เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับชิงผิงอ๋องได้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นหนึ่งเพราะเหตุการณ์นี้ และดูเหมือนว่าได้กลายเป็สหายที่สามารถพูดคุยอย่างเปิดอกกันได้แล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าในร่างกายของสตรีผู้นั้นเลี้ยงหมู่กู่ไว้หรือไม่ หากไม่ใช่นาง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเสาะหาผู้อื่นต่อไป
ในยามค่ำคืนที่อากาศเย็นสบาย เหยาเชียนเชียนกำลังพลิกชิ้นเนื้อย่างอยู่ภายใต้ศาลาในสวนดอกไม้ นางหวังว่าในเวลานี้ซ่งอีอีจะพาตัวสตรีนางนั้นกลับไปแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมีการสืบสวนภายในวังหลวงก็จะไม่มีร่องรอยใดๆ ที่อาจคาดเดามาถึงตัวพวกเขาได้
“หวังเฟยช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน” เป่ยเหลียนโม่เดินเข้ามาอย่างเนิบช้า เมื่อพินิจเนื้อย่างเ่าั้แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คราแรกเปิ่นหวังคิดว่าจะมีแต่อาเหยียนที่ชอบกินสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่เคยคิดว่าเ้าเองก็อาจจะชอบเหมือนกัน และยัง้าจะกินมันเสียทุกมื้อ”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกละอายเล็กน้อย นางรีบย้ายก้นตัวเองออกเพื่อเว้นที่ว่างให้สำหรับอีกคนหนึ่ง
“ท่านอ๋องนั่งตรงนี้สิเพคะ ในนี้ไม่โดนลมและไม่โดนควันหรอกเพคะ”
ชิงผิงอ๋องเพลิดเพลินกับความเป็มิตรของเหยาเชียนเชียนอย่างมีความสุข แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเนื้อย่างเหล่านี้ แต่การได้เห็นนางกินอาหารอย่างมีความสุขก็พลอยทำให้เขามีความสุขตามไปด้วย
เหยาเชียนเชียนบรรจงทาเครื่องปรุงรสลงบนเนื้อย่าง ก่อนหน้านี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่านางกับชิงผิงอ๋องจะสามารถนั่งด้วยกันได้อย่างสงบ และพูดคุยกันเื่เนื้อย่างได้อย่างสบายใจ
ไร้ซึ่งความกังวลว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต ไม่ต้องคอยหยั่งเชิงกันอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน ช่างดีเหลือเกิน
หลังจากนั่งมองสักระยะ เป่ยเหลียนโม่ก็พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “ทักษะของหวังเฟยช่ำชองยิ่งนัก ราวกับคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ ่ที่ยังไม่ออกเรือน ที่จวนสกุลเหยาทำของพวกนี้บ่อยหรือ?”
เสียงน้ำมันร้อนฉ่าดังเบาๆ การเคลื่อนไหวของเหยาเชียนเชียนหยุดชะงัก ที่นางมีฝีมือช่ำชองเช่นนี้ก็เพราะแต่ก่อนชอบกินปิ้งย่างกับเพื่อนร่วมงาน นางขยับร่างกายอย่างกับเป็เื่ปกติธรรมดา ทว่ากลับมองข้ามไปว่าสำหรับคุณหนูผู้สูงศักดิ์นั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็กิริยาที่ไม่งดงามอย่างยิ่ง
