คำพูดของทังหงเอินกระแทกใจทุกคนบนโต๊ะอาหารยิ่งนัก แม้แต่คังเหลียนิผู้เ็าก็เงียบไปนานพอสมควร
เซี่ยเสี่ยวหลานอดที่จะเอียงตัวแนบชิดกับโจวเฉิงไม่ได้
เธอพยายามจะจับมือโจวเฉิง แต่โจวเฉิงเพียงกุมปลายนิ้วที่ไม่ได้รับาเ็ของเธออย่างแ่เบา
ความรู้ใจกันนั้นไม่จำเป็ต้องเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกะเืใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของคังเหว่ยเหลือเกิน เซี่ยอวิ๋นเองก็เป็ครอบครัวของข้าราชการทหาร ขณะที่เธอกำลังตั้งท้องคังเหว่ยอยู่นั้น เธอกลับได้ยินข่าวการเสียสละของสามี ณ เวลานั้นเซี่ยอวิ๋นจะเสียใจขนาดไหนกันนะ ตอนนี้คังเหว่ยอายุใกล้จะ 22 ปีแล้ว แต่เซี่ยอวิ๋นกลับไม่สามารถเดินออกจากความโศกเศร้านี้ไปได้!
โจวเฉิงคิดในใจ เขาจะต้องรักษาชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด มีชีวิตอยู่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ต้องมีชีวิตเพื่อคนรัก เพื่อครอบครัว เขาจะทำให้เสี่ยวหลานและคนใกล้ชิดทุกข์ทรมานใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ถึงจะมีความเสี่ยงสูง แต่จะให้ถอนตัวออกจากกองทัพก็คงไม่ได้ อาชีพนี้จำเป็ต้องมีคนทำ!
“พี่หงเอิน ขอบคุณจริงๆ ที่เข้าใจครับ!”
นายกทัง สหายหงเอิน พี่หงเอิน
คำเรียกของคังเหลียนิเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นนี้แสดงว่าเขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
เหล้าแก้วที่สาม คังเหลียนิดื่มให้ไป๋เจินจู โดยเขากำชับเป็พิเศษว่าอาหารมื้อนี้จะต้องเรียกไป๋เจินจูให้มาร่วมทานข้าวด้วยให้ได้เพราะสาเหตุนี้
“เธอทำในสิ่งที่ทุกคนอยากทำแต่ไม่กล้าที่จะทำ ขอบคุณจริงๆ ที่เห็นคังเหว่ยเป็เพื่อนและรู้สึกโกรธแทนเขา! แม้มันจะเป็ความวู่วามของเธอ แต่ขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นเพราะความยึดมั่นในมิตรภาพ อนาคตหากตระกูลตู้มาเอาเื่ ตระกูลคังของพวกเราจะปกป้องเธอเอง แก้วนี้ฉันขอดื่มให้เธอ!”
ไป๋เจินจูลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆ กังๆ ตอนนี้เธอทำตัวไม่ค่อยถูก
วันๆ เธอเอาแต่ขลุกอยู่กับพวกคนค้าขายและชนชั้นล่างหลากหลายประเภท พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องของโรงฝึกวิชาต่อสู้ตระกูลไป๋ หากเอาดีด้านธุรกิจอิสระนี้ไม่ได้ พวกเขาก็มักจะผันตัวไปทำงานเป็แรงงานระดับล่างด้วยกันทั้งนั้น
ไป๋เจินจูไม่เคยพูดคุยกับข้าราชการระดับสูง หากเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ชวนเธอมาทำการค้าขายที่เผิงเฉิงคงไม่มีโอกาสดั่งเช่นวันนี้
เธอเคยแม้แต่ติดต่อกับพวกค้าของเถื่อนเลยด้วยซ้ำ แต่กับพวกข้าราชการ ไป๋เจินจูไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดด้วยอย่างไร วันนั้นที่เธอเตะหน้าตู้เ้าฮุย แน่นอว่าเธอย่อมรู้สึกสะใจ แต่หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังก่อปัญหา เพราะตู้เ้าฮุยรีบบอกทันทีว่าสมองของเขาได้รับความกระทบกระเทือน
ไป๋เจินจูนึกว่าตระกูลคังจะโทษเธอที่ทำอะไรบุ่มบ่าม นึกไม่ถึงเลยว่าภายในห้องที่มีแต่คนใหญ่คนโต และมีแม่ค้าตัวเล็กๆ อย่างเธอเพียงคนเดียวเช่นนี้ คังเหลียนิกลับดื่มเหล้าแก้วที่สามเพื่อเธอ!
“ฉัน... ขอโทษค่ะ ฉัน...”
