โม่ฮว่าเหวินไม่รู้ความคิดอ่านของหลันซินหยู นึกว่าถึงอย่างไรก็เป็สตรีในห้องหอคนหนึ่ง เขาจำเป็ต้องไว้หน้า แม้ว่าเหล่าไท่ไท่จะเอ่ยวาจาออกมาแล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่กล้าตามเซ้าซี้อย่างไร้ยางอายอีก จึงลอบถอนใจโล่งอก คุยกับเหล่าไท่ไท่สองสามประโยคก่อนอำลากลับ หลันซินหยูซึ่งอยู่อีกด้านเอาแต่จดจ้องเขา สายตาเชื่อมหวานปานจะกลืนกินเป็สิ่งที่ตนเองรับไม่ไหวจริงๆ
โม่เสวี่ยถงก็ไม่มีอารมณ์ไร้สาระไปกับพวกนาง จึงฉวยโอกาสอำลาตามบิดา สองพ่อลูกเดินออกจากเรือนของเหล่าไท่ไท่ไปพร้อมกัน
“ท่านพ่อ เื่ของพี่หญิงใหญ่จะจัดการอย่างไรเ้าคะ” หลังพ้นประตูมาแล้ว โม่เสวี่ยถงกระซิบถาม เมื่อครู่ยามที่โม่ฮว่าเหวินออกมาจากเรือนของเหล่าไท่ไท่ นางเห็นเขามองไปทางเรือนฝูฉิงแล้วทอดถอนใจเบาๆ ก็รู้ได้ว่าบิดายังหนักใจเื่โม่เสวี่ยิ่อยู่ หลายปีที่ผ่านมา เขารักและโปรดปรานบุตรสาวคนโตที่มีอุปนิสัยดีงาม สุภาพอ่อนโยนผู้นี้มาโดยตลอด แล้วจะตัดใจทิ้งนางเพียงเพราะเื่นี้จริงๆ ได้อย่างไร
นอกจากนี้โม่เสวี่ยิ่ก็ยังมีเหตุผลเพียงพอ แม้โม่ฮว่าเหวินจะโกรธจนหน้ามืดเป็เหตุให้ไม่ยอมฟังเหตุผลในยามนั้น แต่เมื่อใจเย็นลงและมาใคร่ครวญย้อนหลัง ย่อมรู้สึกว่าที่บุตรสาวกล่าวมาก็นับว่ามีเหตุผล ตอนนั้นเขากำลังโกรธเคืองฟางอี๋เหนียง จึงนึกตำหนิมาถึงนางด้วย
ประกอบกับเสนาบดีหลี่เดินทางมาเยือนด้วยตนเอง ให้คำรับรองเป็มั่นเหมาะว่าชื่อเสียงของบุตรสาวคนอื่นๆ จะไม่ได้รับผลกระทบ อารมณ์ขุ่นเคืองที่มีต่อโม่เสวี่ยิ่จึงค่อยเบาลงมากึ่งหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าโม่เสวี่ยิ่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับหญิงร้ายกาจอย่างฟางอี๋เหนียงด้วยเหตุจำเป็ มิได้มีลับลมคมในกับผู้ใดทั้งสิ้น
การที่ต้องมาพบปะกับเ้าหนุ่มเสเพลอย่างหลี่โย่วโม่ก็เป็ความโชคร้ายของนางเอง บัดนี้เมื่อได้ยินคำถามอย่างใส่ใจของโม่เสวี่ยถงใบหน้าก็ระบายไปด้วยรอยยิ้ม โบกมือให้บ่าวไพร่ที่ติดตามถอยออกไปก่อน
“ถงเอ๋อร์ พี่สาวของเ้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบหนีออกจากจวน... เพราะได้ยินว่าสุขภาพของฟางอี๋เหนียงกำลังแย่ จึงออกไปหายาเท่านั้น... แต่ไม่รู้ว่าไปพบกับหลี่โย่วโม่จนเกิดเื่ไม่งามเช่นนั้นได้อย่างไร เกือบจะทำให้ชื่อเสียงของพวกเ้าเสื่อมเสียไปด้วย แต่นางมิได้ตั้งใจจริงๆ” โม่ฮว่าเหวินถอนใจอีกครา กล่าวด้วยสีหน้าละอายใจยิ่ง
เขาโปรดปรานโม่เสวี่ยิ่เพราะนางเป็เด็กฉลาดรู้ความ รักโม่เสวี่ยถงเพราะนางเป็บุตรของสตรีในดวงใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกนางทั้งสองล้วนเป็บุตรสาวของตนเอง แล้วเขาจะยอมให้พี่น้องต้องหมางใจกันได้อย่างไร