“บางที...บางทีหม่อมฉันอาจจะเห็นผู้อื่นทำมาก่อน กอปรกับเดิมทีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ยากอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่พลิกๆ ทาๆ เท่านั้น ดังนั้นท่านอ๋องก็เลยมองว่าเหมือนชำนาญเพคะ”
นางรีบวางเนื้อย่างลงและหยิบจอกสุรายื่นให้เป่ยเหลียนโม่พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “หม่อมฉันต้องขอคารวะท่านอ๋องสักจอก ขอบพระทัยท่านอ๋องที่วางแผนเหล่านี้เพื่อหม่อมฉัน และช่วยปกป้องชีวิตของหม่อมฉันเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่รับจอกสุรามา ปลายนิ้วของทั้งคู่ัักันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ในใจพวกเขาคล้ายกับมีระลอกคลื่นก่อตัว สุรานี้เมื่อดื่มคู่กับเนื้อย่าง ตัวสุราใสเย็นช่วยแก้เลี่ยนได้ดี และเป่ยเหลียนโม่รู้สึกว่ากลิ่นหอมของสุรานี้กำลังไหลวนอยู่ระหว่างริมฝีปากและลิ้นไม่จางหายไปเป็เวลานาน
“เ้าเป็หวังเฟยของเปิ่นหวัง เปิ่นหวังปกป้องเ้าก็เป็เื่สมควรแล้ว ไม่เพียงแค่ยามนี้ แต่รวมถึงในอนาคตด้วย” เขามองไปยังเหยาเชียนเชียน “ในอนาคตขอเพียงเปิ่นหวังยังอยู่ก็จะปกป้องหวังเฟยให้ปลอดภัยอยู่เสมอ”
ดังนั้นอย่าคิดที่จะจากไปอีกเลย ขอเพียงแค่อยู่เคียงข้างเขา เขาก็จะรักและปกป้องนางดังเช่นที่เขารักชีวิตของตนเอง และจะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งนางอีกแล้ว
เหยาเชียนเชียนก้มหน้าลง สายตาของเป่ยเหลียนโม่อ่อนโยนและอุ่นร้อนเกินไป และนั่นทำให้หัวใจของนางสับสนเสียจนไม่กล้าเงยหน้ามองเขา
ดูเหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไประหว่างคนทั้งสอง แต่นางกลับััได้เพียงเล็กน้อย
ยามนี้เป่ยเหลียนโม่ไม่ได้ผลักไสและระแวงนางอีกแล้ว นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็เื่ที่ดีที่สุดสำหรับนางเลย แต่หากเขาเริ่มยอมรับหวังเฟยอย่างนางแล้ว เช่นนั้นต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ การที่ได้อภิเษกสมรสกับท่านอ๋องเป็วาสนาของหม่อมฉัน ต่อไปหม่อมฉันจะรักอาเหยียนให้มากยิ่งขึ้น และจะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นมารังแกเขาได้”
เป่ยเหลียนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คำกล่าวนี้กล่าวได้อย่างสุภาพ ทว่าฟังแล้วกลับทำให้รู้สึกห่างเหิน แม้เขาจะรู้ว่าหัวใจของนางเพิ่งเปิดช่องว่างให้เขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่คำกล่าวมากพิธีเช่นนี้เขาไม่อยากฟังมันเลย
“อาเหยียนเป็บุตรชายของเปิ่นหวัง แล้วก็เป็บุตรของเ้าด้วยเช่นกัน เ้ารักและเอ็นดูเขาก็เป็เื่สมควรแล้ว เปิ่นหวังไม่มีสิ่งใดให้รู้สึกไม่วางใจเลย เื่ราวในอดีต เปิ่นหวังและหวังเฟยก็ลืมมันให้หมดเสียเถิด”
เหยาเชียนเชียนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ได้ๆๆ!
นางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เ้าของร่างเดิมเกือบจะบีบคออาเหยียนจนตายในคืนอภิเษกอยู่ตลอด สำหรับเป่ยเหลียนโม่ นี่เป็เสี้ยนหนามในใจที่คอยทิ่มแทงเขาตลอดเวลาเมื่อมีคนกล่าวถึงเื่นี้
แต่ยามนี้เขายอมรับกับปากเองว่าอาเหยียนเป็ลูกของนาง และยังบอกอีกว่าจะลืมเื่ในอดีตไปเสีย ดูท่าว่าสิ่งที่นางทุ่มเททำมาตลอดหลายวันจะไม่เสียแรงเปล่า ในที่สุดเขาก็เชื่อใจนางและให้อภัยเื่ในยามนั้นเสียที
“อาเหยียนสูญเสียแม่ไปั้แ่ยังเด็ก จิตใจของเขาบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นเล็กน้อย ดังนั้นเปิ่นหวังถึงได้ระแวงเ้ามาก หวังเฟยได้โปรดอย่าถือโทษเปิ่นหวังเลย”
ช่างเป็เด็กที่น่าสงสารเหลือเกิน เหยาเชียนเชียนส่ายหัวอย่างแรง เดิมทีเป็เพราะในยามนั้นเ้าของร่างเดิมฟังคำขององค์ชายสามจนเกือบจะกระทำความผิดร้ายแรงลงไป แม้ว่านางจะรู้สึกโชคร้ายไปบ้าง ทว่าก็เข้าใจความรู้สึกของเป่ยเหลียนโม่เป็อย่างดี
และหากเ้าของร่างเดิมทำร้ายอาเหยียนจนตายจริงๆ เกรงว่าความสัมพันธ์ของนางและเป่ยเหลียนโม่ในยามนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
“ในเมื่อท่านอ๋องบอกให้ลืมเลือนไป เช่นนั้นหม่อมฉันจะขออภัยท่านอ๋องและอาเหยียนเป็ครั้งสุดท้ายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น จากนี้ไปขอตัดเื่ราวในอดีตทิ้ง หม่อมฉันจะตั้งใจดูแลปกป้องอาเหยียนและเป็แม่ที่ดีเพคะ”
เหยาเชียนเชียนแหงนหน้าขึ้นและดื่มสุรานี้จนหมดจอก เป่ยเหลียนโม่ที่มองอยู่มีความสุขและรินสุราให้นางจนเต็มอีกจอก ลืมเลือนเื่ในอดีตไปเสีย ในที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็จะได้เริ่มต้นกันใหม่ั้แ่แรกได้เสียที
กลิ่นหอมของเนื้อย่าง ตามมาด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของสุรา และจิตใจอันผ่อนคลายอย่างถึงที่สุดทำให้เหยาเชียนเชียนรับประทานอาหารมื้อนี้ได้อย่างมีความสุขเป็ครั้งแรก
นับั้แ่นางมาที่นี่ ไม่มีวันใดเลยที่นางจะไม่รู้สึกทุกข์ใจ และเมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกพิษกู่อีก ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก
ค่ำคืนนี้บรรยากาศดี นางกอดกาสุราไว้อย่างโซซัดโซเซ และทอดมองไปยังเนื้อย่างด้วยแววตาเป็ประกาย ชิงผิงอ๋องผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ข้างกายนางกำลังหาเนื้อที่ย่างจนสุกแล้วให้นาง ช่างเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมจนอดมองไปยังเขาตรงๆ ไม่ได้
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนปิดปากหัวเราะ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่อุตส่าห์ลดเกียรติ หม่อมฉันจะลิ้มรสเนื้อย่างชิ้นนี้อย่างพิถีพิถันเลยเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่มองเข้าไปในดวงตาสุกใสของนาง และค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อย หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก็กระตุกยิ้ม
“เมาแล้วหรือ?”
เหยาเชียนเชียนยู่ปากพลางส่ายหน้า ไม่ใช่เสียหน่อย นางยกจานเล็กขึ้นมาอย่างว่าง่ายและรอให้เป่ยเหลียนโม่วางเนื้อลงบนนั้นราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่ตะกละตะกลาม แม้ว่ายามกำเริบเสิบสานจะน่าปวดหัวเพียงใด แต่ในยามนี้ที่นางมีท่าทางเชื่อฟังก็สามารถชวนให้ใจละลายได้เช่นกัน
“ร้อนหน่อยนะ” ชิงผิงอ๋องเอ่ยเตือน แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงสูดปากเบาๆ จากอีกฝ่าย เขาวางจานลงอย่างจนใจและบีบคางเล็กๆ ของนางไว้เพื่อดูอาการ “โดนลวกหรือ?”
