“ทำไมจึงต้องเป็ปีศาจคลั่ง?”
แม้ว่าเขาจะเรียนรู้จนสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงขั้นที่สองของวิชาปีศาจคลั่งได้ แต่ฉินอวี่ก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยว่าอะไรคือวิชาปีศาจคลั่ง เดิมทีเขาคิดว่าวิชาปีศาจคลั่งเป็เพียงชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้น แต่ในครั้งนี้ เมื่อได้ตกอยู่ในสภาวะที่อัศจรรย์ ฉินอวี่ก็เข้าใจแก่นของวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตในทันที
แก่นที่แท้จริงของวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต คือคำว่า “ปีศาจคลั่ง”
ฉินอวี่ยังไม่รีบร้อนสรุปคำตอบ แต่ได้พยายามวิเคราะห์สภาวะอันอัศจรรย์ก่อนหน้านี้อย่างรอบคอบ
ก่อนหน้านี้ ฉินอวี่พบว่าเขาไม่สามารถควบคุมเจตนาแห่งการทำลายล้างที่อยู่ในใจได้เลย ราวกับว่า้าทำลายทุกสิ่งที่พบเห็น ราวกับว่า... มีความโหดร้ายอันมหาศาลกำลังเดือดพล่านอยู่ภายในใจ
เพราะอะไรจึงมีความรู้สึกเช่นนี้? หรือจะเป็เพราะสาเหตุจากวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต?
เป็ไปได้หรือไม่ว่าวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตได้ถูกพัฒนาขึ้นมาถึงระดับนี้แล้ว จึงเกิดเจตนาแห่งการทำลายล้างเช่นนี้ขึ้นมา หากเป็เช่นนี้ หลังจากสามารถฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงของวิชาปีศาจคลั่งในปริวรรตที่สองและสามได้แล้ว เขาจะสามารถระงับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นมาได้อยู่ใช่หรือไม่?
เมื่อถึงตอนนั้น ดีไม่ดีจะกลายเป็ปีศาจคลั่งที่กระหายเือย่างพวกผีดิบไปเสียก่อนหรือไม่?
ไม่สิ
ฉินอวี่นิ่งขรึมไปในทันที
เขาแทบจะยืนยันได้ทันทีว่าความโเี้และรุนแรงเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปีศาจคลั่ง แต่เป็จิตใจของเขา
อารมณ์ที่มีความรุนแรง และความโเี้ที่้าทำลายล้างเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าฉินอวี่จะไม่เคยเจอมาก่อน
ในตอนที่เขาถูกพิษยมโลกคืนชีพตอนอยู่ที่สำนักเทียนฉี ในห้วงเวลาสั้นๆ อันแสนยาวนาน ฉินอวี่ดูโทรมไปอย่างไม่อาจเทียบได้ ทั้งยังต้องเผชิญกับความสิ้นหวังและความทุกข์ท้อใจ จนอยากจะทำลายล้างทุกสิ่ง
ใน่เวลาสั้นๆ นั้น สภาวะของฉินอวี่กับสภาวะในตอนนั้นแทบไม่มีอะไรต่างกัน แม้กระทั่ง... ความบ้าคลั่งและความสุดขั้ว
“ปีศาจคลั่งไม่เพียงแต่จะเป็ตัวนำเท่านั้น แต่ยังเป็เื่จริงที่เกิดขึ้นภายในใจอย่างแน่นอน หากพูดตามตรง ปีศาจคลั่งไม่เพียงเป็แรงกระตุ้นศักยภาพในร่างกาย แต่ยังรวมถึงด้านมืดที่สุดในจิตใจอีกด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ปีศาจคลั่งได้กระตุ้นความปรารถนาภายในใจออกมา และความปรารถนาภายในใจนี้ก็สามารถจำแนกได้เป็คำหนึ่งคำ ‘ความพลิกผัน’ ”
“เมื่อเผชิญกับความเป็ความตาย ข้าจะพลิกตายฟื้นเป็”
“เมื่อต้องเผชิญกับอันดับห้าที่แข็งแกร่ง ข้ากระหายชัยชนะ จะพลิกวิถีและลงมือทำ”
“สุดท้ายแล้ว วิชาปีศาจคลั่งคือการเรียนรู้คำหนึ่งคำคือ ‘ความพลิกผัน!’ นั่นเอง”
“นี่คือแก่นแท้จริงของปีศาจคลั่ง!”
