[โอ้โห! โฮสต์ครับ เขานี่ไร้ยางอายจริงๆ! ] ระบบรู้สึกอึ้ง เขาคิดไม่ออกว่าเหตุใดจักรพรรดิที่ไม่เอาไหนนี่ถึงกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว
“ท่านจักรพรรดิ ท่านไม่รู้สึกหรือว่าคำขอที่ท่านได้เอ่ยมานั้นมันออกจะเกินไปสักหน่อย? ” หลิงเฟิงทนดูไม่ได้ เขาให้เยี่ยจิ่วหลานห้ามขยับ เพียงนึกคิด ก็มาถึงข้างกายของอวี๋มู่ เขาเอ่ยกับจักรพรรดิ “ตอนที่อาจารย์นั้นมีพลังสมบูรณ์ท่านไม่กล้าเอ่ยท้าประลอง หากยามนี้อาจารย์ปิดผนึกพลังตัวเอง ท่านกลับมีท่าทีทนรอไม่ไหว ไม่รู้สึกว่านี่เป็การรังแกคนอ่อนแอกว่าหรือ? ”
เยี่ยจิ่วหลานยืนตัวเกร็งอยู่ที่เดิม มองดูชายหนุ่มที่วันนี้กลายเป็ศิษย์พี่ของตัวเองยืนขวางอยู่ด้านหน้าอวี๋มู่ กระทั่งกล้าเอ่ยวาจาไม่ดีต่อจักรพรรดิ ด้วยจิตใจแน่วแน่อยากปกป้องอาจารย์
แล้วหันกลับมาดูตัวเอง
ตัวเขาทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ
ริมฝีปากล่างถูกเยี่ยจิ่วหลานขบกัดจนแทบถลอก เล็บทิ่มเข้าิัตรงฝ่ามือ จนเห็นเืไหลหยดเป็ทางลงบนพื้น แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างหนักหน่วงในใจ
จักรพรรดินีหรี่ตาสองข้าง แผดเสียงเอ่ยกับหลิงเฟิง “หลิงเฟิง เ้ากล้าดีอย่างไรถึงพูดจาไม่ดีกับจักรพรรดิ? ”
ชั่วพริบตาก็ชักกระบี่ออกมาด้วยความโมโห
อวี๋มู่แอบรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง จึงออกโรงห้ามหลิงเฟิง เอ่ยเสียงเรียบ
“ถอยไปก่อน”
หลิงเฟิงได้ยินเสียงของอวี๋มู่ แม้ว่าในใจจะเป็ห่วง แต่ก็ยังถอยหลังอย่างว่าง่าย แล้วปล่อยที่ตรงนั้นให้เป็ของอาจารย์ตัวเอง
อวี๋มู่หันหน้าไปทางจักรพรรดิ สายตาหยุดที่กระบี่เทพบัญชาของอีกฝ่ายชั่วครู่ จากนั้นค่อยล้วง...กระบี่ไม้หนึ่งเล่มออกมาจากวงแหวนเก็บของของตัวเอง
ระบบนิ่งอึ้ง [โฮสต์? อาวุธเทพมากมายของคุณไม่เอาออกมาใช้ ไฉนมาใช้กระบี่ไม้เล่า? ]
อวี๋มู่: แบบนี้เขาถึงจะรู้สึกหน้าชามากกว่าน่ะสิ
[…]
จักรพรรดินึกว่าตัวเองตาฝาดไปในตอนแรก จึงใช้สายตาพินิจอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ถึงแน่ใจว่าสิ่งที่อวี๋มู่หยิบออกมานั้นคือกระบี่ไม้ธรรมดาทั่วไปจริงๆ ใบหน้าพลันมืดมนลงทันใด
“ปรมาจารย์ นี่เ้าหมายความว่าอย่างไร? ดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ? ”
จักรพรรดินีก็เดือดดาล กำลังจะเอ่ย ก็ได้ยินอวี๋มู่ตอบกลับมาคำหนึ่ง
“ใช่ ข้าดูถูกเ้า”
“…”
เกิดเป็ความเงียบที่นิ่งสนิท
“เหอะ” หลิงเฟิงอดไม่อยู่จนส่งเสียงหลุดขำออกมา แล้วรีบหันหลังกลับไป
[ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ!!! ] ระบบหลุดหัวเราะขึ้นมาอีกรอบ
จู่ๆ เขาก็พบว่าหนทางไร้ซึ่งจิตก็มีข้อดี
อวี๋มู่ในรูปแบบนี้นั้นน่ายั่วโมโหจริงๆ ! แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองน่าโมโห เขามองว่านี่เป็การพูดความจริงเพียงแค่นั้น อีกทั้งยังไร้ซึ่งเยื่อใย
การเสแสร้งที่มองไม่เห็นนั้นน่ากลัวที่สุด ในฐานะผู้ชม เขาจึงรู้สึกว่าเป็เื่น่าขัน
จักรพรรดิมีสีหน้าเปลี่ยนไปชะงัด แต่ยังคงแสร้งทำเป็นิ่ง
เขาหัวเราะแค่เปลือกนอกแต่ภายในนั้นขำไม่ออก “เห็นทีว่าปรมาจารย์จะมั่นใจกับพลังของตัวเองเหลือเกินนะ? ”
อวี๋มู่: “อืม”
“…”
จักรพรรดิ: “ไม่เสียแรงที่เป็ปรมาจารย์แห่งใต้หล้าที่เก่งกาจที่สุด แต่ตำแหน่งผู้เก่งกาจที่สุดของเ้าวันนี้...”