ริมฝีปากอิ่มแดงเถือก กลิ่นสุราบนตัวเหยาเชียนเชียนลามไปจนถึงกลางกระหม่อม คางของนางถูกเชยขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใดนางถึงได้ยู่ปากอย่างเป็ธรรมชาติเช่นนั้น
เป่ยเหลียนโม่ชะงักการเคลื่อนไหวไปชั่วครู่ เขาช้อนสายตาขึ้นเพื่อละออกจากริมฝีปากแดงของนางอย่างช้าๆ เขาพินิจมองใบหน้างดงามนั้นทุกกระเบียดนิ้ว
บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเหยา แม่ของนางเป็หญิงขับร้องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ว่ากันว่านางงามล่มแคว้นล่มเมือง น่าเสียดายที่หลังจากแต่งงาน เหยาซื่อเฟิงไม่เคยดูแลนางให้ดี นางจึงได้จากโลกนี้ไปั้แ่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี
ดูจากใบหน้าของเหยาเชียนเชียนก็ยังคงจินตนาการถึงหญิงขับร้องผู้มีรูปโฉมงดงามในยามนั้นได้ เป่ยเหลียนโม่ไล้แก้มนางแ่เบา ใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงเล็กน้อยและยังมีอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติจากการดื่มสุรา
“แม้ว่าเปิ่นหวังจะไม่อยากฉวยโอกาสเอาเปรียบเ้า แต่ถึงอย่างไรเราสองคนก็เป็สามีภรรยากัน หากจะทำสิ่งที่สามีภรรยาทั่วไปทำกันสักเล็กน้อยก็คงไม่เป็ปัญหาใหญ่โต ใช่หรือไม่?”
สมองของเหยาเชียนเชียนพร่าเบลออยู่ก่อนแล้ว นางไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไรด้วยซ้ำ นางได้ยินเพียงคำว่า ‘สามีภรรยา’ เท่านั้น ดังนั้นนางจึงพยักหน้าตาม
นางมองเขาด้วยความไว้วางใจมากเหลือเกิน นั่นช่วยเพิ่มความกล้าหาญให้กับเป่ยเหลียนโม่มากขึ้น เขาใช้ความอ่อนโยนที่สะสมมาครึ่งชีวิตนี้ค่อยๆ ประทับลงบนริมฝีปากแดงนั้นอย่างแ่เบา
ราวกับสายลมอ่อนระลอกแรกในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านทะเลสาบที่น้ำแข็งและหิมะยังไม่ละลาย ราวกับสายลมที่พัดพาต่อเนื่องไม่ขาด่เป็เวลาหลายวัน และในที่สุดแสงแดดอันอบอุ่นก็สาดส่องออกมา
เป่ยเหลียนโม่ไม่เคยรู้สึกอบอุ่นใจเช่นนี้มาก่อน เขากอดคนในอ้อมแขนไว้แน่นเกือบจะทันทีราวกับได้โอบกอดความดีงามทั้งหมดในโลกใบนี้ไว้
“เชียนเชียน” เขาพึมพำชิดใบหูอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน นอกจากเรียกชื่อของนาง เป่ยเหลียนโม่ก็ไม่สามารถพูดอย่างอื่นได้อีก
เหยาเชียนเชียนหลับตาและดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย เป่ยเหลียนโม่มีความสุขมากจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจูบนางอีกสองครั้งอย่างอดใจไม่ไหว และครั้งนี้จึงตั้งใจจะพานางกลับไปส่งที่ห้อง
เขาตบใบหน้าเล็กนั้นเบาๆ หมายจะให้อีกฝ่ายมองตัวเองบ้างสักครั้ง ด้วยไม่อยากให้ความอบอุ่นในเวลานี้มีเพียงเขาคนเดียวที่จดจำไว้
“เชียนเชียน เชียนเชียน?”
สองตาของเหยาเชียนเชียนปิดสนิท ไม่เหมือนกับหลับใหล แต่ดูเหมือนสลบไปเสียมากกว่า
แค่จูบนิดหน่อยก็ยังเป็ลมไปเสียได้ ชิงผิงอ๋องเกิดความสงสัยขึ้นเป็ครั้งแรก เขาจึงพานางกลับไปส่งที่ห้องอย่างรีบร้อน เมื่อวางนางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้วจึงเรียกองครักษ์เงาเข้ามาดู
รอบตัวเขาไม่ขาดแคลนองครักษ์เงาที่มีทักษะทางการแพทย์ในระดับยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ทราบอาการที่ถูกพิษกู่ของเหยาเชียนเชียน
“ท่านอ๋อง” องครักษ์เงาหน้าถอดสีเล็กน้อยราวกับลังเลและเหมือนกับไม่อยากเชื่อเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าพิษกู่ของหวังเฟยจะถูกถอนออกแล้วขอรับ”
เป่ยเหลียนโม่มองไปยังเขาทันที “จริงหรือ?”