“ข้าเป็ดั่งปีศาจคลั่ง กล้าท้าทายพลิกฟ้าดิน! นี่ก็คือ... วิชาปีศาจคลั่ง!”
คงเป็เพราะเสียงอันเลื่อนลอยนั้นไม่ได้ดังขึ้น ฉินอวี่ที่อดทนรอมาเป็เวลานาน เริ่มรู้สึกถึงความอ่อนแอของร่างกาย จนเขาไม่อาจประคับประคองไว้ได้ต่อไป จึงผล็อยหลับไปในที่สุด
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด
ฉินอวี่ที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ก็ได้ยินเสียงสองเสียงนั้นอีกครั้ง และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เขาตกอยู่ในสภาพที่หมดสติเช่นนี้ ก็จะได้ยินเสียงทั้งสองเสียงนี้ทุกครั้งไป และในครั้งนี้ สิ่งที่เสียงทั้งสองกำลังพูดถึงกลับไม่ใช่เื่ของฉินอวี่
“อย่าได้คิดเลยทีเดียว ขอเพียงเ้าพอใจก็ให้เขาเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ? เขารู้จักวิชาเต๋าสามชนิดหรือ? เขารู้จักวิชาร้อยอันดับในสามพันวิชาเต๋าหรือไม่? พี่ใหญ่เทียนและพี่ใหญ่ตี้พอใจเขาหรือ? หากคิดจะให้เขาเข้ามาละก็ ไม่ต้องคุยกันดีกว่า”
“อู๋เทียน เ้า... เ้า...”
“หวังจู๋รื่อ ข้าจะบอกเ้าให้นะ เื่นี้ไม่ต้องคุยกัน นอกจากเ้าจะยอมให้เ้าเด็กคนนั้นเข้ามาที่แห่งนี้”
“เขามีสายเืของเซียนซ่วน ในตอนนั้น ปรมาจารย์แห่งเซียนซ่วนและจักรพรรดิเป็พันธมิตรต่อกัน แต่หากแบ่งตามาุโ เขานับว่าเป็คนรุ่นหลังของจักรพรรดิอยู่ครึ่งหนึ่ง!”
อู๋เทียนลังเลอยู่นาน และยังคงพูดอย่างปากแข็ง “อย่าได้พูดเลย เ้าเด็กคนนั้นยังทำให้พี่ใหญ่เทียนรู้สึกคุ้นเคยอีกด้วย”
“ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สายชีพจรเซียนซ่วนเป็สิ่งที่เ้ากับข้าจะล่วงเกินได้หรือ เ้ารู้หรือไม่ว่าในอดีตปรมาจารย์เซียนซ่วนมีความแข็งแกร่งเพียงใด?”
“ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ? หากคนอย่างข้าอู๋เทียนเห็นฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็ไม่ต้องเรียกว่าอู๋เทียนอีก พาตัวเด็กคนนั้นเข้ามา แล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง”
“ได้! ยอดเยี่ยม! ข้าจะไปพบพี่ใหญ่เทียน ขอเพียงพี่ใหญ่เทียนและพี่ใหญ่ตี้เห็นด้วย ส่วนตัวเ้าอู๋เทียน จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่มีความหมาย”
“เ้าก็ไปสิ หากพี่ใหญ่เทียนเห็นด้วย แต่พี่ใหญ่ตี้ไม่เห็นด้วยล่ะ ยังคิดจะให้เขาเข้ามาอีกหรือไม่ อย่างไรก็ทำได้เพียงรอให้พี่ใหญ่ตี้ออกจากการเก็บตัวฝึกเสียก่อน!”
“...”
หวังจู๋รื่อดูเหมือนจะหงุดหงิดอู๋เทียนอยู่พอสมควร หลังจากนิ่งเงียบไปเป็เวลานานจึงพูดขึ้น “ในตอนนั้น จักรพรรดิเคยบอกไว้แล้วว่าสายเืของเซียนซ่วนทั้งหมดเป็สิ่งที่สร้างความขุ่นเคืองมิได้ หากพวกเราไม่ได้พบเจอก็นับว่าแล้วไป แต่ในตอนนี้พวกเราพบกับสายเืเซียนซ่วนแล้ว จึงจำเป็อย่างยิ่งที่ต้องพาพวกเขาเข้ามา”
“อย่าได้ยกจักรพรรดิมากดดันข้าเลย ทำไมข้าจึงไม่เคยได้ยิน... คำสั่งจักรพรรดิล่ะ? แล้วเ้ามีคำสั่งจักรพรรดิได้อย่างไร?”
