“ท่านแม่ สกุลหยวนมีบ้านอยู่สองสามแห่งละแวกอำเภอเจิ้นอัน มีนาดีเกือบร้อยหมู่ แล้วยังมีหน้าร้านห้าถึงหกร้านตามถนน ถือเป็ครอบครัวที่มีหน้ามีตาในอำเภอ หยวนเจิ้นเซวียนผู้นี้เป็บุตรชายคนเล็กของสกุลหยวน ั้แ่เด็กเป็ที่โปรดปรานของผู้าุโในครอบครัว รูปร่างหน้าตาก็โดดเด่น ทั้งยังเป็บุคคลที่มีความสามารถเช่นกันนะเ้าคะ” หูชิวเซียงเข้าใกล้หวังซื่อและกล่าวด้วยความตื่นเต้นไม่หยุดปากอยู่ด้านข้าง
หวังซื่อกำลังเย็บเสื้อกันหนาวชนิดมีซับในอยู่บนมือ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นเลยแม้แต่นิด
หูชิวเซียงเห็นดังนั้นจึงกระสับกระส่ายอยู่บ้าง “ท่านแม่ นี่เป็บุพเพที่ดีพันปีก็ยากจะพบเลยนะเ้าคะ เจินจูผ่านปีไปก็อายุสิบห้าแล้ว บุตรชายคนเล็กของสกุลหยวนอายุสิบแปดปี อายุเหมาะสมกันพอดี ฐานะทางบ้านก็ดีอีก คู่กับเจินจูไม่ใช่ว่าพอดีเลยหรือเ้าคะ?”
หวังซื่อเริ่มขมวดเส้นด้ายผูกปม หลังจากนั้นใช้กรรไกรตัดปลายด้ายออก
“ชิวเซียง เื่ของเจินจูไม่รีบร้อน เ้าจัดการเื่ของครอบครัวเ้าก็พอแล้ว”
หูชิวเซียงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางตบหน้าอกรับรองกับคุณชายน้อยของสกุลหยวนไปแล้ว
“ฮ่าๆ ท่านแม่ ตัดสินใจก่อนก็ได้นี่นา บุตรชายคนเล็กของสกุลหยวนคือบุคคลที่คนในอำเภอ้าอยากได้ไปเป็บุตรเขยเลยนะเ้าคะ หากพลาดสกุลหยวนไป เจินจูจะไปหาคนที่เหมาะสมได้จากไหนล่ะเ้าคะ”
หวังซื่อชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง และกล่าวอย่างจริงจัง “เื่ของเจินจู มีบิดามารดาของนางตัดสินใจได้ เ้าเป็ป้าของนางอย่าเข้าไปยุ่งเลย แล้วก็ห้ามเ้าอวดอ้างชื่อเสียงของน้องรองเ้าข้างนอก หรือรับปากสุ่มสี่สุ่มห้าเชียวนะ หากข้ารู้เข้า เ้าคอยดูได้เลยว่าข้าจะให้อภัยเ้าหรือไม่”
หูชิวเซียงใบหน้าแข็งทื่อ หัวเราะกลบเกลื่อนและเริ่มกล่าวไกล่เกลี่ย “ท่านแม่ ท่านกล่าวอะไรกัน นี่ไม่ใช่ว่าข้าทำเพื่อเจินจูหรือ คิดดูสิคนที่จะมาเป็หลานเขยดีเพียงนี้ คู่กับเจินจูของเราเหมาะสมที่สุดแล้ว หากไม่ใช่ว่าเสี่ยวเหยี่ยนแต่งให้ลูกผู้พี่ของเขาไปแล้ว ข้าต้องอยากให้เขามาเป็ลูกเขยข้าแน่นอน”
หวังซื่อกวาดสายตาเรียบนิ่งไปหนึ่งที “กล่าวเลอะเทอะอะไรกัน นี่เป็คำพูดที่คนเป็แม่อย่างเ้าควรกล่าวหรือ เสี่ยวเหยี่ยนแต่งออกไปแล้ว เ้ายังกล่าวคนที่จะมาเป็เขยอะไรอีก หากคำพูดนี้แว่วไปถึงหูของบุตรเขยเ้า ดูสิว่าเ้าจะจัดการอย่างไร”
“ข้าแค่ยกตัวอย่างเองเ้าค่ะ” หูชิวเซียงยิ้มใบหน้าเหยเกหนึ่งที “ท่านแม่ บุตรชายคนเล็กของสกุลหยวนไม่เลวจริงๆ นะ ท่านไม่พิจารณาเพื่อเจินจูหน่อยหรือเ้าคะ?”
