บทที่ 126 จวนตระกูลเสวี่ย
เมื่อออกจากสถานที่ที่พลุกพล่าน ฉู่อวิ๋นก็ตรงไปยังใจกลางเมืองชุยเสวี่ยตามที่อยู่ของจวนตระกูลเสวี่ยที่เสวี่ยหรูเยียนให้มา
ก่อนหน้านั้น เขาเคยคิดที่จะเปลี่ยนชุดหนังสัตว์ธรรมดาๆ นี่ เพราะมันตกเป็เป้าสายตาดูถูกเหยียดหยามมากมายและไม่สะดวกอย่างยิ่ง
แต่หลังจากคิดไปคิดมาก็ล้มเลิก
ในเมื่อเข้าเมืองมาในฐานะคนป่า “อวิ๋นชู” ก็จำต้องแสดงต่อไป ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก
จวนตระกูลเสวี่ยตั้งอยู่ใจกลางเมืองชุยเสวี่ย พื้นที่ขนาดใหญ่มาก มีตึกหอมากมาย เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่โอฬาร มีทางเข้าจวนเพียงห้าหรือหกทางเท่านั้น โดยมีทหารที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันอยู่
รับรู้ได้ทันทีว่าตระกูลเสวี่ยมีสถานะสูงส่ง แม้แต่คนที่สัญจรผ่านไปมาก็น้อยนิด ดูเหมือนว่าบริเวณโดยรอบจะเงียบสงบมาก
ในเวลานี้ ท้องฟ้ามืดแล้ว ฉู่อวิ๋นเดินเอามือไพล่หลัง และมาถึงทางเข้าหลักของจวนตระกูลเสวี่ย
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าประตูที่เปิดอยู่ทำจากทองคำเนื้อดี สูงหกถึงเจ็ดหมี่ ประดับด้วยลวดลายหงส์ั บ่งบอกว่าตัวตนของเ้าของจวนนั้นไม่ธรรมดา
แผ่นป้ายไม้โบราณที่แขวนอยู่กลางอากาศมีเพียงคำว่า “เสวี่ย[1]” เท่านั้นที่สลักไว้ ัและหงส์กำลังเต้นรำ เปล่งรัศมีแสงด้วยประกายแวววาวจางๆ ส่องกระทบไปทุกทิศทาง ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องสว่าง ดูสวยงามเกินบรรยาย
ที่หน้าประตูมีทหารยามสองคนเฝ้าอยู่ พวกเขามีดวงตาเฉียบคม ร่างกายแข็งแกร่ง และยืนตรงราวกับหอก ทั้งสองเป็นักรบขั้นมหาสมุทรที่มีความแข็งแกร่งสูง
เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นกำลังเดินเข้ามาใกล้ แววตาของทั้งคู่ก็เริ่มฉายแววดุร้าย แผ่แรงกดดันเพื่อให้เขารู้สึกลำบากแล้วล่าถอยไป
คนธรรมดาทั่วไปคงหวาดกลัวกับพลังนี้ไม่น้อย แต่ฉู่อวิ๋นกลับนิ่งเฉยและเดินตรงไปโดยไม่เผยความกลัวใดๆ
"นี่คือจุดศูนย์กลางของเมืองชุยเสวี่ย! เ้าคนป่าคิดจะมาสร้างปัญหาหรือไร? รีบออกไปเสีย!"
เมื่อเห็นใครบางคนใกล้เข้ามา แม้จะปล่อยแรงกดดันอยู่แต่เหล่าทหารยามก็ยังะโไล่อยู่ดี มือหนาใหญ่ของพวกเขาจับด้ามดาบที่เอว ดวงตาเผยความดูถูกและโหดร้าย
ดูเหมือนว่าแค่ฉู่อวิ๋นเข้าไปใกล้อีกก้าวเดียว พวกเขาก็จะโจมตีและฆ่าเขาทันทีโดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ
“ข้าชื่ออวิ๋นชู คุณหนูเสวี่ยหรูเยียนของพวกเ้าบอกให้ข้ามาที่นี่” ฉู่อวิ๋นตอบอย่างแ่เบา ไม่ถ่อมตัวหรือเหน็บแนม แต่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในเมื่อเสวี่ยหรูเยียนเต็มใจเชิญเขามา นางย่อมต้องแจ้งให้ทหารยามทราบก่อน แต่เหตุใดตอนนี้พวกเขาถึงไม่ปล่อยให้เขาเข้าไป?
