“ใช่แล้วจะอย่างไร? ไม่ใช่แล้วจะอย่างไรเล่า?” ไป๋ฉีขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความแปลกใจเล็กน้อย มองไปทางฉินอวี่ และถามขึ้นอย่างหยั่งเชิง “หากข้าได้เป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี เ้าจะท้าประลองกับข้าหรือ?”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่รู้สึกว่าคนที่สามารถทำให้ชิงเยว่หวังสนใจได้ล้วนแต่เป็คนในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี!” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย หากไป๋ฉีเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีจริงๆ ถึงตอนนั้นก็อยากจะท้าประลองกับเขาในตอนการประลองต่อสู้ และแน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
“เหอๆ เ้าคิดว่าเจ็ดสิบสองอสูรธรณีเอาชนะได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? เพียงแต่ ในการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณีครั้งต่อไป ข้าจะต้องประสบความสำเร็จ” ไป๋ฉีพูดอย่างมั่นใจ
“เ้าน่ะหรือ? ข้าไม่ได้ว่าเ้านะ เ้ามีความแตกฉานในการสร้างการจำกัดขวาง ถ้าเพียงทำเล่นๆ กันยังไม่เท่าไรนัก แต่หากจะร่วมการท้าประลองของเจ็ดสิบสองอสูรธรณี ก็ไม่รู้จะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ การจะเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีได้ก็มีโอกาสเพียงหนึ่งในล้าน” หวังมู่ชำเลืองมองไป๋ฉี และอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
ในขณะที่ไป๋ฉีจะตอบโต้กลับ ฉินอวี่ก็เริ่มร้อนใจ เวลามีอยู่ไม่มากนัก เขาไม่้าจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้น “ข้าจะขอตัวไปฝึกฝนตนสักระยะหนึ่ง พวกเ้าค่อยๆ คุยกันนะ” พูดจบ ฉินอวี่ก็เดินไปทางห้องด้านขวามือ
จวนแห่งนี้มีลักษณะเป็จวนซื่อเหอย่วนอย่างโบราณ มีห้องสองห้องอยู่ทางด้านซ้ายและขวา หนึ่งในนั้นมีอยู่ห้องหนึ่งทางด้านขวาที่มีร่องรอยของค่ายกลเวท ซึ่งน่าจะมีคนใช้ฝึกฝนอยู่ อีกห้องหนึ่งเป็ห้องว่าง ที่น่าจะไม่มีผู้ใดพักอาศัย
“เฮ้ หลี่โหย่วฉาย ข้าจะขอแนะนำว่าเ้าอย่าเข้าไปในห้องเลย ไม่เช่นนั้น ไม่นานห้องของเ้าก็คงต้องพัง” หวังมู่พูดเตือน
ฉินอวี่ก้าวไปหนึ่งก้าวและหยุดชะงัก สายตามองไปยังร่องรอยของพลังเวทที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “เพราะอะไร?”
“หากคิดจะพักอาศัยที่นี่ เ้าต้องลองดูก่อนว่าความสามารถของเ้าเพียงพอหรือไม่ มีคุณสมบัติพอที่จะอาศัยที่นี่หรือไม่ ไม่เช่นนั้น แม้แม่นางคนนั้นจะเป็คนพาเ้ามาด้วยตนเองก็ไม่อาจอาศัยได้” หวังมู่พูดเตือน
“จะยืนยันได้อย่างไร?” ฉินอวี่ถาม
“เหล่าเอ้อกำลังฝึกฝนอยู่ รอให้เขาออกมา เ้าก็ลองขัดขวางเขาดู หากไม่สามารถต้านทานได้ เ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่” หวังมู่จ้องมองฉินอวี่อย่างดูถูก
ฉินอวี่เหลือบมองห้องที่มีร่องรอยพลังเวทที่อยู่เบื้องหน้า พลางพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “รับทราบ” พูดจบ ฉินอวี่ก็ผลักประตูของห้องว่างนั้น และเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูทันที
“รนหาที่ตาย!” หวังมู่เหลือบมองไปทางประตู และพูดอย่างเ็า
“การทดสอบสามสิบหกขุนพล์ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เหล่าต้าก็กำลังเก็บตัวบำเพ็ญ หากเ้าไปรบกวน หรือทำให้เขาใ ฮึฮึ... จะมีจุดจบอย่างไรเ้าก็รู้ดี” ไป๋ฉีพูดจบก็หันหลังกลับออกไป เดินเข้าไปในห้องทางด้านซ้าย
หวังมู่ที่ถูกหยอกล้อดูถูกอยู่ก่อนหน้าเริ่มมีสีหน้ามืดมนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขามองไปยังโถงชั้นในด้วยความสยดสยอง พลันหดคอก้มหน้าลงทันที
ด้านฉินอวี่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้อง เมื่อได้ยินเสียงของไป๋ฉีที่อยู่ภายนอก ก็เผยความสงสัยออกมา มโนจิตของเขาสาดส่องออกไปทั่ว และพบว่ามีคนเพียงสี่คนรวมทั้งตนเองอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เหล่าเอ้อที่พูดถึงนั้นพักอยู่ห้องด้านข้างติดกับตนเอง แต่เหล่าต้า... อยู่ที่ไหนกัน? หรือว่าจะเป็โถงชั้นในที่มโนจิตของตนเองไม่สามารถััได้?