อวี๋มู่ขมวดคิ้ว แล้วขัดขึ้น “ไยเ้าถึงพูดมากเช่นนี้? ”
“…”
พอเอ่ยคำพูดนี้ออกไป หลิงเฟิงก็ไม่กล้าหันศีรษะกลับมา เขาแค่อยากหัวเราะ แต่ต้องอดกลั้นไว้
หลังจากถูกอวี๋มู่ยั่วโมโหจนปะทุ ในที่สุดจักรพรรดิก็ลงมือ ถือกระบี่พุ่งตัวมาทางเขา แรงอัดอันน่ากลัวนั้นสร้างรอยแยกเล็กๆ ในห้วงอากาศ
อวี๋มู่ประจันหน้ารอจักรพรรดิ เขาเอ่ยกับหลิงเฟิง “กลับไป คุ้มกันเยี่ยจิ่วหลาน”
จักรพรรดิไม่ใช่คนที่ต่อกรด้วยง่ายๆ
ในแดน์ปรมาจารย์แห่งใต้หล้านับว่าเก่งกาจที่สุด รองลงมาก็คือจักรพรรดิ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด ผู้นำย่อมต้องเป็ผู้เก่งกาจที่สุด ถึงกำราบคนอยู่
เพียงแต่ว่า มีบางคราที่ระหว่างที่หนึ่งกับที่สอง มันไม่ต่างกันแค่ลำดับขั้นหนึ่งสอง แต่ยังมีสิ่งที่ชื่อว่าความเป็ไปไม่ได้ตลอดกาลที่ถูก์กำหนดไว้แล้วอยู่
และบังเอิญที่อวี๋มู่กับจักรพรรดิเป็นั้นคือข้อหลัง
เพียงแค่สิบกระบวนท่า กระบี่เทพบัญชาของจักรพรรดิก็ถูกอวี๋มู่ฟันจนปลิว กระบี่ไม้เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยกฎแห่ง์ชี้ตรงเข้าลำคอของจักรพรรดิ อีกเพียงแค่หนึ่งนิ้วก็สามารถบั่นศีรษะได้แล้ว
จังหวะนี้ ราวกับว่าห้วงอากาศทั้งหมดถูกสะกดนิ่ง
จักรพรรดินีมองภาพเหตุการณ์ที่เกินความคาดหมาย ในที่สุดก็รู้จักกลัว นางพุ่งตัวมา แล้วเอ่ย
“ปรมาจารย์โปรดเมตตา! ”
หลิงเฟิงกำหมัดแน่น เผยสีหน้าถึงความดีใจอย่างชัดเจน
เยี่ยจิ่วหลานเอาแต่จ้องปรมาจารย์ที่เ็ายืนอยู่บนแท่นนั้น ั์ตาสีทองเข้มนั้นแฝงไปด้วยความหลงใหลและนับถือโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
“การประลอง” อวี๋มู่เก็บกระบี่ช้าๆ ก่อนเอ่ย “ได้จบลงแล้ว”
จบคำพูด เขาก็ค่อยๆ หันมาทางเยี่ยจิ่วหลาน ส่งเสียงในจิตสำนึก
“แค้นของเ้าต้องชำระเอง วันนี้ข้าไว้ชีวิตพวกเขา วันหน้าเปลี่ยนให้เ้ามาปลิดชีพเขาเอง”
เขาเดินผ่านเยี่ยจิ่วหลานไป “หากว่าเข้าใจแล้ว ก็กลับไปกับข้า”
เยี่ยจิ่วหลานอึ้งไปเล็กน้อย เขาหันหลังมองดูเงาหลังของอวี๋มู่ จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกมากมายที่ไม่รู้จัก เติมเต็มหัวใจทุกห้องของเขา
อาจารย์ อาจารย์ นี่คืออาจารย์ของเขา ผู้เก่งกาจที่สุดบนแดน์ ปรมาจารย์แห่งใต้หล้า
ทั้งๆ ที่เขาสามารถปลิดชีพผู้ใดก็ตามอย่างง่ายดาย
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
ชายผู้นั้นดูเหมือนเ็า แต่กลับคิดเพื่อเขาในทุกๆ ด้าน
เยี่ยจิ่วหลานขบกัดจนริมฝีปากล่างถลอกประหนึ่งทำร้ายตัวเอง เขาปักใจอย่างแน่วแน่ วันหน้าเขาต้องไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง และเป็ชายที่สามารถยืนเคียงข้างอาจารย์ได้อย่างสง่าผ่าเผย