เื่นี้ดูจะแปลกไปสักหน่อย
“คุณหนูเสวี่ยหรูเยียนเป็คนเชิญ?” ทหารยามจับดาบมองดูฉู่อวิ๋นอย่างรังเกียจ มองขึ้นลงสองสามครั้งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูเสวี่ยเป็ไข่มุกแห่งตระกูลเสวี่ย สถานะสูงส่ง จะไปรู้จักกับคางคกเช่นเ้าได้อย่างไร?”
“คิดจะมาลักไก่ขโมยสุนัข? ชาติหน้าเถอะ คนเช่นข้าสายตาทะลุปรุโปร่ง แวบเดียวก็มองเ้าออก คนป่าเอ๋ย” ทหารยามอีกคนยิ่งกล้าประชดประชันมากขึ้น
เสวี่ยหรูเยียนคือใคร? บุตรีคนเล็กของเสวี่ยจิงหง ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลเสวี่ย นางมีความงามที่โดดเด่น ผิวขาวผ่อง มารยาทงดงาม มีชื่อเสียงมายาวนานในเมืองชุยเสวี่ย
คนที่มีเสน่ห์เช่นนั้นจะรู้จักกับคนป่าที่มีสถานะต่ำต้อยและไม่มีที่พำนักถาวรได้อย่างไร? ผู้คุมทั้งสองคิดว่าคำพูดของฉู่อวิ๋นค่อนข้างไร้สาระ
“สิ่งที่ข้าพูดเป็ความจริง หากพวกเ้าไม่เชื่อสามารถนำคำไปแจ้งได้” ฉู่อวิ๋นยืนสองมือไพล่หลัง จ้องมองไปที่ทหารยามทั้งสอง น้ำเสียงของเขาเ็ามาก
อีกฝ่ายไม่ได้มองเขาในแง่ดี ทั้งยังพูดจาเสียดสี แม้จะอายุเพียงสิบหกปี แต่ฉู่อวิ๋นก็อดรู้สึกโกรธขึ้นมาไม่ได้
แต่สถานการณ์โดยรวมสำคัญที่สุด และเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กระทำการใดๆ
ทว่าเมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นไม่มีทีท่าว่าจะไป ทหารยามทั้งสองก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ก็แค่คนป่าที่มีกลิ่นอายของขอบเขตควบแน่นพลังปราณเท่านั้น แต่กลับมาพูดจาเพ้อเจ้ออยู่ที่นี่ คิดว่าพวกเขาหลอกง่ายหรือ?
“นำคำไปแจ้ง? ข้าเป็ถึงนักรบขั้นมหาสมุทรกลับต้องลดตัวช่วยนำคำเ้าไปแจ้ง? ถ้าป่วยก็ไปรักษาเสีย!”
“ทั้งปีชอบมีคนโง่เขลาสองสามคนที่มาก่อกวน มาทางไหนกลับไปทางนั้นเถอะ! ข้าจะนับถึงสาม ถ้ายังไม่กลับไปก็อย่ามาโทษพวกข้าที่หยาบคาย!”
ทหารยามเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว จ้องมองฉู่อวิ๋นด้วยความโกรธ ชักดาบออกมา ส่องประกายเย็นวูบวาบ เตรียมพร้อมที่จะลงมือ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างหวาดกลัว จึงรีบหันหลังกลับและจากไป
“โอ๊ะ? ดูเหมือนว่าพวกเ้าจะไร้สมองเกินไปแล้วกระมัง? ไม่รู้หรือว่าการละเลยแขกเป็โทษร้ายแรง? แค่นำคำไปแจ้งยังทำไม่ได้ แล้วให้พวกเ้ามาเฝ้าประตูจะมีประโยชน์อะไร?”
