ยามค่ำคืนที่ผ่านมาเป็ครั้งแรกที่ฟู่หลงเหยียนไม่ฝันถึงเื่ราวในอดีต เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่จึงรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาหลายปี เขาไม่รู้จะขอบคุณสตรีที่แสนจะธรรมดาไม่เหมือนใคร แม้แต่ชื่อแซ่ก็ลืมถามไถ่กับนางไว้ก่อนจะจากกันไปเสียได้ ฟู่หลงเหยียนตั้งใจไว้ว่าเช้านี้เขาจะถามชื่อของนางเป็อย่างแรก
ทางด้านอวี้จิ่นที่เพิ่งตื่นนอนในต้นยามเฉินพอตั้งสติได้ ก็เกือบหัวทิ่มหัวตำลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบ เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงเวลาที่ฟู่หลงเหยียนจะมารับนาง เพื่อไปเก็บหลักฐานการกระทำความผิดของเ้าเมืองเฉียนโจว อวี้จิ่นรีบล้างหน้าบ้วนปากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมเผ้าทำเพียงเก็บรวบมัดยกเป็หางม้าเท่านั้น
เมื่อเดินออกมาด้านหน้าโรงเตี๊ยมบุรุษในชุดคลุมสีดำสองคน มายืนรอนางอยู่ก่อนแล้วพร้อมม้าอีกสองตัว ทำเอาอวี้จิ่นละอายใจเล็กน้อยได้แต่ยิ้มแหย ๆ กล่าวขอโทษที่นางตื่นสายทำให้ทั้งสองคนต้องรอนาน
“อุ๊ย! แฮะ ๆ ๆ ขออภัยเ้าค่ะที่ปล่อยให้พวกท่านรอนานเช่นนี้ ถ้าวันไหนข้าเข้านอนดึกมักจะตื่นสายเช่นนี้ประจำเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไรพวกข้าสองคนเพิ่งจะมาถึงไม่นานเช่นกัน เ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าหลักฐานทั้งหมดถูกเก็บซ่อนไว้ที่ใด” ฟู่หลงเหยียนไม่ถือสาถึงจะนานเขาก็รอนางได้
“ท่านเ้าเมืองให้คนสนิทนำหลักฐานทั้งหมดนั้น ไปซ่อนไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปในวัดประจำตระกูลอวี่ บนูเาซานลู่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองไปประมาณห้าสิบลี้เ้าค่ะ” อวี้จิ่นประมาณระยะทางตามภาพที่เห็นเพราะวัดนี้ไม่น่าจะอยู่ไกลมากนัก
“นายน้อยบ่าวจำได้ว่าวัดแห่งนั้นเป็ทางผ่านก่อนที่จะถึงเมืองเฉียนโจว และที่นั่นยังมีผู้คนไปทำบุญกราบไหว้ขอพรมากพอสมควรขอรับ” เฉินอิ่นจำวัดนี้ได้เพราะเขาสงสัยทำไมถึงสร้างวัดอยู่ติดเส้นทางหลักเช่นนี้