“ตอนนี้เ้ายังกล้าขัดขืน?”
“เ้า... เ้า... หวังจู๋รื่อ ใครที่เ้าพอใจก็สามารถพาเข้ามาได้ แต่พอเป็คนที่ข้าพอใจ เป็ตายอย่างไรเ้าก็ไม่เห็นด้วย ทำแบบนี้เ้าหมายความว่าอย่างไร? หากไม่พูดให้ชัด ในวันข้างหน้าก็อย่าคิดให้ข้าไปตามหาต้นกล้ารุ่นใหม่มาอีกก็แล้วกัน”
“เอ่อ... เฮ้อ... นี่ล่ะความหมายของพี่ใหญ่เทียน”
“...”
แม้ว่าฉินอวี่ที่อยู่ในภวังค์จะได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน แต่คนกำลังอยู่ในสภาวะที่อ่อนแออย่างถึงที่สุดจนไม่มีเวลาจะเอาไปแยกแยะหรือวิเคราะห์ความหมายของบทสนทนาเหล่านี้ ในตอนนี้ แม้เขา้าใช้ความคิดเพียงน้อยนิดก็ดูยากลำบากเป็พิเศษ
และไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรเช่นกัน
ฉินอวี่รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีกระแสความอบอุ่นหลั่งไหลจากปากของเขาเข้าสู่ภายในร่างกาย ราวกับสายฝนที่แปลงเป็พลังอันแข็งแกร่งหลอมรวมเข้ากับร่างกาย ช่วยบรรเทาความรู้สึกอ่อนล้าของร่างกายไปไม่น้อย
ตลอดหลายวันจากนั้น ต่างมีกระแสความอบอุ่นเช่นนี้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอยู่เสมอ
เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ติดต่อกันเป็เวลากว่าหนึ่งเดือน ฉินอวี่จึงสามารถฟื้นคืนเรี่ยวแรงของตนเองกลับมาได้อีกครั้ง เขาลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง และภาพที่ปรากฏสู่สายตาเขาในตอนนี้ คือภาพของใบหน้าบิดเบี้ยวอันน่าเกลียดน่ากลัว
นั่นคือเสี่ยหยวน
เมื่อเห็นฉินอวี่ลืมตาขึ้นมา เสี่ยหยวนก็ดูดีใจอย่างมาก และรีบช่วยประคองฉินอวี่ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง
“เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่? หวังซิงเฉิน” เสี่ยหยวนพยายามควบคุมเสียงของตนไม่ให้ดังจนเกินไป และถามไปเบาๆ
ฉินอวี่ลดศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกไป “ช่วยข้าเก็บเือสูรร้าย” ครั้งนี้เขาได้เข้าสู่สภาวะของปีศาจคลั่งอย่างแท้จริง พลังปราณที่มีอยู่สูญเสียไปเป็อย่างมาก ฉินอวี่จึง้าเือสูรร้ายมาใช้ฟื้นฟูพลังปราณในร่างกายของตนเอง
เสี่ยหยวนหยิบขวดหยกออกมาขวดหนึ่ง และยื่นให้ฉินอวี่
ฉินอวี่หยิบขวดหยกออกมา เงยหน้าขึ้นและดื่มเข้าไปอย่างหนัก ดูดซับพลังของพลังปราณที่อยู่ในเือสูรร้ายอย่างตะกละตะกลาม
ครึ่งวันผ่านไป
ฉินอวี่วางขวดหยกลงอย่างโรยแรง สิ่งที่ทำให้เขาต้องใกลัวคือ ความรู้สึกอ่อนแรงที่เขามีนั้นยังไม่หายไปไหน แต่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณอย่างชัดเจน สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ฉินอวี่รู้สึกกังวลใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ หรือนี่จะเป็ผลสืบเนื่องจากการเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่ง?
ขณะที่เส้นผมยาวสลวยของเขาปลิวพัดตามสายลม จิตใจของฉินอวี่ก็ต้องสั่นไหวอย่างรุนแรง พลางคว้าจับเส้นผมของตนเองไว้อย่างเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นเส้นผมสีขาวเลื่อมเหล่านี้ ฉินอวี่ก็ตกตะลึงในทันที!
เส้นผมเปลี่ยนเป็สีขาวหรือ? ทำไมเส้นผมจึงเป็สีขาว?