องครักษ์เงากลั้นลมหายใจและจับชีพจรอย่างละเอียด จากนั้นก็คุกเข่าลงพร้อมกล่าวว่า “ตรวจไม่พบร่องรอยของจื่อกู่แล้วจริงๆ ขอรับ หากหลับสนิทไปดังเช่นก่อนหน้านี้ก็ไม่อาจดูสงบนิ่งได้เช่นนี้ นอกเสียจากว่าหมู่กู่จะตายแล้วและจื่อกู่ก็ไม่อาจรอดไปได้เช่นกันขอรับ”
เหตุการณ์คลี่คลายอย่างกะทันหันเกินไป นั่นทำให้ชิงผิงอ๋องตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน เขาทอดมองเหยาเชียนเชียน อาจเป็เพราะนางดื่มสุราเข้าไป ใบหน้างดงามนั้นถึงได้ยังคงแต่งแต้มสีแดงระเรื่ออยู่หลายส่วน
องครักษ์เงากล่าวว่าเมื่อหมู่กู่ตายแล้ว จื่อกู่จะกระสับกระส่ายอยู่สักพัก ดังนั้นเหยาเชียนเชียนควรจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ไม่อาจนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่งทั้งยังมีใบหน้าแดงปลั่งอย่างในเวลานี้ได้
“บางทีหวังเฟยอาจจะเมา ดังนั้นจึงไม่ต้องแบกรับความเ็ปนั้น”
คำอธิบายนี้ถึงจะน่าขัน แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วก็เป็ไปได้ว่าอาจจะเป็เช่นนั้นจริง เป่ยเหลียนโม่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าโชคชะตาของหญิงสาวผู้นี้ดีหรือว่าไม่ดีกันแน่
“ช่างเถิด ไปสืบให้แน่ชัดว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้น หวังเฟยยังไม่ฟื้น รอนางฟื้นแล้วค่อยดูอีกทีว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ออกไปได้”
องครักษ์เงาพยักหน้าแล้วจากไป เหลือเพียงเป่ยเหลียนโม่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง เขาช่วยเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผากของนางอย่างแ่เบา ไม่รู้ว่าเป็เพราะเ็ปหรือว่าเพราะฤทธิ์สุราที่รีดเหงื่อออกมา
“ถอนพิษได้ก็ดี ถอนพิษได้แล้วเป็ดีที่สุด” เขากล่าวเบาๆ “จากนี้ไปเ้าจะแข็งแรง และอยู่เคียงข้างเปิ่นหวังตลอดไป”
พิษกู่ถูกขจัดออกไปแล้ว เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเป่ยเซวียนเฉิงจึงถูกตัดขาดจากกันโดยสมบูรณ์ ั้แ่นี้ไปนางจะเป็หวังเฟยของเขาเพียงคนเดียวและไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับผู้อื่นอีก
เหยาเชียนเชียนหลับใหลไม่ได้สติและรู้สึกคล้ายกับว่ามีบางอย่างกำลังจะออกมาจากร่างกายของนาง แต่นางรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรงเสียจนไม่สนใจความเ็ปนั้น เมื่อนางฟื้นขึ้นมาแล้วและนึกถึงเื่นี้ก็ดูเหมือนว่านางจะนอนหลับไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก
“ท่านแม่” อาเหยียนพิงซบอยู่ตรงขอบเตียง เขาทำตาปริบๆ รอคอยให้นางฟื้นขึ้นมา “ท่านแม่เป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
เหยาเชียนเชียนครุ่นคิดอย่างรอบคอบ เมื่อคืนนางกินเนื้อย่างกับชิงผิงอ๋อง หลังจากนั้น...หลังจากนั้นก็ยุ่งเหยิงไปหมดจนจำสิ่งใดไม่ได้แล้ว
“แม่ไม่เป็อะไร แค่เวียนหัวนิดหน่อย” นางกำชับบอกกับอาเหยียนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “วันหน้าอย่าได้ดื่มสุราง่ายๆ เล่า ดูเอาเถิดว่ามันรู้สึกแย่เพียงใด”
นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดเพ้อเจ้อถึงสิ่งใด หรือว่าทำตัวแปลกประหลาดกับชิงผิงอ๋องไปบ้างหรือไม่