“ข้าว่าไม่สู้ผูกสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่สองตัวไว้หน้าประตูจะดีกว่า อย่างไรเสียพวกมันก็หน้าที่คล้ายกับพวกเ้า ที่ทำได้แค่เห่า” ฉู่อวิ๋นเยาะเย้ยถากถางอย่างไม่คิดจะถอยกลับ แต่แววตาของเขากลับคมกริบและพร้อมที่จะโจมตี
ถ้าทั้งสองคนลงมือ ฉู่อวิ๋นจะสู้กลับแน่นอน คิดว่าเขาเป็ไก่อ่อนหรือ?
“เ้าสารเลว ปากคอเราะรายนักนะ! เ้ากล้าดูถูกผู้ฝึกดาบแห่งตระกูลเสวี่ยหรือ?!”
“เ้าเด็กชาวป่าพลังยุทธ์ก็ต่ำ การศึกษาก็ไม่มี ตอนนี้ข้าจะสอนวิธีเขียนคำว่า 'ตาย' ให้เ้าเอง!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมเ่าั้ ทหารยามทั้งสองก็โกรธจัด พวกเขาชักดาบยาวออกมาด้วยพลังที่เปล่งประกาย กำลังจะฆ่าชายหนุ่มบ้านป่าที่โง่เขลาที่อยู่ตรงหน้าเพื่อระบายความโกรธ
ดวงตาของฉู่อวิ๋นเคร่งขรึมอย่างพร้อมที่จะะเิพลังออกมาทุกเมื่อ รอยฝ่ามือรูปัควบแน่นอยู่ในมือของเขา แสงสีทองเปล่งประกาย และส่งเสียงคำรามอย่างลึกซึ้ง
“เกิดอะไรขึ้น?!”
แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงะโดังมาจากไกลๆ ดังกึกก้องและหนวกหู
ทันใดนั้นก็มองเห็นหญิงนางหนึ่งมีสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แยแส ร่อนฝีเท้าของนางลงกระทบพื้น บินออกจากประตูทองอันวิจิตร แล้วเดินไปยังจุดที่ทั้งสามเผชิญหน้ากัน
“แม่บ้านหนิง ไม่ต้องรบกวนท่านหรอกขอรับ แค่คนป่าหน้าโง่คนหนึ่ง อีกเดี๋ยวก็จะจัดการเขาเสีย ให้สมกับบารมีของตระกูลเสวี่ย!”
เมื่อเห็นหญิงคนนี้มา ผู้คุมทั้งสองก็ทำงานหนักขึ้นอย่างพยายามอวดตัว ยืดตัวให้ตรง หันหน้ากลับมา ้าฟันฉู่อวิ๋นให้ตายภายในดาบเดียว
ทว่า ก่อนที่จะลงมือสังหาร หนิงซิ่วก็คำรามด้วยความโมโหแล้วปล่อยหมัดออกไปสองครั้ง ทำให้ดาบของทหารหลุดมือ
จากนั้นนางก็รีบวิ่งไปข้างหน้า ฟาดเข้าที่ดวงตาของทหารยามทั้งสองที่ฉายแววงุนงง ด้วยเสียง “ตุ๊บ” สองครั้ง ทั้งสองก็กระเด็นไปไกล คนหนึ่งไปทางซ้ายและอีกคนไปทางขวา พวกเขาไอเป็เืออกมาเต็มปาก
“แม่บ้านหนิง... ท่านเป็อะไร...” ทหารยามนอนอยู่บนพื้นไอเป็เื จับใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนเองด้วยความงุนงง หนิงซิ่วตีคนผิดหรือเปล่า?
