"แน่นอนเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ตอบโดยไม่ลังเล ขณะที่พูดคำนี้ออกมา นางกลับรู้สึกหวานล้ำในใจอย่างประหลาด จากนั้นก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา ก้มหน้าลงอย่างขัดเขิน แก้มพลันปรากฏรอยแดงระเรื่อสองสาย จางเจิ้นอันยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าขาวเนียนของนาง นิ้วหยาบกร้านของเขาระคายผิวนิดๆ
อันซิ่วเอ๋อร์ถามอีกครั้ง "เป็อะไรไปหรือเ้าคะ?"
"ไม่มีอะไร" จางเจิ้นอันส่ายหน้า น้ำเสียงกลับมาผ่อนคลายดังเดิม กล่าวว่า "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะไปเที่ยวกันในตัวเมืองกัน"
"หา? ไปจริงๆ หรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินจางเจิ้นอันพูดเช่นนั้น จ้องมองใบหน้าเขา ราวกับจะค้นหาร่องรอยพิรุธอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ นางจึงหันหลังวิ่งเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ดูท่านางเองก็คงตั้งตารอคอยอยู่ไม่น้อย ท่าทางรวดเร็วเป็พิเศษ ครู่เดียวก็เปลี่ยนชุดสีเขียวอ่อนออกมา แม้ชุดนี้จะเก่าไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่มีรอยปะชุน
"ชุดนี้ข้าไม่เคยเห็นเ้าใส่มาก่อน" จางเจิ้นอันละสายตากลับมาแล้วเอ่ยขึ้น
"นี่เป็ชุดใหม่เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวเสียงเบา เมื่อจางเจิ้นอันถามขึ้น นางก็ยิ่งรู้สึกเขินอายนิดๆ ขยับไปอยู่ตรงหน้าเขา ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง
"ข้าแต่งตัวเชยเช่นนี้ เข้าเมืองไปจะมีคนหัวเราะเยาะข้าหรือไม่เ้าคะ?"
"ไม่มีทาง" จางเจิ้นอันส่ายหน้า กล่าวว่า "ครั้งนี้เข้าเมือง ข้าจะซื้อชุดใหม่ให้เ้า"
"ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ ข้าซื้อผ้ามาแล้ว เดิมทีตั้งใจจะตัดเย็บให้ท่านกับข้าคนละชุด แค่ยังทำไม่เสร็จเท่านั้น ใครจะรู้ว่าท่านจู่ๆ ก็บอกว่าจะพาข้าเข้าเมือง"
อันซิ่วเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นกล่าว "พี่ใหญ่ของข้าอยู่ในเมืองเ้าค่ะ นานๆ จะได้เข้าเมืองสักที ไปมือเปล่าเช่นนี้ คงไม่เหมาะจะไปเยี่ยมเขา"
"เ้าลองดูที่บ้านมีอะไรพอจะนำติดมือไปได้ ก็เอาไปด้วยเถิด" จางเจิ้นอันมีหรือจะมองความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของนางไม่ออก
"เช่นนั้นข้าไปหาดูก่อนนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่มีท่าทีอะไร จึงแอบเข้าครัวไป
ไม่ได้เจอพี่ชายมานานแล้ว นางจะต้องเอาของขวัญไปฝากเขาเยอะๆ หน่อย พอดีกับเทศกาลตวนอู่ ขนมจ้างที่ลูกศิษย์ของสามีให้มา ยังเหลืออีกตั้งเยอะ สู้เอาไปให้พี่ใหญ่ทั้งหมดเลยดีกว่า เขาทำงานอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าจะได้กินอิ่มนอนอุ่นหรือเปล่า