ฉินอวี่ระงับความสงสัยในใจเอาไว้ ก่อนจะเริ่มสร้างเกราะป้องกันไว้ในห้องของตน และเริ่มดิ่งลึกเข้าสู่การพิจารณา
“ตามสัญญาไท่กู่ ข้าต้องอยู่ในเหวลึกเป็เวลาสามปีจึงจะกลับออกไปได้ แม้ว่าจะมีสถานะเป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ และไม่ต้องกังวลอะไร แต่หากไม่สามารถเป็สามสิบหกขุนพล์ได้ ผู้เฒ่าร้องไห้จะต้องฆ่าข้าแน่นอน และหาก้าเป็สามสิบหกขุนพล์ก็จำเป็ต้องเป็เจ็บสิบสองอสูรธรณีเสียก่อน...”
“การท้าประลองคงจะยากกว่าที่คิดไว้มาก อย่างที่ไป๋ฉีบอกไว้ มีคนจำนวนมากที่ฝึกฝนอยู่อยู่ที่เมืองเทียนโหมวชั้นในเป็เวลาหลายปีแล้ว แม้ว่าเจ็ดสิบสองอสูรธรณีมักเป็คนระดับต่ำกว่าขั้นกุมารทิพย์ แต่การแทนที่ตำแหน่งในรอบหลายปีมานี้ คนที่เข้าไปได้เ่าั้น่าจะมีระดับการฝึกฝนถึงระดับสูงสุดของขั้นเทพ์แล้ว หากต้องต่อสู้กันโดยลำพังจริงๆ คงมีโอกาสไม่มากนักที่จะชนะ”
“ในการท้าประลอง หากไม่สามารถเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่งได้ก็คงไม่ก้าวหน้า ไม่เช่นนั้น ก็อาจมีผลต่อการทดสอบสามสิบหกขุนพล์ได้ นอกจากสภาวะปีศาจคลั่งแล้ว ข้าก็อาศัยได้เพียงเพลิงมรณะ เพลิงมรณะสามารถเผาผลาญช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตได้ แต่ก็จำเป็ต้องสร้างเกราะการป้องกันและการโจมตีให้แข็งแกร่งเสียก่อน ดังนั้น ลำพังเพียงเพลิงธรณีจึงยังไม่พอสำหรับชัยชนะ!”
“น่าเสียดายที่ไม่สามารถดูดซับแก่นโลหิตของหยาจื้อและเสวียนอู่ได้ ไม่เช่นนั้น หากหยิบยืมใช้พลังของแก่นโลหิตหยาจื้อและเสวียนอู่ ก็จะทำให้ข้าสามารถกระตุ้นสายเืหยาจื้อและเสวียนอู่ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน และหากใช้การเปลี่ยนแปลงขั้นที่สองของวิชาปีศาจคลั่ง แม้ว่าจะเป็สามสิบหกขุนพล์ก็มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะชนะได้ แต่น่าเสียดาย... ฟ้าดินกลั่นแกล้ง” ฉินอวี่ตัดพ้อและถอนหายใจ
ไม่ใช่ว่าฉินอวี่ไม่้าจะศึกษาวิชาผนึก หรือไม่คิดจะเข้าไปดูแผ่นผนึกว่านเซี่ยง แต่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้ามีรางวัลใหญ่รออยู่ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แค่ระงับตนเองไว้
“นอกจากสภาวะปีศาจคลั่งและเพลิงมรณะแล้ว สิ่งที่ข้าจะพึ่งได้ก็คงมีเพียงอสุนีคำราม แต่ถึงแม้อสุนีคำรามจะมีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นกุมารทิพย์ได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับการสังหารคนขั้นเทพ์ นอกเสียจาก... ต้องยกระดับให้สูงขึ้นเป็อสุนี์!”
ฉินอวี่ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า และกลับสู่ห้วงความคิด อันที่จริงเขามีพลังที่แข็งแกร่งเป็จำนวนมาก ขอเพียงมีเวลาให้เขา เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะได้เป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ แต่น่าเสียดาย ผู้เฒ่าร้องไห้กลับให้เวลาเขาเพียงสามปี!