“นายท่านคนนี้เป็แขกของคุณหนูเสวี่ย ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้สังเกตคนที่แต่งกายด้วยหนังสัตว์” หนิงซิ่วชี้ไปที่ทั้งสองและดุด่าด้วยความโมโห
“ไม่นะขอรับ! พวกข้าเพิ่งมายืนเฝ้า นี่ก็เพิ่งได้พบแม่บ้านหนิงเป็ครั้งแรกนะขอรับ” ทหารทั้งสองกล่าวอย่างเสียใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนิงซิ่วก็ยิ่งโกรธมากขึ้น อยากจะสั่งสอนทั้งสองคน แต่ขณะที่นางกำลังจะลงมือก็หยุดชะงัก นิ่งไปครู่หนึ่ง และค้นพบบางสิ่ง
ดูเหมือนว่าสองคนนี้ไม่ใช่ทหารยามที่นางสั่งการในเวลานั้นจริงๆ
“พี่ใหญ่หนิง ข้ามาสาย ขอโทษด้วย” ในเวลานี้ ฉู่อวิ๋นยกมือขึ้นทำความเคารพแล้วพูดโดยมองไปที่ทหารยามทั้งสอง ทำให้พวกเขาดูใและก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
“ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ มาก็ดีแล้ว ทหารของเราตาไม่มีแวว น่าอายท่านจริงๆ คุณชายอวิ๋น” หนิงซิ่วยกยิ้มและมองดูฉู่อวิ๋นด้วยสีหน้ายินดี ท้ายที่สุด ชีวิตของนางก็ถือได้ว่าเป็ฉู่อวิ๋นที่ช่วยเอาไว้
และในความเห็นของนาง “อวิ๋นชู” คนนี้ เป็ทายาทผู้มีความสามารถของตระกูลโบราณอย่างแน่นอน เขาจะต้องได้รับการดูแลอย่างดี เื่นี้ไม่อาจละเลย
หลังจากนั้น ทั้งสองก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยและเตรียมตัวเข้าไปในจวนตระกูลเสวี่ย
แต่ก่อนที่จะเข้าไป หนิงซิ่วก็ถามทหารทั้งสอง “นี่ไม่ใช่เวลาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเ้า แล้วเหตุใดถึงยืนเฝ้าอยู่ที่นี่?”
ทหารยามทั้งสองรายงานตามความจริง “เป็... คุณชายชุยเสวี่ยที่ส่งมาชั่วคราว! พวกข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดขอรับ”
“คุณชาย?” หนิงซิ่วขมวดคิ้ว รู้สึกสับสน นางรู้ว่าปกติแล้วคุณชายชุยเสวี่ยจะไม่สนใจเื่เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่นี่น่าสงสัยยิ่งนัก
แต่นางก็ไม่ได้คิดมาก ดุทั้งสองคนอีกไม่กี่คำก็พาฉู่อวิ๋นเข้าไปในจวนตระกูลเสวี่ยขนาดใหญ่แห่งนี้
“คุณชายชุยเสวี่ย?” ทว่าฉู่อวิ๋นแอบจำชื่อนี้ไว้แล้ว และรู้สึกระแวงในใจ
เขารู้สึกว่าพี่ชายของเสวี่ยหรูเยียนคงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายนัก
นี่เป็ความรู้สึกรังเกียจโดยสัญชาตญาณ อธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ภายในจวนตระกูลเสวี่ย ภูมิทัศน์งดงาม มีสะพานข้ามเล็กๆ น้ำใสไหลเย็น และศาลาสงบริมน้ำ แค่เดินไปที่ลานรับแขกก็ต้องผ่านเส้นทางยาวเหยียดที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ระหว่างทางมีแม้กระทั่งเสียงนกร้อง ฟังดูไพเราะชัดเจน
เย็นย่ำแล้ว แม้ว่าภายในจวนจะใหญ่โต แต่ก็ไม่รู้สึกรกร้าง กลับสว่างไสวไปด้วยโคมไฟหลากหลายลวดลาย
