อนุตู้มีรอยยิ้มราบเรียบบนใบหน้า รอยยิ้มนั้นดูเหมือนสงบนิ่งไร้อารมณ์ ทว่ากลับมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้แฝงอยู่ในรอยยิ้มเสี้ยวนั้น
“คุณหนูยวี่เป็แขกผู้มีเกียรติ คุณหนูยวี่ยังทานอาหารไม่เสร็จ พวกเราจึงต้องคอยอยู่เป็เพื่อนนาง นี่เรียกว่าไมตรีของเ้าของเรือน” อนุตู้เอ่ยปาก คลี่ยิ้มอบอุ่น
เหนียนยวี่ที่กำลังกินอยู่ ครั้นนางได้ยินคำพูดนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่นอกห้องโถง ดวงตาที่อนุตู้มองมาที่นาง เห็นได้ชัดว่าเป็สายตาดูิ่และเหยียดหยาม หลังจากนั้นกลับกลายเป็อบอุ่นกระตือรือร้น นั่นเป็เพราะองค์หญิงใหญ่มาถึงแล้ว นางจึงเสแสร้งสวมหน้ากากเป็คนจิตใจดี ทว่ายามนี้ นางเอ่ยคำว่า “ไมตรีของเ้าของเรือน” เป็เพราะอะไรกันแน่?
ครั้นนึกถึงความตื่นตระหนกชั่วพริบตาหนึ่งของอนุตู้เมื่อครู่นี้ ยามที่นางไปนั่งที่ เหนียนยวี่รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ผิดปกติมากขึ้น
รอจนวางตะเกียบลง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปแล้วหนึ่งก้านธูป
“คุณหนูยวี่ ข้าจะไปส่งท่านกลับไปที่ห้อง” อนุตู้เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
เดินเล่นหรือ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
“ข้าจะไปส่งคุณหนูที่ห้อง” อนุตู้เอ่ยพลางก้าวกลับไปในจวน
“ไม่จำเป็” เหนียนยวี่เอ่ยปาก ในดวงตานางแฝงประกายยิ้มเยาะ อนุตู้แน่วแน่ที่จะไปส่งนางที่ห้องเยี่ยงนี้เลยหรือ?
“จำเป็สิ จำเป็…” อนุตู้ยกยิ้ม ยังคงเอ่ยยืนกรานต่อไป ทว่าความแน่วแน่ของนางกลับถูกขัดโดยคนผู้หนึ่งในครู่ต่อมา
นางไม่ได้เจอบรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตผู้นี้มาหลายวันแล้ว
ครั้นนึกถึงวันนั้นที่เขาแบกนางออกมาจากสวนร้อยสัตว์ ในใจนางรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง
ระหว่างที่เหนียนยวี่กำลังครุ่นคิด จ้าวอี้เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาในจวนองค์หญิงใหญ่เป็ที่เรียบร้อยแล้ว ครั้นเขาเห็นเหนียนยวี่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นพลันสดใส จ้าวอี้ยื่นมือไปกอดคอเหนียนยวี่ทันที “ข้าได้ยินสิ่งที่เ้าพูดจากไกลๆ เื่อะไรสักอย่าง แท้จริงกำลังพูดถึงเื่อะไรกันอยู่หรือ? ข้าเองก็อยากจะรู้บ้าง”
ด้วยท่าทีคำพูดที่ดูใช้อำนาจนั้นอยู่ในสายตาของเหนียนยวี่ รอยยิ้มบนใบหน้านางพลันแย้มยิ้มคลี่บานอย่างอดไม่ได้ นางเหลือบมองอนุตู้ ดูเหมือนว่าอนุตู้จะรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด เพราะการมาถึงของเขา
เหนียนยวี่เห็นทุกอย่างในสายตา นางจึงเอ่ยปากอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋องมู่ พวกเราจะพูดอะไรกันได้อีกหรือ? ก็แค่อนุตู้จะส่งไปส่งเหนียนยวี่ที่เรือน ทว่าเมื่อครู่นี้เหนียนยวี่รบกวนให้นางอยู่เป็เพื่อนทานมื้อเช้าด้วยกันแล้ว ในใจของเหนียนยวี่ไม่สบายใจอย่างแท้จริง หม่อมฉันจะบอกให้นางไปส่งที่ห้องอีกได้เยี่ยงไร? อนุตู้ ต้องขอบคุณสำหรับน้ำใจแล้ว”
“เป็เื่สมควร สมควรอย่างยิ่ง เพราะคุณหนูยวี่เป็แขก...” อนุตู้กล่าวตอบอย่างเร่งรีบ
“ถ้าเช่นนั้นเ้ายังไม่ไปอีก ลืมกฎของจวนองค์หญิงใหญ่แล้วหรือไร?” จ้าวอี้ขึ้นเสียงอย่างฉับพลัน ทำให้อนุตู้กลัวจนตัวสั่น นางรีบลุกขึ้นทันที “ท่านอ๋องมู่โปรดพระทัยเย็นลงก่อนเพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ”
“หึ นางต้องกลัวอย่างแน่นอน บรรดาอนุพวกนั้นในจวนอัครเสนาบดี เป็พวกที่ข้าไม่ชอบที่สุด ข้าอยากให้เสด็จป้าชิงเหอไล่พวกนางออกจากจวนไปเสียตั้งนานแล้ว” จ้าวอี้พ่นลมหายใจเ็า ไม่แม้แต่ปิดบังความเกลียดชังในใจ
เหนียนยวี่รู้ว่ามู่อ๋องไม่ชอบบรรดาอนุภรรยาเ่าั้ เพราะรู้สึกสงสารองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ
“ท่านพี่หลีอ๋องอยู่ไหนเล่า? เหตุใดยังไม่มาอีก?”
เขาเองก็มาที่นี่ด้วยหรือ?
ในหัวของเหนียนยวี่พลันผุดภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานในลานเซียนหลาน ภาพการกระทำของหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนที่กระทำกับนาง ทำให้วงคิ้วงดงามพลันขมวดแน่น ส่วนจ้าวอี้นั้นวิ่งออกไปนอกประตูใหญ่เสียแล้ว เพียงชั่วครู่ต่อมา ยามที่เขากลับเข้ามาอีกครั้ง มีบุรุษผู้อีกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาด้วย
บุรุษผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีขาว สง่างดงามประหนึ่งดอกพญาสัตบรรณ ใบหน้ายิ้มแย้มราบเรียบ แฝงความอ่อนโยนและใจดี ยามจ้องมองจากระยะไกล ราวกับว่าเขากำลังเดินออกมาจากภาพวาด
ครั้นนึกเื่เมื่อวานขึ้นได้ จ้าวเยี่ยนพลันรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะหุนหันพลันแล่นเกินไป
เหนียนยวี่กลับมารู้สึกตัวทันที
“ดีขึ้นบ้างแล้วเพคะ” เหนียนยวี่เอ่ย ดวงตากวาดมองด้านข้างที่ลำคอของจ้าวเยี่ยน เขาทายาที่รอยข่วนแล้ว ทว่า...ครั้นนึกอะไรบางอย่างได้ เหนียนยวี่จึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านอ๋องทั้งสองท่านมาหาเสด็จแม่บุญธรรมหรือเพคะ?”