“อืม นี่ก็ไม่เช้าแล้วพวกเรารีบไปกันเถิด หากได้หลักฐานมาเร็วเท่าไหร่จะได้จับตัวขุนนางที่กระทำผิด และเดินทางกลับเมืองหลวงและเ้า....เ้าชื่อแซ่ว่าอันใดตัวข้าฟู่หลงเหยียน ส่วนคนสนิทของข้าชื่อเฉินอิ่นอีกสองคนที่เหลือไว้ค่อยทำความรู้จักทีหลังเถิด”
“อ่อ ข้าไม่มีแซ่ถูกเลี้ยงดูโดยหมอตำแยท่านหนึ่ง นางตั้งชื่อให้ข้าว่าอวี้จิ่นท่านก็เรียกชื่อนี้เถิดเ้าค่ะคุณชายฟู่” เพราะนางไม่มีแซ่จริง ๆ แม้แต่แซ่ของยายเฒ่าลิ่วนางยังไม่รู้
“เอาล่ะอวี้จิ่นพวกเรารีบไปที่วัดนั่นกันเถิด หากสายกว่านี้แดดจะแรงเสียก่อน” ฟู่หลงเหยียนชักชวนอวี้จิ่นที่ทำหน้าเหมือนมีคำถาม
“ข้าก็อยากไปให้เร็วอยู่นะเ้าคะแต่ว่ามีม้าแค่สองตัว แล้วมีคนสามคนจะไปกันอย่างไรหรือจะ...ว้ายยยย!!” อวี้จิ่นยังพูดไม่ทันจบร่างของนางก็ถูกมือหนายกขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็ที่เรียบร้อย
“พรึ่บ! หมับ! ทีนี้ก็ไปได้แล้วสินะ หึ ๆ”
ฟู่หลงเหยียนไม่ฟังคำถามของอวี้จิ่นให้จบเขาก็เดาได้ จึงรีบพานางขึ้นนั่งบนหลังเ้าเสี่ยวเฟิงพร้อมกับตัวของฟู่หลงเหยียน ที่นั่งซ้อนด้านหลังอวี้จิ่นไว้ส่วนมือของเขาก็กำเชือกไว้แน่น รอออกคำสั่งให้เสี่ยวเฟิงพุ่งทะยานไปตามถนนมุ่งหน้าออกนอกเมือง
“กะ กะ ก็ไปได้เ้าค่ะข้าแค่ในิดหน่อยแบบเพิ่งเคยขี่ม้าเป็ครั้งแรกเท่านั้นเองเ้าค่ะ ไม่ได้กลัวนะเ้าคะแค่รู้สึกตื่นเต้นเท่านั้นเอง แฮร่” ที่พูดโดยรวมความหมายของมันคือนางกลัวตก
“หืม ไม่กลัวก็ไม่กลัวจับไว้แน่น ๆ ก็แล้วกัน ย๊า!!”
“ย๊า!! ฮี้ ๆ ๆ กุบกับ ๆ ๆ”
ฟู่หลงเหยียนแอบขำเล็กน้อยกับการแก้ตัวของอวี้จิ่น นางบอกว่าไม่กลัวแต่กลับนั่งตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาจำต้องลดความเร็วของเสี่ยวเฟิงลงด้วยไม่อยากให้อวี้จิ่นกลัวการขี่ม้า ทั้งสามคนเดินทางมามาถึงเชิงเขาซานลู่ตอนต้นยามซื่อ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีผู้คนเดินขึ้นไปทำบุญบ้างประปราย ฟู่หลงเหยียนจึงอยากลงมือให้เร็วที่สุดยามที่มีคนน้อยเช่นนี้ อวี้จิ่นที่ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออกเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน เพราะพวกเขาจะเดินขึ้นไปโดยไม่มีท่าทีจะมาทำบุญไม่ได้
“เดี๋ยวเ้าค่ะคุณชายฟู่”
“หืม มีอะไรหรืออวี้จิ่นหรือว่าเ้ายังไม่หายกลัวการขี่ม้า” เขาหยุดเท้าเมื่อถูกอวี้จิ่นเรียกและคิดว่านางยังไม่หายกลัวจึงเย้าแหย่นางออกไป