แต่เดิมไป๋เจินจูก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นเธอทำได้เพียงยกสุราดื่มจนหมดแก้วเท่านั้น
คังเหลียนิยิ้ม “ไม่ต้องประหม่า ตอนนี้ฉันเป็แค่ญาติของคังเหว่ย สมควรแล้วที่จะต้องขอบคุณในความช่วยเหลือของเธอ ส่วนที่ว่าเธอควรวู่วามตอนไหนหรืออดทนเมื่อใด ฉันคิดว่าเธอสามารถเรียนรู้จากเสี่ยวหลานได้ พวกเธอเป็เด็กดี คังเหว่ยทำธุรกิจที่ทางใต้เื่ได้กำไรหรือไม่เป็เื่รอง ที่สำคัญคือเขาได้คบหากับสหายที่ดีอย่างพวกเธอ!”
ข้าราชการชั้นสูงพูดจามีวาทศิลป์ยิ่งนัก
ไป๋เจินจูรู้สึกโล่งอกเหลือเกิน
เขาไม่ตำหนิที่เธอทำตัวเหมือนพวกถนัดแต่ใช้กำลัง อีกทั้งยังยอมรับต่อหน้าทุกคนด้วยว่า เธอกับคังเหว่ยเป็เพื่อนกัน!
ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เธอทำเพื่อคังเหว่ย ไม่ใช้ประโยชน์จากเธอ อีกทั้งยังให้กำลังใจว่าไม่ควรปล่อยให้ตู้เ้าฮุยลอยนวล นอกจากนี้ยังบอกให้เธอเรียนรู้จากเซี่ยเสี่ยวหลานให้มากๆ อีกด้วย
เมื่อประกอบกับมาดเคร่งขรึมของคังเหลียนิแล้ว ประโยคที่เขาเอ่ยออกมาทุกประโยคจึงดูน่าเชื่อถือเป็พิเศษ
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าหลังฟังคำพูดของคังเหลียนิแล้ว การที่เขาให้การยอมรับไป๋เจินจูสูงเช่นนี้ หากมีแผนร้ายจริง ขอเพียงยั่วยุไป๋เจินจูแค่เล็กน้อย โดยบอกให้เธอไปฆ่าตู้เ้าฮุยให้ตายก็สามารถทำได้... นี่น่ะหรือ ‘วาทศิลป์’ ของนักปกครอง? คังเหลียนิช่างเก่งกาจเหลือเกิน ผู้ชายคนนี้สุขุมลุ่มลึก มีความฉลาดทางอารมณ์ ถ้าเขาไม่ประสบความสำเร็จก็คงจะแปลก
แต่เมื่อเทียบกันแล้วเธอก็ยังชอบคนตระกูลโจวมากกว่า เพราะพวกเขามักพูดจาอย่างตรงไปตรงมาอยู่เสมอ หากให้เธออยู่กับคนอย่างคังเหลียนิ เธอคงเครียดตลอดเวลาอย่างแน่นอน
คังเหลียนิมีความคิดของตัวเอง ดังนั้นอาหารมื้อนี้เขาจึงไม่ได้ปริปากเอ่ยถึงแผนการให้คนอื่นรู้เลยแม้แต่น้อยว่าจะทำอะไรกับตู้เ้าฮุยบ้าง
กินอาหารอะไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหลังมื้ออาหารจบลงคังเหลียนิก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ตู้เ้าฮุยคิดไม่ผิดแม้แต่น้อย คนเหล่านี้อยู่รวมกันได้เพราะมีเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ และตอนนี้คังเหลียนิก็ได้เปลี่ยนแกนกลางของเื่ราวมาอยู่ที่คังเหว่ยแล้วอย่างแเี
หลังจบมื้ออาหาร คังเหลียนิกับทังหงเอินก็แยกออกไปคุยเป็การส่วนตัว
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ก็เหมือนกับตอนคังเหลียนิคุยกับโจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้แค่เดาเท่านั้น
“อย่าคิดมากไปเลย อารองคังทำอะไรย่อมมีขอบเขตอยู่เสมอ”
โจวเฉิงปลอบเซี่ยเสี่ยวหลาน กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็ชื่นชมคังเหลียนิเช่นกัน “คังเหว่ยาเ็เช่นนี้ ทำให้ฉันเห็นว่าคุณอาของเขาที่จริงแล้วก็มีความจริงใจกับเขาอยู่บ้าง เซี่ยอวิ๋น เธอยังจำได้ไหมว่าเมื่อก่อนอารองของคังเหว่ยเป็คนอย่างไร”
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้จักกับคนตระกูลคังมานาน ตอนยังไม่มีคังเหว่ย ตอนที่พ่อของคังเหว่ยยังมีชีวิตอยู่ สถานะของเขาไม่ต่างอะไรกับโจวเฉิงที่มีความสำคัญต่อตระกูลโจว เขาเป็คนรุ่นหลังที่ตระกูลคังฝากฝังความหวังทั้งหมดเอาไว้
เซี่ยอวิ๋นก็ชะงักไปทันที แต่เดิมความสนใจของเธออยู่ที่สามีผู้ล่วงลับจนหมดสิ้นจึงทำให้เธอไม่ค่อยใส่ใจตระกูลคังคนอื่นสักเท่าไร
พอได้ยินกวนฮุ่ยเอ๋อถามเช่นนี้ เมื่อลองย้อนคิดดูแล้ว สมัยที่สามีเธอยังอยู่นิสัยของคังเหลียนิเหมือนจะไม่ต่างจากคังเหว่ยสักเท่าไร?