“ท่านพ่อไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ ถงเอ๋อร์เข้าใจจิตใจของพี่หญิงใหญ่ดี ฟางอี๋เหนียงเป็ผู้ให้กำเนิด ส่วนลึกในใจย่อมใคร่ครวญถึงฟางอี๋เหนียง เมื่อเห็นนางกำลังล้มเจ็บย่อมร้อนใจเป็ธรรมดา ดังนั้นจึงฝ่าฝืนคำสั่งของท่านพ่อด้วยความจำเป็ ถงเอ๋อร์เข้าใจเ้าค่ะ หากเปลี่ยนเป็ท่านแม่ไม่สบายถงเอ๋อร์ก็คงจะออกไปข้างนอกหายาดีๆ หาท่านหมอมารักษาท่านแม่เช่นเดียวกัน” โม่เสวี่ยถงทำทีเข้าใจความหมาย ยิ้มกล่าวกับโม่ฮว่าเหวินอย่างอ่อนโยน นางรู้ว่าเวลานี้แม้กล่าวถึงโม่เสวี่ยิ่ในทางร้ายบิดาก็คงไม่ฟัง มีเพียงแต่พาดพิงถึงความร้ายกาจของฟางอี๋เหนียง จึงจะเป็ดั่งหนามแหลมทิ่มแทงใจเขาได้
ด้วยเื่น่ารังเกียจเพียงเื่เดียว ไม่อาจทำให้บิดาเลิกชมชอบในตัวโม่เสวี่ยิ่ได้ สิ่งที่ตนเองต้องทำคือกระตุ้นเตือน คอยกระทุ้งจุดเจ็บของบิดาอยู่เรื่อยๆ พอเวลาผ่านไปนานเข้า เมื่อโม่เสวี่ยิ่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ถึงเวลานั้นบิดาก็จะไม่ออกโรงปกป้องนางอีกต่อไป
เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงเปรียบเทียบลั่วเสียกับฟางอี๋เหนียง ก็พลันนึกได้ว่าโม่เสวี่ยิ่ขัดคำสั่งของตนเองก็เพื่อฟางอี๋เหนียง และยิ่งนึกถึงเื่ที่อนุตัวดีของตนนำตราประทับหยกของซือหม่าหลิงอวิ๋นใส่ถุงหอมปักลายนกยวนยางไปซุกไว้ใต้หมอน สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินพลันเย็นลง ความรู้สึกพะอืดพะอมดั่งมีแมลงวันอยู่ในปาก
คนหนึ่งคือสตรีที่ตนเองรักทั้งยังเป็ภรรยาเอก อีกคนกลับมีความคิดเลวร้ายเป็อนุภรรยาที่สวมหมวกเขียวให้กับตนเอง ไหนเลยจะเทียบกันได้ เมื่อคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกทันทีว่าโม่เสวี่ยิ่ไม่รู้จักคำนึงถึงส่วนรวม อี๋เหนียงอย่างไรก็คืออนุภรรยา สมควรแล้วหรือที่คุณหนูเช่นนางต้องลอบออกจากจวนยามดึกจนกลายเป็เื่ใหญ่เช่นนี้
ดูท่าการอบรมสั่งสอนของฟางอี๋เหนียงคงจะมีปัญหาจริงๆ
เห็นสีหน้าของโม่ฮว่าเหวินเคร่งขรึมลง โม่เสวี่ยถงก็พลันเปลี่ยนเื่คุย นางดึงแขนเสื้อของบิดาแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ท่านพ่อ คุณหนูหลันจะมาอยู่จวนของพวกเราถึงเมื่อไรเ้าคะ ถงเอ๋อร์จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนนางก็เคยมาบ้านพวกเรา ตอนนั้นท่านแม่ป่วยหนัก ถงเอ๋อร์ก็ยังเล็กอยู่จำอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก ได้ยินว่านางสนิทสนมกับท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านย่ากับพี่หญิงรองยังให้ถงเอ๋อร์เรียกนางว่าท่านอาอยู่เลย”
ใบหน้าเล็กจ้อยต้องแสงอรุโณทัยพราวพร่าง ริมฝีปากทอยิ้มงามบริสุทธิ์ แพขนตายาวงามงอนกะพริบถี่ เผยความน่ารักน่าเอ็นดูราวกับว่าถามเล่นๆ ไปเช่นนั้นเอง เมื่อเห็นสีหน้าเบิกบานไม่รู้จักทุกข์ร้อนของบุตรสาว หัวใจของโม่ฮว่าเหวินพลันอ่อนยวบราวกับก้อนนุ่น แล้วโทสะสายหนึ่งก็ปะทุขึ้นในใจ ความประสงค์ของเหล่าไท่ไท่ที่หมายให้ตนเองแต่งสตรีสกุลหลันเข้าจวนมีมาั้แ่ลั่วเสียยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมกระจ่างใจมาโดยตลอด