เดินไปไม่กี่ก้าวก็จะมีคนรับใช้คอยอยู่ปรนนิบัติ มีชีวิตชีวามาก บรรยากาศก็ค่อนข้างรื่นเริง
ภายใต้การจัดการของหนิงซิ่ว ฉู่อวิ๋นจึงได้พักอยู่ในห้องเดี่ยวที่หรูหราที่สุดในลานบ้าน มีทั้งหมดสามชั้น พร้อมด้วยสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มอีกหกคน เป็ชีวิตที่หรูหรายิ่งนัก
แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุก เขายืนกรานซ้ำๆ จนเหลือสาวใช้ไว้ส่งสารเพียงสองคนเท่านั้น
เขามีความลับมากมาย ไม่้าให้มีคนรอบตัวมากเกินไป ไม่เช่นนั้นมันจะถูกเปิดเผยเอาได้ง่ายๆ
ในเวลานี้ ฉู่อวิ๋นกำลังยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของปีกห้อง มองไปยังทะเลสาบเล็กๆ ด้านล่าง ฟังเสียงน้ำไหลและเสียงนกร้อง
สาวใช้สองคนนำอาหารรสเลิศมาวางไว้เต็มโต๊ะ กลิ่นหอมของเนื้อโชยเชิญชวน ทั้งโต๊ะมีอาหารโอชะมากกว่าสิบอย่าง ล้วนถูกปรุงโดยพ่อครัวชื่อดังของเมือง
เห็นได้ว่าเสวี่ยหรูเยียนปฏิบัติต่อฉู่อวิ๋นในฐานะแขกจริงๆ นางจัดเตรียมทุกสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้
หลังจากเห็นสาวใช้ออกไปแล้ว ฉู่อวิ๋นก็กลับมาอยู่คนเดียว นั่งอยู่ที่โต๊ะกลมกว้างและมองดูอาหารเลิศรส
“ตามคาด ครอบครัวที่มีชื่อเสียง แม้แต่อาหารก็ยังปรุงด้วยยาอายุวัฒนะที่ช่วยในการฝึกฝน ดูมีระดับเสียจริง” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจกับตัวเอง ไม่มีความอยากอาหารมากนัก ตอนนี้จิตใจของเขามีแต่ภาพของฉู่ซินเหยา
แต่ในท้ายที่สุด เขาก็หยิบขาไก่ที่อวบอ้วนขึ้นมากัดเข้าปาก
หลังจากเคี้ยวไปได้สองสามคำ เนื้อหวานฉ่ำและกลิ่นหอมหวานก็โชยออกมา หลังจากกลืนเข้าไป กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของฉู่อวิ๋นก็ร้อนขึ้น เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่ไก่ชิ้นนี้มีผลในการเพิ่มความแข็งแกร่งทางกาย
“ขาไก่อวบพวกนี้! ดูท่าทางจะอร่อยนะ ข้าหิวมาก! ข้าอยากกลับคืนร่างเร็วๆ อยากกลับไปกินอาหารรสเผ็ดจริงๆ!” โยวกู่จือขยับนิ้วชี้แล้วะโด้วยความหงุดหงิด
“ผู้าุโ น่องไก่ไม่ได้เื่นี่น่ะหรือ? ไม่อร่อยเลยสักนิด ข้าเคยกินอันที่ดีกว่านี้มาแล้ว!” ฉู่อวิ๋นวางตะเกียบลงแล้วพูดเหยียด
แม้ว่าอาหารที่พี่ซินเหยาทำจะไม่มีผลต่อการฝึกฝน แต่ก็อร่อยและอบอุ่นกว่ามาก
ในท้ายที่สุด ฉู่อวิ๋นคีบอาหารทุกอย่างเข้าปากอย่างละคำแล้วก็ไม่ขยับตะเกียบอีก โยวกู่จือโกรธจนร่ำร้องออกมา บอกว่าเด็กสารเลวอย่างเขากำลังสิ้นเปลือง จะถูกฟ้าผ่าเอา
ฉู่อวิ๋นไม่สนใจเขา เขาคุ้นเคยกับชายชราที่ส่งเสียงดังหนวกหูคนนี้แล้ว จากนั้นเขาก็ะโลงบันไดและฝึกฝนฝ่ามือัพเนจรกระบวนท่าที่สาม
แต่หลังจากฝึกซ้อมได้ไม่นาน สาวใช้ก็มาแจ้งว่าเสวี่ยหรูเยียนและคุณชายชุยเสวี่ยผู้นั้นมาถึงแล้ว
----------
[1] หิมะ