ถนนทิศใต้ที่ใกล้กันกับถนนทิศเหนือ ซึ่งขึ้นชื่อเื่หญ้าเซียน
คล้ายกับถนนทิศเหนือ เพียงแต่ถนนทิศใต้นั้นขายหญ้าเซียนโดยเฉพาะ หญ้าเซียนสุกงอมหลากชนิดที่ต่ำกว่าขั้นหกล้วนหาซื้อได้ที่นี่ ที่สำคัญ ที่นี่ยังมีร้านขายเมล็ดพันธุ์หญ้าเซียน
เมล็ดพันธุ์หญ้าเซียนกับหญ้าเซียนนั้นเหมือนกัน มีแต่ต่ำกว่าขั้นหก ทว่าจำนวนของเมล็ดพันธุ์นั้นน้อยกว่าหญ้าเซียนอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขั้นสูงเพราะยิ่งขั้นสูง ก็ยิ่งเพาะปลูกยาก เวลาในการเพาะก็ยาวนานกว่ามาก
เพราะเหตุนี้ นักหลอมโอสถส่วนน้อยที่จะซื้อไปปลูกเอง คนทั่วไปก็จะซื้อแค่เมล็ดพันธุ์ที่ต่ำกว่าขั้นสาม แต่ถึงกระนั้น คนซื้อก็ยังน้อยอยู่ดี
เมล็ดพันธุ์ที่โหยวเสี่ยวโม่้าซื้อเยอะพอสมควร ถ้าร้านที่ครบครันหน่อย เห็นจะเป็ร้านใหญ่เสียมากกว่า ทว่าเขาไม่ได้เข้าไปทันที
เมื่อถามไถ่โดยรอบ ทราบโดยประมาณเกี่ยวกับราคาเมล็ดพันธุ์แล้ว โหยวเสี่ยวโม่ถึงเลือกไปร้านที่ใหญ่ที่สุด เรือนกล้วยไม้
เรือนกล้วยไม้นั้นใหญ่กว่าร้านเครื่องไม้ หญ้าเซียนและเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายถูกแบ่งสัดส่วน
ทว่าคนที่ซื้อเมล็ดพันธุ์นั้นมีน้อย จึงใช้พื้นที่ไม่มาก ฉะนั้นส่วนของเมล็ดพันธุ์มีแค่ซุ้มเดียว คนเบาบางกำลังยืนเลือกอยู่
โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าไป ทันใดก็มีลูกจ้างมาต้อนรับ พอแนะนำตัวเสร็จ ก็พาเขาไปแผงเมล็ดพันธุ์ขั้นหนึ่งถึงสาม
“คุณชายท่านมาถูกที่แล้ว เรือนกล้วยไม้ของเรามีเมล็ดพันธุ์หลากหลายทุกขั้น ครบครันที่สุดในเมืองเหอผิง ไม่ทราบว่าท่าน้าซื้อเท่าไหร่” ลูกจ้างถามอย่างสุภาพ
โหยวเสี่ยวโม่มองแผงชั้นวางพลางเอ่ย “ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์ขั้นสองทั้งหมด ร้านเ้ามีเมล็ดพันธุ์ขั้นสองเท่าไหร่ คิดราคายังไง”
ลูกจ้างตอบ “เมล็ดพันธุ์ขั้นสองร้านข้ามีทั้งหมดแปดสิบชนิด แบ่งใส่ถุงเล็กขนาดหนึ่งร้อย สองร้อย ห้าร้อย และหนึ่งพันเมล็ด สี่ขนาด ราคาห้าร้อยเมล็ดต่อหนึ่งตำลึงทอง”
โหยวเสี่ยวโม่คำนวณอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้าเขาซื้อถุงขนาดห้าร้อย แปดสิบชนิดก็เท่ากับแปดสิบตำลึงทอง เขายังเหลือเงินสามร้อยสามสิบสี่ตำลึงทอง ยังเหลือพอซื้อขั้นสามได้บ้าง
“แล้วขั้นสามล่ะ คิดอย่างไร” โหยวเสี่ยวโม่ถามต่อ
ลูกจ้างไม่ได้ชักสีหน้าแต่อย่างใด น้ำเสียงราบเรียบพร้อมอธิบายต่อ “เมล็ดพันธุ์ขั้นสามมีหกสิบชนิด ทุกชนิดแบ่งขนาดเหมือนขั้นสอง ราคาห้าร้อยเมล็ดต่อสี่ตำลึงทอง”
โหยวเสี่ยวโม่เปลือกตากระตุก นี่มันจะแพงเกินไปแล้ว แพงกว่าขั้นสองตั้งสามตำลึงทอง นี่แค่ขั้นเดียวเองนะ ทำไมถึงแพงแบบนี้ ถ้าเขาซื้อหมดคงต้องจ่ายทีเดียวถึงสองร้อยห้าสิบหกตำลึงทองเชียว
ลูกจ้างเห็นท่าทีใของเขา ก็พอเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ พร้อมเอ่ยอย่างประนีประนอม “คุณชาย ถ้าท่านซื้อทั้งขั้นสองและขั้นสาม ทางเราสามารถแถมฟรีเมล็ดพันธุ์ขั้นหนึ่งให้ท่านอีกชุดนึง”
