"หึๆ ฉันไม่ได้คิดค้นสิ่งนี้ซะหน่อย" กู้เฟิงพูดเล่นไปกับเขาด้วย "มา อ้าปาก ยังเหลือเวลาฝึกอีหหนึ่งชั่วโมง เพียงพอให้นายสนุกไปกับมัน" ขณะที่พูด กู้เฟิงก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดเล็กๆ แล้วยัดลงไปในลำคอของฉู่อี้
ฉู่อี้จกลืนลงไปอย่างว่าง่าย เพียงแต่บ่นพึมพำเล็กน้อย "คราวหน้าขอน้ำหน่อยได้ไหม? น้ำลายก็ได้ นายอยากให้ยาติดคอฉันตายหรือไง!"
กู้เฟิงไม่ตอบ แต่ถอยหลังไปยืนข้างๆ เย่ถานและกอดอกรอ
หนึ่งนาที สองนาที สามนาที...ห้านาที...สิบนาทีผ่านไป
จู่ๆ ฉู่อี้ก็หัวเราะออกมา "เฟิงจื่อ วันนี้ให้ยาผิดหรือเปล่า? นายให้ฉันแคลเซียมเม็ดไม่ก็วิตามินแทนหรือเปล่า?"
กู้เฟิงตอบสนองต่อคำพูดของฉู่อี้ ด้วยการยกขวดขึ้นมาดู แล้วตอบเขากลับว่า "ดูเหมือนจะเป็หมากฝรั่ง"
"ฮ่าๆๆ นายหาเื่เดือดร้อนให้ตัวเองหรือไง? ถ้าพรุ่งนี้หมากฝรั่งนี่ติดลำไส้ฉัน...อื้อ..." ฉู่อี้ไม่ได้พูดประโยคที่เหลือ เพราะกู้เฟิงเปิดสวิตช์เครื่องสั่นสายสวนท่อปัสสาวะเสียก่อน
"ขอให้สนุกนะ อีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะกลับมา" พูดจบ กู้เฟิงและเย่ถานเดินออกมาพร้อมกัน
"เฮ้!" ฉู่อี้ะโไล่หลัง เมื่อสิ้นเสียงกู้เฟิง ในตอนที่เย่ถานคิดว่าฉู่อี้จะร้องขอให้กู้เฟิงเอาสิ่งนั้นออกไป กลับได้ยินฉู่อี้พูดว่า "อีกหนึ่งชั่วโมงต้องกลับมานะ ไม่งั้นฉันคิดถึงนายแย่เลย"
"นายคิดถึงฉันั้แ่ตอนนี้ได้เลย" กู้เฟิงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หลังจากลากตัวเย่ถานออกมาแล้ว ก็ปิดประตูห้องฝึกทันที
"นายยังบอกว่าฉันปล่อยเลยตามเลยอีกไหม?" เมื่อกลับมาถึงออฟฟิศของเย่ถาน กู้เฟิงจึงเอ่ยถามขึ้น
"นายให้ยาโป๊เขาไปกี่ครั้ง?" เย่ถานถาม
ในที่สุดก็เข้าใจประเด็นแล้วเหรอ? กู้เฟิงแค่นยิ้ม "สามวัน หกครั้ง"
"สองมื้อต่อวัน?" กินแทนข้าวหรือไง? ดวงตาของเย่ถานเบิกกว้างขึ้น
"ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันแล้วเหรอ!" กู้เฟิงนั่งบนเก้าอี้หมุนตัวใหญ่ของเย่ถาน
"คนทั่วไป อย่างว่าแต่หกครั้งเลย ปกติผ่านไปสักสองสามครั้งสมองก็เริ่มช้าลงแล้ว ไม่ว่านายจะป้อนอะไรเข้าไป ขอแค่หหน้าตาคล้ายกัน เขาก็จะคิดว่ามันเป็สิ่งเดียวกัน แล้วร่างกายก็จะตอบสนองภายใต้อิทธิพลของจิตสำนึก" เย่ถานขมวดคิ้ว
"อย่ามาพ่นตำรามากได้ไหม กินกับไม่กินก็หื่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ!" กู้เฟิงกดคลิกเม้าส์ไปเรื่อย แล้วเปิดมินิเกมบนเดสก์ท็อปของเย่ถาน
"นายรู้ได้ยังไง?" เย่ถานยังคงกังวลเื่ปัญหาของฉู่อี้
"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันทดลองกับเขา ในตอนที่ให้ยาโดสที่สี่ ฉันเปลี่นตัวาให้เขาไปครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่หลงกล อ้างอิงจากคำพูดของเขาเอง เขาบอกว่าคนเรามีความสามารถในการต้านทานยา ระยะเวลาออกฤทธิ์น่าจะนานขึ้นเรื่อยๆ ต้องค่อยๆ ปรับาถึงจะได้ผล" กู้เฟิงยกคำโต้แย้งของฉู่อี้ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เย่ถานฟัง
"เพราะงั้นเขาก็เลยรอจนกว่าร่างกายจะตอบสนองกับยาก่อนทุกครั้ง ถึงจะยอมจำนนงั้นเหรอ?"