“ชิ ไม่ใช่เื่ขี่ม้าเ้าค่ะแต่พวกเราจะเดินขึ้นตรง ๆ เช่นนี้ไม่ได้นะเ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะถูกพวกที่เป็นักบวชบนวัดนั่นสงสัยเอาได้เ้าค่ะ ท่านช่วยซื้อพวกดอกไม้จากชาวบ้านที่นำมาวางขายติดไม้ติดมือไปสักหน่อยเถิด”
“วิธีของคุณหนูอวี้จิ่นก็ดีนะขอรับนายน้อย พวกเราจะได้ไม่ดูแปลกแยกกับผู้คนที่มาทำบุญ แค่สวมเสื้อคลุมมาเช่นนี้ก็ดูน่าแปลกพออยู่แล้วนะขอรับ” เฉินอิ่นเห็นด้วยกับอวี้จิ่น
“อืม งั้นเ้าไปซื้อดอกไม้จากชาวบ้านมาหลาย ๆ ช่อก็แล้วกัน แล้วเ้าก็เป็คนถือเดินตามข้ากับอวี้จิ่นขึ้นไป้าเข้าใจไหมเฉินอิ่น” ฟู่หลงเหยียนสั่งเฉินอิ่นโดยไม่มองสีหน้าของคนสนิทที่กำลังตกตะลึง
‘นี่นายน้อยไม่คัดค้านเลยรึทั้งที่เกลียดดอกไม้มากถึงเพียงนั้น หรือว่าจะเป็คุณหนูอวี้จิ่นที่จะทำให้นายน้อยอยากมีความรักอีกครั้ง’
“เอ่อ คุณชายฟู่ทำไมพี่เฉินอิ่นถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ล่ะเ้าคะ” อวี้จิ่นได้ยินฟู่หลงเหยียนสั่งคนสนิทที่เห็นด้วยกับนาง แต่คนสนิทดันไม่ยอมขยับตัวทำตามคำสั่ง
“หืม เ้าเรียกข้าว่าคุณชายฟู่แต่กับเฉินอิ่นกลับเรียกว่าพี่งั้นหรือ ทั้งที่ข้าอายุน้อยกว่าเฉินอิ่นถึงห้าปีเชียวนะอวี้จิ่น คนที่เ้าควรเรียกว่าพี่คือข้าส่วนเฉินอิ่นเ้าต้องเรียกเขาว่าน้าเข้าใจไหม” ฟู่หลงเหยียนไม่สนใจคำถามของอวี้จิ่นแต่เขากลับไม่พอใจ เื่ที่นางเรียกสรรพนามของตนเองอย่างห่างเหินและกับเฉินอิ่นนางดันเรียกอย่างสนิท
“ห๊ะ!!/ห๊า!!”
เฉินอิ่นที่ยืนนิ่งกับความคิดของตนเองอยู่นั้น พอได้ยินเ้านายบอกให้อวี้จิ่นเรียกตนว่าน้าและต้องเรียกเ้านายว่าพี่ นี่ยิ่งทำให้เฉินอิ่นใยิ่งกว่าการให้เขาไปซื้อดอกไม้เสียอีก แม้แต่อดีตคนรักของเ้านายยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ ไม่ต่างกับอวี้จิ่นที่งงกับคำพูดของคนร่างสูงเพราะเสียงที่พูดออกมา นางรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจและพอจะอธิบายเขาก็สะบัดหน้าเดินขึ้นบันไดไปเสียทื่อ ๆ
“เอ่อ ตะ ตะ แต่ว่าพี่เฉินอิ่นอายุน่าจะไม่มากทะ...”
“หึ พรึ่บ!!”
“อะ อ้าว เดี๋ยวสิเ้าคะ!! ข้ายังพูดไม่จบทำไมต้องเดินหนีด้วยเล่า ทำเป็คนแก่หัวล้านขี้น้อยใจไปได้ ฮึ่ย!”