“ตามที่ท่านพ่อบอกไว้ ท่านแม่อาจจะมอบสมบัติวิเศษบางอย่างไว้ในทะเลทุกข์ของข้า หากมุ่งมั่นฝึกฝนเป็เวลาหนึ่งปี จะสามารถเปิดจุดทะเลทุกข์ได้หรือไม่?” ในใจของฉินอวี่ปรากฏหนทางเช่นนี้ขึ้นมา แม่ของเขาได้มอบสิ่งใดทิ้งไว้ในจุดทะเลทุกข์ของเขากันแน่? ฉินอวี่เคยคิดจะหาคำตอบเช่นกัน แต่เป็เพราะจุดทะเลทุกข์ยังไม่ถูกเปิดออก จึงไม่มีหนทางใดมองเห็นได้
“แต่ไหนแต่ไร จุดทะเลทุกข์นับว่าเปิดใช้งานได้ยากที่สุด แม้ว่าการใช้เวลาตลอดหนึ่งปีอาจจะทำให้สามารถเปิดใช้งานได้ แต่ถึงตอนนั้นก็คงใกล้วันท้าประลองอสูรธรณีแล้ว ทะเลทุกข์ที่เพิ่งทำการเปิดออก ก็ยังไม่มีพละกำลังที่มากพออยู่ดี”
ฉินอวี่อารมณ์เสียขึ้นมาทันที แต่เวลากำลังเร่งเข้ามาเหลือเกินแล้ว
“ผู้เฒ่าร้องไห้รู้ความลับของตนเองมาั้แ่ต้นแล้วหรือ? ดังนั้นจึงมีเจตนาจะทดสอบตนเอง? ขยัน... สิ่งนี้จะได้มาด้วยความขยันหรือ? เช่นนั้นก็ต้องมีเวลาให้ข้าขยันสักหน่อยสิ” ฉินอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น
“เวลาหนึ่งปี ข้ามั่นใจว่าสามารถยกระดับการฝึกฝนขึ้นเป็ระดับสูงสุดของขั้นกุมารทิพย์ได้ แต่ถ้ามีการเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเทพ์ ก็คงเหลือแต่การเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่งและเพลิงมรณะเท่านั้นหรือ? หากสามารถยกระดับอสุนีลึกลับขึ้นเป็อสุนีคำรามประจำตัว และยกขึ้นเป็อสุนี์ได้ โอกาสที่จะชนะการท้าประลองก็จะยิ่งสูงมากขึ้นด้วย”
“ช้าก่อน อสุนีลึกลับของข้าแม้ว่าจะมีแรงกระตุ้นจากพลังอสุนีบาต แต่ร่างกายของข้าก็จำเป็ต้องมีสายเืของสายฟ้า หากสามารถกระตุ้นได้ เช่นนี้ก็จะเพียงพอต่อการได้รับวิชายุทธ์ที่สืบทอดหรือไม่? ถึงตอนนั้นก็ค่อยใช้วิชาปีศาจคลั่งในปริวรรตที่สองได้หรือไม่?”
“น่าเสียดาย ข้าเองก็ไม่มีหนทางจะนำพลังอสุนีบาตจากเมล็ดพันธุ์คืนชีพออกมาได้ ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงกระตุ้นสายเืข้าออกมาได้!”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฉินอวี่ก็ตกตะลึงไปทันที เขาพึมพำขึ้นมาด้วยตาที่เป็ประกาย “หากข้ามีสายเือสุนี แล้วท่านพ่อล่ะ? ท่านพ่อจะต้องมีด้วยหรือไม่? หรือว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน?”
ฉินอวี่เหมือนคิดอะไรได้อย่างกะทันหัน ก่อนใช้มโนจิตส่องเข้าไปภายในวงแหวนมิติ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็หยิบวงแหวนมิติสีดำออกมาวงหนึ่ง วงแหวนมิตินี้ คือสิ่งที่พ่อของเขามอบไว้ให้ก่อนออกมาจากเมืองหลักเทียนอู่ เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่เขาสะสมไว้นานหลายปี แต่ฉินอวี่กลับไม่เคยนำมาใส่ใจ จากมุมมองของเขา ท่านพ่อที่อยู่ขั้นพลังยุทธ์ชั้นที่เก้า จะมีทรัพยากรฝึกฝนอยู่สักเท่าไรกัน? แต่ตอนนี้หากเขาไม่คิดถึงมัน เขาก็แทบที่จะลืมไปแล้วว่ามีวงแหวนมิติวงนี้อยู่
ฉินอวี่สาดส่องมโนจิตเข้าไปในวงแหวนมิติสีดำด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นสิ่งของภายในวงแหวนมิติ ฉินอวี่ก็ใตัวสั่น และขนลุกไปทั่วทั้งร่าง
“เป็ไปได้อย่างไร! ท่านพ่อมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? ตระกูลฉินมีความลับอะไรอยู่อีกบ้าง?”