แม้ว่าเขาจะซาบซึ้งในบุญคุณของเหล่าไท่ไท่ แต่เื่นี้กลับไม่คิดให้ผู้ใดมาเ้ากี้เ้าการ นับั้แ่ที่ตนเองได้พบกับลั่วเสียก็มีความคิดจะแต่งนางเป็ภรรยาเท่านั้น ต่อมาเมื่อลั่วเสียล้มป่วย หลันซินหยูแต่งกายยั่วยวนมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา ด้วยเห็นแก่หน้าของเหล่าไท่ไท่จึงมิได้ว่ากล่าวสิ่งใด ยามนี้เมื่อเห็นเหล่าไท่ไท่พยายามล่อลวงบุตรสาวที่น่ารักของตนเองอีก ย่อมไม่อาจระงับความโกรธเคืองในใจได้ต่อไปได้
ให้หลันซินหยูมีศักดิ์เป็อา ความหมายก็คือคิดจะใช้ฐานะความเป็ญาติอาศัยอยู่ในบ้านผู้อื่นระยะยาว สตรีที่ชอบเล่นหูเล่นตากับบุรุษเยี่ยงนั้นกล้าฝันเฟื่องจะมาเป็นายหญิงของจวนโม่ได้อย่างไร แค่นึกถึงที่อีกฝ่ายกล่าววาจาไร้ยางอายต่อหน้าบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็หัวเสีย เส้นเืที่ขมับเต้นตุบๆ หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที
เขาเป็นายของบ้านนี้ แม้ว่าจะสำนึกในบุญคุณของเหล่าไท่ไท่เพียงใดก็ไม่อนุญาตให้มายุ่มย่ามเื่การแต่งงานของตนเอง
“พอพ้น่ฉลองวันตรุษ ย่างเข้าฤดูวสันต์ท่านย่าของเ้าก็กลับแล้ว ถึงเวลาคุณหนูหลันย่อมตามกลับไปด้วย ท่านย่าของเ้าเลอะเลือนแล้ว ญาติแท้ๆ ของเ้าคือตระกูลทางฝู่กั๋วกงต่างหากเล่า จะยึดตามบ้านของตนเองได้อย่างไร ต่อไปหากท่านย่ากล่าวเช่นนี้อีกก็ไม่ต้องไปสนใจ ธรรมเนียมปฏิบัติของทางบ้านย่าเ้ากับที่นี่ไม่เหมือนกัน” โม่ฮว่าเหวินใคร่ครวญแล้วก็หันมาอธิบายกับบุตรสาว
แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าต้องหาเวลาไปคุยกับเหล่าไท่ไท่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจก็ต้องพูดให้กระจ่าง อย่างไรเขาก็ไม่มีทางให้ถงเอ๋อร์เรียกหลันซินหยูว่าท่านอา เมื่อก่อนเพราะลั่วเสียขัดขืนความประสงค์ของเหล่าไท่ไท่ จึงไม่เป็ที่โปรดปราน ถงเอ๋อร์ก็ได้รับความไม่เป็ธรรมมามากพอแล้ว จะให้นางต้องมายอมรับเื่แบบนี้อีกไม่ได้เด็ดขาด
“ที่แท้พอถึงปีใหม่คุณหนูหลันก็จะไปแล้วนี่เอง เห็นพวกป้าิกับสาวใช้คุยกันว่าคุณหนูหลันคิดจะอยู่อีกนาน ก็เลยปัดกวาดเช็ดถูเรือนที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดหลังนั้นให้นางเป็พิเศษ ท่านพ่อยังจำได้หรือไม่ เรือนที่อยู่ติดกับทางเชื่อมหลังนั้นอย่างไรเล่า ใช่แล้วๆ อยู่ใกล้กับห้องหนังสือของท่านพ่อที่สุดด้วย พวกเราจัดแจงให้คุณหนูหลันพักอยู่ที่เรือนหลังนั้น ท่านย่าก็เห็นว่าเหมาะสม”
โม่เสวี่ยถงพูดจ้อไม่หยุดปากด้วยวาจาใสซื่อ น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน ดวงตาใสแจ๋วทอประกายดั่งหยดน้ำ รอยยิ้มพราวพร่างท่ามกลางแสงตะวัน สายลมโชยเอื่อยยกปอยผมเล็กๆ สะบัดพลิ้ว กลิ่นอายแห่งความอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาแผ่กำจายออกมา
โม่ฮว่าเหวินยืนนิ่ง พลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของบุตรสาวที่เดินเคียงอยู่ด้านข้างอย่างรักใคร่ “เื่เหล่านี้ให้แม่นมิกับอี๋เหนียงทั้งสองเป็ธุระไปเถิด คืนนี้ในวังจัดงานเลี้ยงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮา ครอบครัวของขุนนางขั้นสามขึ้นไปสามารถเข้าร่วมได้ พ่อคิดไว้แล้วว่าจะพาเ้าไปด้วย”