โหยวเสี่ยวโม่ตะลึงชั่วครู่ ย้อนคิดถึงยุคปัจจุบัน นี่มันกลยุทธ์การซื้อขายที่คุ้นเคยนี่นา แม้จะไม่ใช่ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง แม้เมล็ดพันธุ์ขั้นหนึ่งราคาจะไม่ถึงสิบตำลึงทอง
ท้ายสุด โหยวเสี่ยวโม่ก็กัดฟันซื้อจนได้ ยอมจ่ายไปอีกสามร้อยสามสิบหกตำลึงทอง ทว่าเมล็ดพันธุ์ขั้นหนึ่งที่ทางร้านแถมให้ มีถุงละหนึ่งร้อยเมล็ด แม้จะไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มี เขาเองก็อยากจะปลูกหญ้าเซียนขั้นหนึ่งในห้วงเวลาด้วย
แม้ว่าเขาจะลดความเสี่ยงของยาเซียนตันทิพย์ขั้นหนึ่งให้ลดลงได้ถึงร้อยละสิบ แต่อย่างไรเป็เพียงคุณภาพระดับล่าง เทียบกับระดับปานกลางและระดับสูงไม่ได้
พอออกจากเรือนกล้วยไม้ โหยวเสี่ยวโม่แหงนมองฟ้า ไม่ทันไรตะวันก็ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ไม่ทันรู้ตัวเลย
เนื่องด้วยต้องรวมตัวกันในเช้าถัดไป คืนนี้เขาจึงต้องหาที่พักเอง ดีที่ในถุงเก็บของยังเหลืออยู่เจ็บสิบกว่าตำลึงทอง ยังไม่ถึงขั้นต้องนอนข้างถนน
ขณะที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ เขาก็พอถามคร่าวๆ เกี่ยวกับตำแหน่งของโรงเตี๊ยมไว้แล้ว
ถนนทิศตะวันตกเน้นกิจการที่พักเป็หลัก คนส่วนใหญ่ที่มาจับจ่ายที่เมืองเหอผิง เช่น ศิษย์สำนักเทียนซิน ถ้าต้องค้างพักแรม ก็จะไปรวมตัวกันที่ถนนทิศตะวันออก ใครชอบโรงเตี๊ยมไหนก็เลือกกันตามใจชอบ
ไม่รู้เพราะดวงไม่ดีหรือเปล่า ที่พักราคาระดับกลางที่โหยวเสี่ยวโม่ไปถามต่างก็เต็มหมดแล้ว ไม่มีห้องว่าง
ตอนแรกเขาเองก็ยังแปลกใจ
โดยทั่วไปที่พักปานกลางแบบนี้น่าจะมีห้องว่างเยอะถึงจะถูก ต่อมาได้ยินว่า วันนี้เป็วันแรกของเดือน สินค้าใหม่ๆ จะเข้ามายังร้านรวงทั้งถนนทิศเหนือและทิศใต้ ฉะนั้น่เวลานี้ คนที่มาเมืองเหอผิงจึงเยอะเป็พิเศษ
โหยวเสี่ยวโม่จึงต้องฝืนใจเลือกไปโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้
ที่เดียวกับที่ลูกจ้างเรือนกล้วยไม้แนะนำมา ซึ่งเป็เ้าของเดียวกัน แต่ว่าราคาค่อนข้างสูง ฉะนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงไม่ได้เลือกที่จะไปในตอนแรก
ในเวลานี้ประจวบเหมาะกับเวลาอาหารค่ำ โรงเตี๊ยมคนนั่งกันเกือบเต็ม เสี่ยวเอ้อร์วิ่งอย่างขยันขันแข็งเรียกลูกค้าเข้าร้าน อาหารร้อนๆ หอมกรุ่นทั่วโรงเตี๊ยม เถ้าแก่กำลังยืนคำนวณลูกคิดอย่างตั้งใจอยู่ด้านหน้าโต๊ะรับแขก
เมื่อเห็นเขาเข้ามา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็ปรากฏรอยยิ้ม “คุณชายต้องที่พักหรือรับทานอาหารดีขอรับ”
“้าที่พักหนึ่งคืน” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ย
เถ้าแก่แง้มดูตารางค่าห้อง พร้อมเอ่ย “คุณชายท่านนี้ ตอนนี้ห้องพักเราเหลือแค่ห้องชั้นเยี่ยมสองห้อง ราคาห้องละห้าตำลึงทอง ท่านสนใจหรือไม่”
โหยวเสี่ยวโม่กล่าวอย่างใ “ลดราคาหน่อยไม่ได้หรือ”
พอจบประโยค ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมา คนใกล้ๆ ต่างก็ได้ยินคำพูดนั้น ต่างพากันขำขัน นี่คงเป็ครั้งแรกที่ได้ยินคนต่อราคากับโรงเตี๊ยม
เถ้าแก่เอ่ยอย่างอึดอัดใจ “คุณชาย โรงเตี๊ยมของเราล้วนราคานี้ ถูกกว่านี้ไม่ได้หรอก”
จากนั้นโหยวเสี่ยวได้แต่ควักเงินห้าตำลึงทองออกมา