ไม่อยู่ในกฎระเบียบ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
ั้แ่เมื่อไรกันที่คังเหลียนิกลายเป็คนแบบนี้ พูดน้อย ยิ้มยาก และถูกคังเหว่ยวิจารณ์ว่าเป็คนเสแสร้ง
เซี่ยอวิ๋นนึกไม่ออกเลยจริงๆ
“เมื่อก่อนเขาไม่เป็แบบนี้ แต่ถึงอย่างไรคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงกันได้ จู่ๆ เขาก็กลายเป็ผู้ใหญ่...”
“เซี่ยอวิ๋น เขาเป็แบบนี้ั้แ่เกิดเื่กับพี่ใหญ่คังอย่างไรล่ะ”
เพราะการเสียสละของพ่อคังเหว่ยทำให้ตระกูลคังรู้สึกสิ้นหวัง ลูกชายคนรองที่เอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ จึงจำเป็ต้องเข้ามาแบกรับภาระต่อจากพี่ชาย คังเหลียนิเองก็คงตั้งตัวไม่ถูกกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แต่เพราะคนตระกูลคังคนอื่นจมอยู่กับความเศร้ากันหมด ไม่มีใครสามารถชี้แนะแนวทางให้เขาได้ เขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองจนกลายมาเป็อย่างทุกวันนี้!
กวนฮุ่ยเอ๋อตื้นตันใจมาก เซี่ยอวิ๋นที่ได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้ง
เซี่ยอวิ๋นเองก็เคยได้ยินคำวิจารณ์ต่างๆ นานา บอกว่าคังเหลียนิระแวงคังเหว่ย บอกว่าคังเหลียนิปล่อยปละละเลยคังเหว่ย ทำเหมือนรักคังเหว่ยแค่ภายนอกแต่ความจริงไม่ได้เป็เช่นนั้น ถ้าเขาหวังดีกับหลานชายจริงๆ ก็ควรเข้มงวดกับคังเหว่ย และปลูกฝังคังเหว่ยให้เป็คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานถึงจะถูก
สิ่งที่กวนฮุ่ยเอ๋อ้าสื่อก็คือคำนินทาพวกนั้นช่างเหลวไหลยิ่งนัก คังเหลียนิต้องเข้ามาแบกรับภาระอันหนักอึ้งของตระกูลคัง รักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลคังอย่างกะทันหันด้วยความยากลำบาก ทว่าเขาไม่ปล่อยให้คังเหว่ยอดตาย และไม่ปล่อยให้สองผู้าุโของตระกูลต้องลำบากใน่บั้นปลายชีวิต แม้แต่ตอนที่เกิดความชุลมุนในสังคม ข้าราชการบางคนต้องโชคร้าย ทว่าตระกูลคังก็สามารถอยู่รอดปลอดภัยดี
“เธอหมายความว่า...”
“ฉันหมายความว่า เดิมทีหน้าที่นี้ควรเป็ของเธอกับคังเหลียนิช่วยกันแบกรับ แต่เธอกลับจมอยู่กับอดีตตลอดเวลา คังเหว่ยจะเป็คนแบบไหนก็ควรเป็หน้าที่ของแม่อย่างเธอที่ต้องคอยสั่งสอน ในฐานะคุณอา คังเหลียนิทำได้ดีมากแล้ว!”
กวนฮุ่ยเอ๋อพูดอย่างเถรตรง เธออยากใช้โอกาสนี้เตือนสติเซี่ยอวิ๋น
เซี่ยอวิ๋นจมอยู่ในฝันร้ายมายี่สิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาที่เธอต้องตื่นแล้วหรือยัง?
ครั้งนี้มีคังเหลียนิช่วยออกหน้าให้คังเหว่ย มีทุกคนร่วมแรงร่วมใจคอยช่วยเหลือ แต่ถ้าเจอเื่แบบเดียวกันนี้อีกแล้วทุกคนไม่สามารถช่วยอะไรได้ คนเป็แม่อย่างเซี่ยอวิ๋นจะสามารถเป็โล่กำบังให้กับคังเหว่ยได้หรือเปล่า!
เซี่ยเสี่ยวหลานกับโจวเฉิงพร้อมใจกันยืนเงียบ เวลาสำคัญเช่นนี้ต้องให้เซี่ยอวิ๋นตระหนักคิดด้วยตัวเอง
หัวไหล่ของเซี่ยอวิ๋นสั่นเล็กน้อย ก่อนจะสั่นแรงขึ้นทุกที เริ่มจากเสียงสะอื้นแ่เบา ก่อนจะควบคุมไว้ไม่ไหวจนร้องไห้โฮออกมา
์ทรงโปรด หลายปีมานี้เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่กัน!