ในใจก่อเกิดความร้อนรุ่ม เขารีบเดินตามอวี๋มู่ไป เป็เพราะรีบเดินเกินไป นิ้วมือจึงบังเอิญไปโดนชุดคลุมสีขาวของอวี๋มู่ พลันหัวใจเต้นเร็วขึ้นทันใด
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร แต่เพราะการััเล็กๆ แค่นี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็สีแดง
อวี่มู่มองดูเหนือศีรษะของเยี่ยจิ่วหลาน พบว่าคะแนนความประทับใจเพิ่มขึ้นเต็มสองดวง เขามองต่ำ สังเกตเห็นเยี่ยจิ่วหลานใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่ยากที่เขาจะเกิดความสงสัย
เขาเอ่ยถามระบบ: เ้าระบบ ฉันให้เขาแก้แค้น เขาหน้าแดงทำไมกัน?
[คงเพราะความนับถือต่อผู้เก่งกาจกระมังครับ? ] ระบบคิดไม่ถึงว่าคะแนนความประทับใจของโลกนี้จะขึ้นเร็วขนาดนี้ แต่ความคิดอ่านของเด็กหนุ่มวัยรุ่น ไม่ใช่สิ ของงูหนุ่มเขาคาดเดาไม่ออก จึงให้คำอธิบายที่แม่นยำกับอวี๋มู่ไม่ได้
ทว่าเขาก็ดีใจทันที [โฮสต์ครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกว่าโลกนี้จะทำให้คุณได้สะใจกับประสบการณ์ของหอกง้าวและคมดาบ ผมไม่ได้โกหกคุณ เห็นไหม! เมื่อครู่จักรพรรดินั่นถึงกับอึ้งไปเลย แล้วยังต้องให้ผู้หญิงมาขอร้องแทนเขา! รีบพูดมาเร็ว ว่าสะใจหรือเปล่าครับ? ]
อวี๋มู่: …เ้าระบบ นายจำไม่ได้หรืออย่างไรว่าฉันเป็พวกมีอุปสรรคเื่อารมณ์ความรู้สึก? เหมือนฉันจะลืมไปแล้วว่าความสะใจมันเป็อย่างไร
[…ฮะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ช่างน่าสงสารจริงๆ! ]
อวี๋มู่: หุบปากน่า นายกำลังกวนฉัน
[ฮือๆๆ โฮสต์โหดร้ายกับผมอีกแล้ว! ]
อวี๋มู่ไม่ได้ใส่ใจเขา ในใจนิ่งเงียบ ค่อยๆ บีบนิ้วมือทั้งห้า แล้วคลายออก
เห็นเพียงกลางฝ่ามือของเขามีวงกลมสีดำเพิ่มขึ้นมาจากแต่ก่อนที่จะมายังลานลงทัณฑ์ วงกลมนั้นเคลื่อนไหวตามท่าทางของเขาราวกับมีชีวิต มีจุดศูนย์กลางเป็ที่ยึด แล้วไหลผ่านเส้นชีพจรตามข้อมือ
อวี่มู่ต้องใช้พลังปราณเกือบครึ่งหนึ่งถึงหยุดยั้งการแพร่กระจายของสายใยสีดำเมื่อสักครู่
จักรพรรดินั่นเป็คนต่ำช้าจริงๆ ถึงขั้นลงมือกับเขาด้วยการวางยาพิษ
ไม่น่าแปลกที่ตอนจบของเื่ สุดท้ายถึงถูกเยี่ยจิ่วหลานสังหารกับมือ
คนประเภทนี้ปกครองแดน์นับว่าเป็ความโชคร้ายของแดน์จริงๆ
โลกก่อนหน้านี้อวี๋มู่นั้นคอยห้ามปรามตัววายร้ายไม่ให้ทำชั่ว มายังโลกนี้ คงด้วยเพราะสูญเสียอารมณ์ความรู้สึก เขากลับอยากสนับสนุนเยี่ยจิ่วหลาน
ความแค้นที่ฆ่ามารดานั้นไม่อาจสั่นคลอน
สองคนนั้นสมควรตาย
---------------------------------------------------------------------------