"เปล่า แค่รอจนกว่าเขาจะไม่สามารถระงับการตอบสนองของร่างกายได้ สัญชาตญาณก็จะเข้ามาครอบงำจิตสำนึกของเขา"
"หมอนี่ น่ากลัวเกินไปแล้ว" มีใครประสาทแข็งแบบนี้อีกบ้างไหมเนี่ย? เขาพอจะเข้าใจแล้วว่ากู้เฟิงหมายถึงอะไร กู้เฟิง้าจะอาศัยจังหวะที่ร่างกายของฉู่อี้ศิโรราบต่อฤทธิ์ยา กำราบเขาก่อนหนึ่งที หลังจากครบสามครั้งแล้ว ค่อยเปลี่ยนเป็ยาอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็ยาโป๊ ทว่าฉู่อี้ยังคงติดในห้วงกามารมณ์ ถ้ากู้เฟิงบอกเขาเอาป่านนี้ว่าที่จริงมันไม่ใชยาโป๊ ฉู่อี้ต้องช็อกหนักอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ที่เกราะป้องกันทางจิตใจเริ่มคลายลง กู้เฟิงจะใช้วิธีการอันแข้งแกร่งตามสไตล์ของเขาเอาชนะได้ในครั้งเดียว แต่ความจริงต่างจากสิ่งที่คิด ชายคนนั้นไม่ได้หลงกล
"ชิ น่าเบื่อว่ะ" ในขณะที่เย่ถานยังคิดถึงเื่ของฉู่อี้ กู้เฟิงก็เล่นมินิเกมที่เย่ถานดาวน์โหลดมาเรียบร้อย ชีวิตช่างน่าเบื่อ สัตว์เลี้ยงน้อยๆ ตัวใหม่ของเขายังน่าสนใจกว่าอีก กู้เฟิงโยนเมาส์ลงบนโต๊ะ เตรียมจะกลับไปหาฉู่อี้เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของเขา
"เฟิงจื่อ นายล้างสถิติของฉันหมดเลย แล้วฉันจะเอาชนะนายได้ยังไงวะ?!" ตอนที่กู้เฟิงเดินออกมาจากห้อง ได้ยินเสียงเย่ถานที่ะโด่าไล่หลังด้วยความโมโหหลังเรียกสติคืนมาได้ แต่ว่าใครแคร์ล่ะ?
นับั้แ่เย่ถานไปดูการฝึกของฉู่อี้แค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยถามเกี่ยวกับการฝึกของกู้เฟิงอีกต่อไป เดิมทีเขาไม่เคยแทรกแซงการฝึกฝนของกู้เฟิง ถ้าไม่ใช่เพราะคราวนี้กู้เฟิงผิดปกติเกินไป เขาคงไม่คิดจะเอ่ยถาม ทีแรกเขาคิดว่าจะมีอะไรที่แปลกไป อย่างเช่น กู้เฟิงตกหลุมรักหรืออะไรทำนองนั้น? แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากไปเอง
เขาจำได้ว่าเคยถามกู้เฟิงว่าทำไมถึงไม่มีคนที่เขาถูกใจบ้าง? แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ยังไม่รับเลี้ยง สุดท้ายยกู้เฟิงก็ตอบเขาว่า 'นายก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ' อันที่จริงมันไม่เหมือนกัน กู้เฟิงไม่รู้ว่า เย่ถานเคยเกือบหลงรักเขามาแล้ว โชคดีที่มันคำลงแค่คำว่าเกือบ โชคดีที่เขาควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ แม้ว่าเย่ถานจะไม่ได้ฉลาดหลักแหลมเท่ากู้เฟิง แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่าในธุรกิจนี้ บางทีเป็เพื่อนกันคงจะคบกันยืดกว่า แต่ต้องขอบคุณที่เขารู้จักกู้เฟิงมากนาน ถ้าเขาได้พบกับกู้เฟิงในตอนนี้ เขาไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นับั้แ่วันที่เก้าเป็ต้นไป กู้เฟิงก็ตัดสินใจให้ฉู่อี้ฝึกโหดขึ้นไปอีกขั้น โดยหวังว่าจะทำลายความมั่นใจของอีกฝ่ายลงอย่างสิ้นซาก เนื้อหาของการฝึกไม่มีอะไรแปลกใหม่ ก็แค่การขังเดี่ยว เหตุผลที่การลงโทษแบบนี้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในเรือนจำหรือแม้กระทั่งในกองทัพ ก็แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมันคือการทรมานจิตใจของผู้ถูกคุมขังอย่างถึงที่สุด ส่วนห้องขังเดี่ยวของกู้เฟิงนั้นเข้มงวดกว่าห้องธรรมดา มันเป็ห้องมืดๆ ที่กว้างพอให้คนคนหนึ่งพอพลิกตัวได้นอกจากประตูที่ปิดสนิท ไม่มีหน้าต่าง อย่าว่าแต่ติดต่อกับโลกภายนอกเลย แม้แต่แสงสว่างสักเศษเสี้ยวก็ยังไม่มี ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งนั้น