เสี่ยวเอ้อร์พาเขาไปยังห้องพัก ก่อนออกไป โหยวเสี่ยวโม่ก็ให้เขาจัดสำรับอาหารมาให้
เสี่ยวเอ้อร์ไม่ปล่อยให้เขารอนาน ในเวลาไม่ถึงสิบนาที กับข้าวก็ถูกจัดส่งขึ้นมา รูปกลิ่นครบรส อร่อยเลิศกว่าที่เขาเคยกินในโรงอาหารในทัพพิภพเสียอีก
ไม่นานนักโหยวเสี่ยวโม่ถึงรู้ว่าค่าอาหารนั้นรวมกับค่าที่พักแล้ว เพราะราคาที่สูง การบริการก็ดีกว่าคนข้างล่างเยอะเลย เรียกใช้เสี่ยวเอ้อร์ก็สะดวกรวดเร็ว บริการดีราวกับโรงแรมห้าดาวก็ไม่ปาน
อันที่จริง ในยุคปัจจุบันเขาเองยังไม่เคยมีประสบการณ์พักโรงแรมห้าดาวมาก่อน กลับมีโอกาสพักที่ดินแดนหลงเสียงเสียอย่างนั้น
เมื่อกินอิ่มท้อง โหยวเสี่ยวโม่เริ่มจัดแจงข้าวของที่ซื้อวันนี้
เขาย้ายเครื่องใช้ไม้ทั้งหมดไปยังห้วงหยดน้ำตา จากนั้นปิดประตูแน่นเพื่อเข้าไปยังห้วงเวลา
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม พื้นดินที่ถอนหญ้าไปประมาณสามสิบตารางเมตรได้ ทั้งยังถูกเขาพรวนดินเรียบร้อย เพียงแค่หว่านเมล็ดลงไป และรดน้ำเสียหน่อยก็พอแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะหว่านเมล็ด แต่กลับจัดวางเครื่องไม้ให้เสร็จสรรพก่อน จากนั้นแบ่งเมล็ดพันธุ์ใส่กล่องเพื่อความสะดวก และยังทำสัญลักษณ์ไว้หน้ากล่องเพื่อให้รู้ว่ากล่องไหนใส่อะไรไว้
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ก็ถึงยามไฮ่พอดี ประมาณสามทุ่มกว่า
ออกจากห้วงเวลา โหยวเสี่ยวโม่ลูกท้อง อาหารที่กินไปก่อนหน้าถูกย่อยไปหมดแล้ว เตรียมออกห้องไปหาของกิน
ปรากฏว่าเดินออกห้องได้เพียงไม่กี่ก้าว ห้องถัดไปก็เปิดประตูออกมา ปรากฏกายชายหนุ่มในชุดสีขาวดูสะอาดตา พอมองสำรวจเนื้อผ้าละเอียดลวดลายวิจิตร เมื่อเทียบกับชุดนักพรตอันเรียบง่ายบนเรือนร่างเขานั้นช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมองใบหน้าของเขาคนนั้น โหยวเสี่ยวโม่ก็หนักใจขึ้นมาทันที
หรือว่า หรือว่าเขาต้องมาเจอหลินเซียวที่นี่งั้นหรือ
ที่เขาหนักใจสุดคือ หลินเซียวกำลังตรงมาทางเขาด้วย โหยวเสี่ยวโม่ลังเลว่าต้องทักทายหลินเซียนดีหรือไม่ ถึงแม้จะไม่เคยเจอประจันหน้ากัน แต่ก็บังเอิญผ่านไปมาหลายรอบ ไม่แน่ว่าหลินเซียวอาจจำเขาได้
สายตาจดจ้องเขาที่กำลังจะเดินมาถึงตัว ความลังเลในใจโหยวเสี่ยวโม่ไม่ไวเท่าร่างกาย ประหนึ่งว่าพบกับผอ.โรงเรียน ยืดอกตรงพร้ะโกน “ศิษย์พี่ใหญ่” ดีที่ไม่หลุดะโคำว่าผอ.ไป
พอสิ้นเสียงะโก็รู้สึกเซ็งกว่าเดิม เพราะฝ่ายตรงข้ามถึงกับใ สายตาที่จ้องเขากลับแฝงด้วยความรู้สึกแปลกหน้า
ทันใดนั้น โหยวเสี่ยวโม่แทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด ใครใช้ให้ปากมาก ตอนนี้หลินเซียวต้องจำเขาได้แน่
เมื่ออึ้งอยู่ชั่วครู่ ‘หลินเซียว’ก็หลุดยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา พร้อมเอ่ย “ที่แท้ก็ศิษย์น้องนี่เอง ทำไมเ้าไม่ได้อยู่กับท่านอาจารย์โม่กู่ล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนี้ โหยวเสี่ยวโม่กลับรู้สึกสะดุ้งยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก เ้านี่ มันไม่ใช่หลินเซียวใช่ไหม?