แต่เมื่อมองไปยังมือที่คว้าจับเส้นผมสีขาวของเขา ฉินอวี่ก็เหมือนถูกฟ้าผ่า
มือคู่นี้กลายเป็มือที่ดูแก่ชราราวกับคนชราที่ผ่านความผันผวนของชีวิตมานาน ฉินอวี่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขารู้ดีว่าผลที่ตามมาจากการเข้าถึงขั้นวิชาปีศาจคลั่งเช่นนี้ จะต้องเกิดผลสืบเนื่องที่รุนแรงกว่าในอดีต แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็เช่นนี้ ฉินอวี่ได้เรียกสภาวะที่เข้าถึงความเป็ปีศาจคลั่งอย่างแท้จริงเช่นนี้ว่า สภาวะปีศาจคลั่ง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกใ แต่ฉินอวี่กลับไม่ได้รู้สึกว้าวุ่นใจ เขาลูบใบหน้าของตนเอง และมองร่างกายของตนเองไปโดยรอบ พลางรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ ในครั้งนี้ เขาได้รับชัยชนะในการต่อสู้จากการเข้าถึงระดับสภาวะปีศาจคลั่ง แต่ตนเองกลับต้องแลกด้วยสิ่งที่ใหญ่เกินไปนัก
แม้ว่าพลังปราณจะเสริมเข้าเต็มเืลมของเขา แต่ดูเหมือนว่าทั่วทั้งร่างกายจะเต็มไปด้วยพลังที่มืดมน ทั่วทั้งร่างของเขาดูเหมือนจะหม่นหมองจนเซื่องซึม ราวกับคนป่วยหนัก
เมื่อตรวจดูอาการาเ็ที่ส่วนช่องท้อง ฉินอวี่ก็สูดลมหายใจเข้าลึก ในขณะที่กำลังต่อสู้กันนั้น เขายังไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก แต่ในตอนนี้ เขาจึงเพิ่งจะพบว่า หมัดของอันดับห้านั้นโจมตีเข้าช่องท้องของตนเอง จนเหลืออีกเพียงนิดเดียวจะทะลุเข้าถึงจุดตันเถียน... นี่จึงนับได้ว่าเป็การได้ชีวิตรอดกลับมา หากตันเถียนต้องรับแรงกระแทกจากหมัดของอันดับห้า เกรงว่า ตนเองก็คงไม่มีโอกาสได้เข้าถึงสภาวะปีศาจคลั่ง
ฉินอวี่ไม่รู้ว่าถึงแม้ว่าหมัดนั้นจะเกิดข้อผิดพลาดออกไป แต่พลังที่เหลืออยู่ก็สามารถบดขยี้จุดตันเถียนของฉินอวี่ได้ และฉินอวี่ยิ่งไม่รู้อีกว่า ในขณะที่หมัดของอันดับห้าได้เข้าถึงช่องท้องของเขา พลังบางอย่างก็เข้าปกป้องจุดตันเถียนของเขา!
ในจุดนี้ ก่อนที่อันดับห้าจะตายก็ยังไม่เข้าใจ ว่าพลังนั้นแท้จริงแล้วมาจากที่ใดกันแน่
มโนจิตของฉินอวี่ส่องลึกเข้าไปยังจุดตันเถียน หัวใจของฉินอวี่ก็ตกตะลึงทันที เขามองเปลวไฟสีเทาที่ลอยอยู่รอบๆ ตันเถียนของเขาด้วยความใ เปลวอัคคีที่ปรากฏนี้... ไม่ได้มีสีเทาหม่นอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็สีเทาที่บริสุทธิ์ ราวกับได้ถูกชะล้างจนหมดจด หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ใยิ่งกว่านั้นคือ เพลิงแอ่งธรณีในตอนนี้ดูแปลกตาไปเป็พิเศษ พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เป็หลายสิบเท่า ซึ่งแฝงไปด้วยพลังน่ากลัวที่ยากอธิบาย
“นี่มันอะไรกัน?” ฉินอวี่พึมพำขึ้นในใจ การเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่งครั้งนี้ กลับทำให้เพลิงแอ่งธรณีมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ถึงกับตกตะลึงจนนิ่งไปครู่ใหญ่
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่ง ตอนนั้นมีเพลิงแอ่งธรณีที่ยากจะอธิบายเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขา จากนั้นจึงรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอในร่างกายที่อธิบายไม่ได้
ความคิดเหล่านี้ปรากฏอยู่ในใจของฉินอวี่ รูม่านตาของเขาหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
หรือว่า...