เมื่อกล่าวจบเห็นบุตรสาวจ้องตนเองตาค้างก็หัวเราะแล้วกล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “หากถงเอ๋อร์อยากจัดการดูแลเรือนหลังก็ย่อมได้ พอผ่านเทศกาลวันตรุษไปแล้ว สี่ตระกูลกั๋วกงต่างแยกกันจัดงานเลี้ยง ระหว่างนั้นถงเอ๋อร์ก็เรียนรู้เื่การจัดการดูแลภายในเรือนกับแม่นมิ และฉวยโอกาสที่จวนกั๋วกงจัดงานเลี้ยงฝึกฝนการเข้าสังคมให้คล่องแคล่ว”
จวนกั๋วกงทั้งสี่ตระกูลจะแยกกันจัดงานเลี้ยง? เพราะอะไรล่ะ?
“ท่านพ่อ ไฉนลูกจึงไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงงานเลี้ยงในวังคืนนี้มาก่อนเลย แล้วเหตุใดจวนกั๋วกงทั้งสี่จึงต้องแยกกันจัดงานเลี้ยงอีกเล่า ในวังหลวงจะมีข่าวดีอันใดอีกหรือเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงเอียงคอถามด้วยสีหน้าฉงน นางไม่เคยทราบสถานการณ์เกี่ยวกับสี่ตระกูลกั๋วกงซึ่งเป็ตระกูลใหญ่ของแคว้นฉินแม้แต่น้อย
ปรกติแค่ได้รับเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงทั่วไปก็เป็เื่ที่ดีเยี่ยมแล้ว แต่เหตุใดจึงดูเหมือนว่าสี่ตระกูลกั๋วกงราวกับกำลังรอคอยที่จะเป็ผู้จัดการเลี้ยงเยี่ยงนี้เล่า เมื่อชาติที่แล้วนางก็เคยได้ยินเื่นี้ แต่งานเลี้ยงก็เกิดขึ้นั้แ่ก่อนที่นางจะกลับมาเมืองหลวงแล้ว
เนื่องจากเื่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง นางจึงไม่เคยคิดถามอย่างละเอียด แต่จำได้ว่าเคยมีครั้งหนึ่งโม่เสวี่ยิ่เคยโอ้อวดถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับของตนเองยามไปร่วมงานเลี้ยงของสี่ตระกูลใหญ่ ทุกชิ้นล้วนงดงามหรูหราอย่างไร้ที่เปรียบปาน งานเลี้ยงเหล่านี้คือโอกาสให้โม่เสวี่ยิ่ได้สร้างความโดดเด่น และได้ชื่อว่าเป็หญิงงามที่มีพร์ความสามารถเป็ที่ประจักษ์ไปทั่ว
“งานเลี้ยงในวังคืนนี้ฝ่าาเพิ่งประกาศตอนเข้าประชุมเมื่อเช้านี้เอง ส่วนงานเลี้ยงของสี่ตระกูลกั๋วกงเกิดจากองค์ชายสองพระองค์นึกสนุกเสนอขึ้นมา โดยมีฉู่อ๋องเป็คนต้นคิด เยี่ยนอ๋องก็ทรงเห็นด้วย ขุนนางใหญ่ในท้องพระโรงต่างมีความเห็นว่าหากจวนกั๋วกงทั้งสี่ตระกูลเป็ฝ่ายจัดงานเลี้ยงบ้าง เทศกาลวันตรุษปีนี้คงจะมีความหมายเป็พิเศษ” แม้โม่ฮว่าเหวินจะหัวเราะเริงร่า ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงเบื้องลึกของดวงตา ซึ่งดูคล้ายมีพยับเมฆครึ้มอยู่
ฉู่อ๋องเป็ผู้เสนอให้จวนกั๋วกงสี่ตระกูลจัดงานเลี้ยง แต่เยี่ยนอ๋องซึ่งเป็ขั้วตรงข้ามกลับเห็นด้วย เื่นี้จึงมิได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น ดูจากแววตาของบิดาที่ไม่อาจซ่อนความหนักใจไว้ได้ โม่เสวี่ยถงพลันรู้สึกแน่นอก แต่ก็ทราบดีว่าแม้ตนเองจะซักไซ้ไล่เลียงอย่างไรก็คงมิได้ความที่้า จึงเลี่ยงเปลี่ยนไปคุยเื่อื่น นางดึงชายเสื้อของโม่ฮว่าเหวินแล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “ท่านพ่อ ถงเอ๋อร์ไม่มีอาภรณ์ใหม่ๆ เลย หากต้องเข้าวังจะไม่ทำให้ท่านพ่อเสียหน้าหรือเ้าคะ ไม่สู้ให้พี่หญิงใหญ่ไปแทนดีกว่า...”