อันซิ่วเอ๋อร์เจอเขาครั้งสุดท้ายเมื่อตอนปีใหม่ ตอนนั้นเขาบอกว่าทำงานอยู่ในหอสุราแห่งหนึ่งในเมือง กินอยู่ดี ค่าจ้างก็พอใช้ แต่นางกลับรู้สึกว่าเขาคงพูดเกินจริงไปมาก เถ้าแก่หอสุราส่วนใหญ่มักจะขี้เหนียวจะตาย คงไม่ดีเหมือนที่เขาพูดแน่ๆ
น่าเสียดายที่ไก่ที่บ้านยังไม่โต ไม่อย่างนั้นคงเอาไข่ไปฝากเขาได้บ้าง ดังนั้นตอนนี้ในตะกร้าของนางจึงมีเพียงขนมจ้างวางอยู่อย่างเหงาๆ อันซิ่วเอ๋อร์จับปลาตัวใหญ่จากในอ่างมาอีกหนึ่งตัว ตะกร้าจึงดูไม่ว่างเปล่าจนเกินไป
คิดอยู่ครู่หนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ตัดสินใจว่าเดี๋ยวเข้าเมืองแล้วค่อยซื้อของให้พี่ใหญ่อีกหน่อย ่นี้เก็บเงินส่วนตัวไว้ได้บ้าง เดิมทีตั้งใจเก็บไว้ใช้อย่างอื่น หากเอามาซื้อของขวัญให้พี่ใหญ่ได้ เงินนี้ก็ถือว่าใช้ไปอย่างคุ้มค่า
นางออกมาจากสวนหลังบ้าน ยื่นตะกร้าให้จางเจิ้นอัน ส่วนตัวเองวิ่งเข้าห้องไปหยิบเงินส่วนตัวออกมา เอาออกมาครึ่งหนึ่งพกติดตัวไว้ แล้วจึงเดินกลับออกมา ยิ้มให้จางเจิ้นอัน กล่าวว่า "ไปกันเถอะเ้าค่ะ"
ทั้งสองเดินออกจากบ้านมาคนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง แม้ในบ้านจะไม่มีของมีค่าอะไร อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยังลงกลอนประตูอย่างดี แล้วจึงวิ่งเหยาะๆ ตามจางเจิ้นอันไป มาถึงริมแม่น้ำ
ริมแม่น้ำ เรือลำเล็กของเขาจอดเทียบอยู่ที่นั่น มีต้นหญ้าน้ำไม่กี่ต้นไหวเอนอยู่รอบๆ ดูค่อนข้างอ้างว้าง จางเจิ้นอันขึ้นเรือไปก่อน แล้วยื่นมือให้อันซิ่วเอ๋อร์ นางอาศัยแรงจากมือเขาขึ้นเรือไป จางเจิ้นอันพายเรือ นางก็ยกม้านั่งตัวเล็กออกจากห้องเก็บของในเรือ นั่งลงข้างๆ เขาอย่างว่าง่าย ใช้มือเท้าคาง ไม่รู้ว่ากำลังมองเขา หรือกำลังชมทิวทัศน์ตลอดทาง
หากเดินเท้า จากหมู่บ้านชิงสุ่ยไปถึงตัวเมืองต้องใช้เวลาค่อนวัน ต่อให้นั่งรถม้าก็ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน แต่ถ้าเดินทางทางน้ำกลับใกล้กว่ามาก ประมาณชั่วยามครึ่งก็ถึงตัวเมืองแล้ว ตลอดทางอันซิ่วเอ๋อร์อารมณ์ดีเป็พิเศษ นางมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ ไปพลาง คุยกับจางเจิ้นอันไปพลาง จึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก
ราวกับแค่พริบตาเดียว ทั้งสองก็มาถึงตัวเมืองแล้ว ได้ยินเสียงจอแจรอบหู เสียงร้องขายของดังไม่ขาดสาย อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงสงสัยอยู่บ้าง จนกระทั่งเงยหน้าเห็นแผงลอยริมฝั่ง นางถึงเพิ่งมารู้สึกตัวแล้วถามขึ้นว่า "นี่พวกเราถึงตัวเมืองแล้วหรือเ้าคะ?"
