่?