“สองสามวันนี้พี่สาวของเ้ากำลังมีเื่อยู่ อีกอย่างในวังครั้งนี้... ช่างเถอะ งานเลี้ยงในวังครานี้ถึงนางไม่ไปก็ไม่เป็ไร ถงเอ๋อร์เป็ธิดาภรรยาเอกย่อมต้องไปเป็ตัวแทนของจวนโม่ เื่เสื้อผ้าเ้าไม่ต้องกังวล พ่อสั่งโม่อี๋เหนียงให้นางช่วยตัดชุดใหม่สองสามชุดไว้ให้นานแล้ว เดี๋ยวเ้ากลับไปที่เรือนชุดก็คงไปถึงแล้วล่ะ ถงเอ๋อร์ของพ่อสวมใส่แล้วจะต้องกลายเป็โฉมงามตัวน้อยเป็แน่”
โม่ฮว่าเหวินหยอกเย้าบุตรสาว คิดตัดสินใจเงียบๆ วันนี้ไม่อาจให้ิ่เอ๋อร์เข้าวังเด็ดขาด คราวที่แล้วเกิดเื่แบบนั้น หากเข้าวังอีกจะต้องเกิดเื่อันใดอีกแน่ โม่ฮว่าเหวินยังจำได้ว่าบุตรสาวกลับมาครานั้น สาวใช้ประจำตัวก็หายสาบสูญไป ต่อมาพอซักไซ้ไล่เลียงกลับไม่พบแม้แต่เบาะแสให้ตรวจสอบ คงจะถูกผู้มีอำนาจในวังหลวงกวาดล้างอย่างหมดจดไปแล้ว
ไม่รู้ว่าิ่เอ๋อร์ไปสร้างความระคายเคืองให้แก่ผู้ใดในวังหลวง หากให้เข้าวังอีกก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น ่นี้นางมีคดีติดตัวมากพอแล้ว หากถูกผู้ใดในวังหลวงเกลียดชังก็จะนำภัยอันตรายมาถึงตัว ถึงอย่างไรก็ยังมีงานเลี้ยงของสี่ตระกูลกั๋วกงอีก ถึงเวลาก็ให้นางไปออกงานเ่าั้ก็ได้
“แต่ว่า... ท่านพ่อ ถงเอ๋อร์ยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์นะเ้าคะ...” โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ ใน่ไว้ทุกข์ไม่ควรจะอยู่ในบรรยากาศรื่นเริง ควรงดการไปร่วมงานเฉลิมฉลองจึงจะถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจแสดงถึงความไม่กตัญญู
“ไม่มีปัญหา พ่อกราบทูลฝ่าาแล้วว่าในบ้านมีธิดาที่เกิดจากภรรยาเอกเพียงคนเดียว แต่จำเป็ต้องพาเข้างานสังคม นอกจากนี้นี่ก็ไม่ถือว่าเป็งานเลี้ยงเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ อย่ากังวลไปเลย” โม่ฮว่าเหวินลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่ ยิ่งคิดว่านางต้องสูญเสียมารดาั้แ่ยังเยาว์ก็ยิ่งสงสารจับใจ แต่งานเลี้ยงแบบนี้หากพาบุตรธิดาอนุภรรยาไปออกงานก็ไม่เหมาะสม สกุลโม่มีธิดาภรรยาเอกเพียงคนเดียว แล้วจะให้นางไม่ได้ออกงานสังคมเพียงเพราะต้องไว้ทุกข์ให้มารดาได้อย่างไรเล่า
ที่ลำบากใจก็คือ ตนเองมีบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาเพียงคนเดียว ถึงอย่างไรก็คงต้องพาเขาไปด้วย