"กลัวไหม?" กู้เฟิงถามฉู่อี้ขณะยืนอยู่หน้าห้องขังเดี่ยว
"ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ผลกับฉัน นายจะเชื่อไหม?" ฉู่อี้ยกยิ้มอย่างไม่แยแส
"ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง?"
ฉู่อี้ยักไหล่แล้วเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร แม้แต่ก่อนที่กู้เฟิงจะปิดประตู เขายังโบกมือให้อีกฝ่าย
อันที่จริงฉู่อี้ไม่ได้โกหก มันไม่ได้ผลกับเขาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวความมืดหรืออะไรแบบนั้น แต่เขาแทบจะเป็ผู้เชี่ยวชาญในเื่พรรค์นี้แล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาถูกลักพาตัว เขามักจะถูกขังในท้ายรถหรือในตู้เสื้อผ้าเล็กๆ หรือในตู้ติดผนัง ครั้งที่เลวร้ายที่สุดคือตอนที่เขาถูกขังไว้ในตู้เซฟ จนเกือบจะขาดอากาศ และครั้งที่ยาวนานที่สุด คือเขาถูกนำไปซ่อนตัวอยู่ในลิฟต์ร้างเป็เวลาเจ็ดวันเต็มๆ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่มักเป็โรคกลัวที่มืดมิดหรืออะไรทำนองนั้น จิตใจที่แข็งแกร่งช่วยให้เขารอดพ้นจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อผู้ช่วยเหลือจัดการกับคนลักพาตัวเรียบร้อยแต่หาตัวเขาไม่เจอ เขาพยายามตื่นตัว และทำทุกวิถีทางเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เหมือนตอนที่ติดอยู่ในลิฟท์ เขาเคาะท่อเป็เวลาสามชั่วโมง กว่าหน่วยกู้ภัยจะมาพบเขา ถ้าเขาสลบไปก่อน ป่านนี้คงได้ไปเข้าเฝ้าชาราแห่งนรกไปแล้ว
แต่ในขณะนี้ หลังจากตกอยู่ในห้วงของความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ฉู่อี้ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่เริ่มสำรวจรอบด้าน ของบางอย่างสามารถหลอกตาได้ แต่หลอกมือไม่ได้ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควรในการเข้าถึงทุกซอกทุกมุมอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ตอนนี้ฉู่อี้มีเวลาเหลือเฟือ ใครจะรู้ว่ากู้เฟิงจะขังเขาไว้นานแค่ไหน? และจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้คือเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ และยืนยันสถานการณ์ของเขาเอง
ฉู่อี้กะขนาดของที่แห่งนี้ด้วยสายตา ควาสูงไม่ถึงสองเมตร เพราะเมื่อเขาที่สู. 183 เิเยืนขึ้น ศีรษะก็เกือบจะติดกับเพดานแล้ว ส่วนความกว้างอาจจะไม่ถึง 1.5 เมตรเสียด้วยซ้ำ ฉู่อี้ยืดมือออกไปััผ้ากำมะหยี่หนาบนผนังสี่ด้าน ซึ่งบุด้วยฟองน้ำหลายชั้น ทำไปเพื่ออะไร? เพื่อป้องกันคนเอาหัวโขกกำแพงฆ่าตัวตายเหรอ?