"อืม" จางเจิ้นอันพยักหน้า กล่าวว่า "พวกเราหาท่าเรือจอดเรือให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเข้าไปเที่ยวในเมืองกัน"
เรือค่อยๆ แล่นไปข้างหน้า แม่น้ำสายนี้กว้างขวางมาก เรือที่สัญจรไปมาก็เริ่มเยอะขึ้น จางเจิ้นอันถามทางจากชายชราพายเรือคนหนึ่ง รู้ว่าท่าเรืออยู่ข้างหน้า พายต่อไปอีกครู่เดียวก็ถึงท่าเรือจริงๆ
หาที่ว่างจอดเรือเรียบร้อย ทั้งสองนำของในเรือออกมา แล้วจึงขึ้นฝั่ง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือ อันซิ่วเอ๋อร์เพียงได้ยินเสียงและเห็นเงาหลังของพ่อค้าแม่ค้า รู้สึกว่าที่นี่คงจะคึกคักมาก พอขึ้นฝั่งมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าคึกคักอย่างแท้จริง
มีทั้งร้านขายของชำ ผ้าผ่อน แผ่นรองรองเท้า และร้านขายขนมต่างๆ นานา ดอกไม้นกแมลงปลา แผงลอยหลากสีสันนับไม่ถ้วน มองไปสุดลูกหูลูกตา ปิ่นปักผม หวีไม้ กำไล และของอื่นๆ ที่ในตำบลถือเป็ของมีค่า ที่นี่กลับถูกพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยวางแผ่ขายกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
"ว้าว หอมจังเลยเ้าค่ะ"
ยังไม่ทันได้ชื่นชมสิ่งของเหล่านี้อย่างละเอียด อันซิ่วเอ๋อร์ก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร นั่งเรือมาทั้งเช้า พอได้กลิ่นหอมนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมา
"เหมือนจะอยู่ทางนั้น ข้าพาเ้าไปกิน" จางเจิ้นอันเห็นท่าทางอยากกินของนาง จึงพานางเดินไปข้างหน้า
แม้เขาจะเดินช้าลงแล้ว แต่ก็ยังนำหน้าอันซิ่วเอ๋อร์อยู่หลายก้าว นางวิ่งเหยาะๆ ตามหลังเขาไป ที่นี่ผู้คนเดินขวักไขว่ จางเจิ้นอันเห็นนางเดินช้า กลัวนางจะหลงทาง จึงย้ายตะกร้ามาถือไว้ในมือซ้าย แล้วใช้มือข้างหนึ่งจูงนางเดินไปข้างหน้า
มือของเขาที่กุมมือนางไว้ ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าส่งยิ้มหวานให้เขา เอนกายพิงข้างกายเขาอย่างว่าง่าย จางเจิ้นอันเห็นนางเดินช้า จึงชะลอฝีเท้าลงอีก อันซิ่วเอ๋อร์ถึงตามฝีเท้าเขาทัน
ทั้งสองเดินไปดูไป ในที่สุดก็พบต้นตอของกลิ่นหอม เป็ร้านขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะ พอฝาหม้อใหญ่เปิดออก ท่ามกลางไอร้อนคลุ้ง กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายออกมา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหากรู้สึกหิว ก็จะนั่งลงกินก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง ซดน้ำแกงคำหนึ่ง บางคนก็เหมือนอันซิ่วเอ๋อร์ คือตามกลิ่นหอมมา
จางเจิ้นอันจูงอันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไป ข้างหน้ามีคนกำลังต่อแถว ได้ยินคนนั้นคุยทักทายกับเ้าของร้านวัยกลางคน
"เถ้าแก่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะของท่านหอมขนาดนี้ กิจการดีใช่ไหม?"
เถ้าแก่ยิ้มแย้ม พลางง่วนอยู่กับงานในมือ พลางตอบว่า "กิจการก็พอไปได้ขอรับ เป็ร้านเล็กๆ ต้องขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่อุดหนุน"
พูดพลางตักน้ำแกงราดลงในชามก๋วยเตี๋ยวที่ลวกเสร็จแล้ว ะโเสียงดังว่า "คุณลูกค้า ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะของท่านได้แล้วขอรับ ระวังร้อนด้วย"
ลูกค้าคนนั้นยกชามก๋วยเตี๋ยวเดินจากไปอย่างพอใจ จางเจิ้นอันกับอันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไป เถ้าแก่ยิ้มแย้มทักทาย "จะรับอะไรดีขอรับ?"
"ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะสองชาม" จางเจิ้นอันสั่ง แล้วพาอันซิ่วเอ๋อร์ไปหาโต๊ะว่างนั่งลง
อันซิ่วเอ๋อร์สูดกลิ่นหอม ชำเลืองมองไปทางเถ้าแก่เป็ครั้งคราว จางเจิ้นอันสังเกตเห็นแววตาเล็กๆ ของนาง เพียงยิ้มบางๆ รู้สึกว่านางในตอนนี้ ช่างเหมือนเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกจริงๆ
"รอสักครู่นะขอรับ" ไม่นาน เถ้าแก่ก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วางลงตรงหน้าทั้งสอง ยิ้มกล่าว "เชิญทานตามสบายขอรับ"
จางเจิ้นอันพยักหน้าให้เขา หยิบตะเกียบสองคู่จากกระบอกไม้ไผ่ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดอย่างใส่ใจ แล้วจึงยื่นให้อันซิ่วเอ๋อร์ "ลองชิมดูสิ"
อันซิ่วเอ๋อร์รับตะเกียบมา กล่าวว่า "ก๋วยเตี๋ยวชามนี้เยอะจังเลยเ้าค่ะ ข้าคงกินไม่หมดแน่ๆ"
"ไม่เป็ไร กินเยอะๆ หน่อย เ้าผอมเกินไป" จางเจิ้นอันยิ้มให้นาง แล้วเริ่มกินก่อน
อันซิ่วเอ๋อร์ก็เริ่มลิ้มลอง น้ำแกงเนื้อแพะเข้มข้นมาก รสชาติเผ็ดร้อน ไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย เส้นก๋วยเตี๋ยวก็เหนียวนุ่ม อร่อยมากจริงๆ
เดิมทีนางคิดว่าคงกินไม่หมดแน่ๆ ใครจะรู้ว่ากินไปทีละคำเล็กๆ กลับกินเส้นจนหมดเกลี้ยง นางรับผ้าเช็ดหน้าที่จางเจิ้นอันยื่นให้มาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างเขินอาย กล่าวว่า "ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อยจริงๆ เ้าค่ะ"
พูดพลางยกชามขึ้นซดน้ำแกงเสียงดังซู้ดๆ แม้การซดน้ำแกงเสียงดังเช่นนี้จะไม่ค่อยสุภาพนัก แต่จางเจิ้นอันกลับรู้สึกว่านางในท่าทางยกชามใหญ่นี้ ช่างน่ารักเหลือเกิน
"จะเอาอีกชามไหม?" จางเจิ้นอันลองถามดู
"ไม่เอาแล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ลูบท้อง โบกมือปฏิเสธ "ข้ากินเยอะไป พุงป่องหมดแล้ว"
"เช่นนั้นข้านั่งเป็เพื่อนเ้าพักสักครู่ ให้ย่อยอาหารก่อน"
จางเจิ้นอันเรียกเถ้าแก่มาจ่ายเงิน ก๋วยเตี๋ยวสองชาม รวมเป็สิบอีแปะ อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเสียดายนิดหน่อย ได้แต่ยกชามซดน้ำแกงอีกคำ หากไม่ใช่นางอิ่มมากจริงๆ นางคงซดน้ำแกงในชามจนหมดเกลี้ยงแน่ ก๋วยเตี๋ยวแพงขนาดนี้ แม้แต่นิดเดียวก็เสียดาย ไม่อยากให้เหลือทิ้ง
นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืน ที่นี่เป็ร้านค้าขาย นางนั่งอยู่นานๆ คงไม่ดี อีกอย่าง นางมาถึงเมืองแล้วก็อยากจะเดินเที่ยวชมให้มากขึ้น ไม่ใช่มานั่งเสียเวลาอยู่ที่นี่
แต่พอเดินออกมาถึงถนนใหญ่ด้านนอก อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกงุนงงไปหมด นางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หันไปมองจางเจิ้นอัน
"สามีเ้าคะ เมืองนี้ใหญ่โตขนาดนี้ ข้าจะหาพี่ใหญ่เจอได้อย่างไรกัน?"
"ค่อยๆ หากันไป ปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติ พวกเราเดินเที่ยวในเมืองนี้ไปก่อน" จางเจิ้นอันตอบ
"เช่นนั้นก็ได้แต่ทำแบบนี้แล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจ อุตส่าห์มาถึงเมืองทั้งที กลับไม่รู้ว่าพี่ชายของตนอยู่ที่ไหนกันแน่
นางได้แต่พักเื่นี้ไว้ก่อน เดินเที่ยวไปกับจางเจิ้นอันช้าๆ ทั้งสองเดินไปดูไป ระหว่างทางก็เจอหอสุราอยู่หลายแห่ง อันซิ่วเอ๋อร์เห็นก็จะเข้าไปถาม แต่ก็ไม่มีใครรู้จักคนที่ชื่อ อันเถี่ยสือ เลย
"เฮ้อ..." อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจอีกครั้ง เพราะไม่มีข่าวคราวของพี่ชาย ทำให้นางหมดอารมณ์จะเดินเที่ยวไปเลย