“คะ คะ คุณหนูอวี้จิ่นข้าว่าท่านทำตามที่นายน้อยบอกเถิดนะ ถ้าได้เจอตงลู่กับอู๋จิ้งท่านก็เรียกสองคนนั้นว่าน้าด้วยเช่นกัน ถือว่าเมตตาสงสารพวกข้าสามคนสักครั้งนะคุณหนูอวี้จิ่น”
“อะไรกันทั้งนายทั้งบ่าวช่างเถอะ ๆ ท่านรีบไปซื้อดอกไม้จะดีกว่า โน่นเ้านายท่านเดินไปได้จะครึ่งทางอยู่แล้วนะ ขอบอกไว้ก่อนว่าข้าไม่มีทางวิ่งตามขึ้นไปเด็ดขาดเพราะมันจะเหนื่อยเกินไป ถ้าเ้านายของท่านอยากขึ้นไปให้ถึงโดยเร็วก็เดินกลับลงมาอุ้มข้าก็แล้วกัน เชอะ” อวี้จิ่นลืมไปว่าในโลกนี้คนที่มีวรยุทธ์มักจะมีประสาทััที่ไว ฉะนั้นที่นางพูดกับเฉินอิ่นฟู่หลงเหยียนได้ยินมันทั้งหมด
“งั้นคุณหนูเดินไปก่อนเถิดข้าจะไปซื้อดอกไม้แล้วจะรีบตามไปขอรับ” เฉินอิ่นไม่อยากถูกทำโทษจึงวิ่งไปซื้อดอกไม้อย่างรวดเร็ว
อวี้จิ่นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดและบ่นพึมพำเงียบ ๆ จึงไม่เห็นว่าด้านหน้าของตนอีกไม่กี่ขั้นมีคนยืนรอนางอยู่
“ฮึ ตนเองฐานะสูงส่งเป็เ้านายข้าเรียกคุณชายกลับไม่พอใจ แต่อยากให้เรียกพี่แล้วให้เรียกคนสนิทว่าน้าเนี่ยนะ คนเขาไม่ได้อายุมากถึงขั้นต้องเรียกว่าน้าเสียหน่อย”
“เ้ากำลังบ่นถึงใครเช่นนั้นรึ”
“ก็บ่นให้คนขี้น้อยใจอย่างไรละ ละ แล้วท่านเดินย้อนกลับมาทำไมเ้าคะ” อวี้จิ่นตอบพร้อมเงยหน้าจนเปลี่ยนคำตอบแทบไม่ทัน
“ข้าเดินย้อนกลับมาเพราะได้ยินใครบางคนพูดว่า ถ้าอยากขึ้นไปให้ถึง้าวัดโดยเร็วข้าต้องอุ้มนางเท่านั้น เนื่องจากนางี้เีวิ่งตามมันจะทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเกินไป ซึ่งข้าก็คิดว่าเป็ความคิดที่เข้าท่าไม่น้อยดังนั้นถึงได้มาหยุดรออยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า หึ ๆ ๆ” ฟู่หลงเหยียนตอบอวี้จิ่นด้วยแววตาเ้าเล่ห์
“คระ คระ ใครกันที่พูดแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเ้าคะ เดินแค่นี้ก็บ่นกลัวจะเหนื่อยน่าตียิ่งนักเ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบเดินต่อเถิดหากชักช้าคนจะมาที่นี่มากกว่าเดิมนะเ้าคะ” พอรู้ว่าฟู่หลงเหยียนย้อนคำพูดของตนอวี้จิ่นทำทีสงสัยและบอกว่าคนผู้นั่นควรถูกลงโทษพร้อมกับก้าวเท้าขึ้นบันได
“อืม เ้าพูดถูกคนผู้นั้นน่าตีจริง ๆ แต่ข้าทำไม่ลงครั้งนี้จะยกโทษให้ก็แล้วกัน” ฟู่หลงเหยียนนึกภาพอวี้จิ่นถูกตีก็รับไม่ได้แล้ว
“ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าท่านต้องเป็คนมีใจเมตตาเ้าคะ..ว้ายย!!”
“พรึ่บ!!”