และแล้วสิ่งแรกที่มีประโยชน์ที่ฉู่อี้ััได้คือช่องระบายอากาศ มันไม่ได้อยู่บนศีรษะของเขา แต่อยู่บริเวณเอวและหน้าท้องของเขา หลังจากพิจารณาแล้วเขาก็ถึงบางอ้อ ที่แท้พอมีคนเข้ามาก็ยืนอยู่ได้ไม่นาน พอนั่งลง ตำแหน่งปากกับจมูกจะอยู่สูงเกือบๆ ครึ่งตัวคน ดังนั้นมันจึงถูกออกแบบมาเช่นนี้ เพื่อให้คนด้านในหายใจได้สะดวกขึ้น! ช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกิน! ฉู่อี้ยิ้มเยาะ ไม่รู้ว่าการชมฝึกความอ่อนโยน เขาหรือครูฝึกกันแน่ที่มีปัญหา
อีกยี่สิบนาทีต่อมาหลังจากนั้น ฉู่อี้ก็ััเข้ากับกล้องเข็มที่้า มืดขนาดนี้ ติดกล้องไปจะเห็นอะไร? ฉู่อี้มองไปที่กล้องแล้ววิเคราะห์ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นึกถึงสิ่งที่เรียกว่ากล้องตรวจจับความร้อนขึ้นได้ ดังนั้นถึงจะไม่เข้าใจนัก แต่เขาก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ ว่ากู้เฟิงน่าจะเฝ้ามองเขาจากที่ไหนสักที่ ดังนั้นเขาจึงหันหน้าเข้าหากล้องและโบกมืออีกครั้ง
นอกจากนี้ฉู่อี้ยังััเข้ากับสิ่งของอื่นๆ อีกหลายชิ้น แต่เพราะเขาบอกไม่ได้ว่าพวกมันคืออะไรบ้าง จึงยอมแพ้ไป สองชั่วโมงต่อมา ฉู่อี้ทำความรู้จักสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็นั่งลงใกล้ช่องระบายอากาศ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับพื้นที่คับแคบอันมืดมิด ไม่ใช่ความมืด แต่เป็การไม่มีอะไรให้ทำต่างหาก ใช่แล้ว เมื่อว่างมากๆ ร่างกายจะไม่มีเื่ให้ต้องทำ สมองจะเริ่มประมวลความคิดแบบสุ่มๆ เช่น จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ออกโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆ ที่อากาศก็มีเพียงพอ จากนั้นอาการต่างๆ ของภาวะขาดออกซิเจนจะปรากฏขึ้น เช่นแน่นหน้าอก ใจสั่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอื่นๆ ในความเป็จริงมันเป็เพียงจิตสำนึกของที่บอกร่างกายตัวเอง จากนั้นร่างกายของเราก็ถูกครอบงำโดยจิตสำนึก และก่อให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม เื่แบบนี้ไม่ใช่ความจริงสำหรับฉู่อี้ ตอนที่เขาถูกลักพาตัวครั้งแรก ตอนอายุ 12 ปี หลังจากที่เขาเตะไฟท้ายรถที่เชื่อมต่อกับท้ายรถออกได้สำเร็จ พื้นที่มืดมิดก็ทำอะไรกับจิตใจและสติสัมปชัญญะของเขาไม่ได้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องหาอะไรทำสักอย่าง ไม่งั้นเขาจะเบื่อตายไปเสียก่อน
ก่อนหน้านี้เวลาที่เขาถูกลักพาตัว ฉู่อี้มักจะนับจังหวะการเต้นของหัวใจของตน เขาใช้วิธีนี้ในการบอกว่า หัวใจเต้น 65 ครั้งเท่ากับหนึ่งนาที ถึงจะไม่แม่นยำนัก แต่ก็ไม่เลวร้ายขนาดนั้น แต่ครั้งนี้เขาไม่คิดจะทำเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วกู้เฟิงไม่ใช่ผู้ร้ายลักพาตัว เขาจะไม่ปล่อยให้ตนตาย ทั้งหมดที่เขา้าคือการทำให้ตนยอมศิโรราบ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ร่างกายของเขาทนไม่ไหวจริงๆ หรือกู้เฟิงรู้ตัวแล้วว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลกับเขา เมื่อนั้นเขาจะได้ออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็ต้องคอยนับเวลาที่ถูกลักพาตัวไป และคำนวณโอกาสรอดชีวิตเหมือนตอนที่ถูกลักพาตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้