“แบบนี้เ้าจะได้ไม่เหนื่อยและพวกเราคงถึงวัดเร็วกว่าเดิมมากจริงไหม รีบเดินเข้าเฉินอิ่นเมื่อกลับเข้าเมืองข้าจะไปจับตัวเ้าเมืองทันที” ฟู่หลงเหยียนช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย เขาคิดว่าอุ้มนางเดินเป็วิธีที่ดีที่สุดเพราะอวี้จิ่นมีน้ำหนักตัวไม่เยอะเลยสักนิด จนฟู่หลงเหยียนเริ่มคิดหาวิธีบำรุงร่างกายของนางในใจเงียบ ๆ
“ขอรับนายน้อย”
เฉินอิ่นไม่กล้าแสดงสีหน้าดีอกดีใจเื่ของเ้านายมากนัก เพราะนั่นเป็เื่ส่วนตัวแม้สถานการณ์ยามนี้ถือว่าเริ่มต้นได้ดี แต่ถ้าวันหนึ่งเ้านายของตนได้พบกับอดีตคนรักอย่างพระชายารองเซียงล่ะ จะยังรู้สึกเ็ปและกลายเป็คนเงียบขรึมเ็า เอาแต่เคร่งเครียดกับงานเช่นที่ผ่านมาอีกหรือไม่
อวี้จิ่นที่ถูกบุรุษร่างสูงอุ้มเดินขึ้นบันไดก็เอามือปิดหน้าตนไว้ เพราะมีคนที่เดินอยู่คอยมองมาที่นางตลอดเวลา ที่สำคัญนางไม่กล้ามองหน้าคนที่อุ้มนางอยู่ แต่อวี้จิ่นกำลังถามและตอบตนเองอยู่ในความคิด
ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอุ่นใจยามมีฟู่หลงเหยียนอยู่ใกล้ ๆ จนนางนึกถึงเื่ที่เคยขอกับเทพจันทราเอาไว้ขึ้นมาได้
‘อย่าบอกนะว่าเนื้อคู่ที่เคยขอกับท่านเทพไว้จะเป็คุณชายฟู่คนนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือท่านเทพข้าเพิ่งมาอยู่ในร่างของอวี้จิ่นไม่ถึงหนึ่งเดือน ท่านก็ส่งเนื้อคู่มาให้นี่ร่างกายนี้ยังผอมแห้งแรงน้อยอยู่เลยนะ อายุก็เพิ่งจะสิบห้าย่างสิบหกเองที่สำคัญข้ายังไม่ได้ดูแลหน้าตาให้งดงาม ท่านเทพท่านไม่คิดจะให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาดูบุรุษรูปงามคนอื่นบ้างหรืออย่างไร’
‘ฮัดเช้ย!! บ๊ะ นังหนูคนนี้เนื้อคู่ของเ้าข้าย่อมคัดเลือกให้อย่างดี ยังจะบ่นอยู่อีกบุรุษอื่นหน้าตาหล่อเหลาแต่นิสัยต่ำช้า ข้าจะให้เป็เนื้อคู่ของเ้าได้อย่างไรเล่าแม้คนนี้จะเหี้ยมโหดสักหน่อย แต่มีทุกข้อที่เ้าขอกับข้าเชียวนะนังหนูยอมรับความจริงเถิดอย่าบ่นข้าอีกล่ะ ฮ่า ๆ ๆ’
“อวี้จิ่น? อวี้จิ่น!”
“เ้าคะ! อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ท่านจะเสียงดังทำไมเล่า”
“ที่ข้าเรียกเพราะพวกเราขึ้นมาถึง้าวัดกันแล้วน่ะสิ แต่เ้าดูกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ข้าจำต้องเรียกเสียงดังเล็กน้อย”
“อ่อ งั้นท่านก็วางข้าลงได้แล้วกระมังเ้าคะ จะได้เดินไปยังห้องที่เ้าเมืองใช้ซ่อนหลักฐานกันเสียที”
“อืม เ้าเดินนำทางไปเถิด”
อวี้จิ่นพาฟู่หลงเหยียนเดินอ้อมไปอีกด้านของูเา ซึ่งที่นั่นจะมีห้องแยกออกมาเป็ส่วนตัวสำหรับพวกเศรษฐี หรือคนร่ำรวยที่ชอบมาทำบุญเอาหน้าให้ชาวบ้านชื่นชมความมีน้ำใจ แต่หารู้ไม่ว่านักบวชในวัดแห่งนี้ล้วนเป็นักบวชปลอมทั้งสิ้น