“ไม่พิจารณา เจินจูไม่ชอบเขา” หวังซื่อสอดด้ายต่อ เตรียมเย็บรังดุม
บุตรชายคนเล็กของสกุลหยวนที่นางกล่าวถึง หวังซื่อเคยเห็นในงานเลี้ยงส่งตัวเ้าสาวไปบ้านเ้าบ่าวของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมยาวผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีน้ำเงินสดใส บนศีรษะประดับไว้ด้วยปิ่นทองฝังอัญมณี แต่งกายหรูหราวาจาท่าทางไม่เรียบร้อย สายตาล่อกแล่กและดูเหลวไหล
เจินจูชำเลืองมองเขาทีหนึ่ง และแอบบอกกับนางว่าเสื้อผ้าของชายผู้นั้นโอ้อวดนัก สายตาก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย ทำให้คนเห็นแล้วไม่ชื่นชอบอย่างยิ่ง
เขาเป็ลูกพี่ลูกน้องของอู๋ฮ่าวผู้เป็สามีของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยน
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนแต่งให้กับสกุลอู๋ ซึ่งเป็ครอบครัวมั่งคั่งครอบครัวหนึ่งในเมืองลั่วสุ่ย
หลายปีมานี้สกุลเจี่ยงอาศัยการเลี้ยงและขายกระต่าย ฐานะทางบ้านนับวันเริ่มดียิ่งขึ้น
หลังเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนอายุสิบห้าปี พ่อสื่อแม่สื่อเกือบเหยียบธรณีประตูบ้านสกุลเจี่ยงชำรุดเสียหายกันเลยทีเดียว แต่หูชิวเซียงกลับไม่สนใจเลยสักคน ทั้งหมดล้วนเป็ชาวนายากจนของหมู่บ้าน เงื่อนไขที่ดีคือต้องเป็ครอบครัวร่ำรวยในหมู่บ้านและที่บ้านมีนาดีสิบกว่าหมู่
ส่วนเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนหลังได้พบกู้อู่ที่มีกลิ่นอายสูงศักดิ์ไปทั่วกายเช่นนั้น ไหนเลยจะสนใจบุรุษชาวไร่ที่สวมเสื้อผ้าหยาบในหมู่บ้าน
เมื่อแม่ลูกสองคนหารือกันก็คิดว่านางควรแต่งเข้าในเมือง ความงดงามของนางจึงจะไม่ถูกกลบฝังในไว้ในหมู่บ้านชนบท
ด้วยเหตุนี้หูชิวเซียงจึงมักพาเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนแต่งกายงดงามเข้าออกเมืองลั่วสุ่ยอยู่บ่อยๆ
และยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนซึ่งอาศัยข้อได้เปรียบในเื่หน้าตาของตนเอง จะดึงดูดสายตาของชายหนุ่มที่มีความฉลาดเป็เลิศได้มากเพียงใด
อู๋ฮ่าวก็เป็หนึ่งในนั้น
สกุลอู๋เปิดร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเมืองลั่วสุ่ย ทั้งขายวัสดุผ้าและขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป การค้าขายทำได้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง
หูชิวเซียงและบุตรสาวของนางมักไปเป็แขกของสกุลอู๋อยู่บ่อยๆ ขณะที่ไปมา สองคนก็บังเอิญพบกันเข้า
อู๋ฮ่าวรูปโฉมสุภาพงดงาม ทั้งยังเป็ลูกเถ้าแก่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูป เสื้อผ้าที่สวมบนกายย่อมละเอียดและเหมาะสมเป็ธรรมดา
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนผิวขาวหน้าตาสวย ลักษณะท่าทางงดงาม ดวงตากลมโตขวยเขินหนึ่งคู่ประดับไว้ด้วยความขลาดกลัว
เมื่อสองคนได้พบก็ยากจะลืมเลือน อารมณ์และความรู้สึกเหมือนคลื่นใต้น้ำ [1]
อู๋ฮ่าวเป็บุตรคนเดียวของสกุลอู๋ ได้รับความรักและการตามใจั้แ่เด็ก สำหรับเขาที่้าแต่งงานกับแม่นางชนบทคนหนึ่ง แม้ทางบ้านจะคัดค้านแต่อู๋ฮ่าวใช้การอดอาหารประท้วงขู่เข็ญ ผู้าุโสองคนของสกุลอู๋จึงทำได้เพียงยอมถอยอ่อนข้อให้
เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนได้แต่งเข้าในเมืองดังใจปรารถนาในสองปีถัดมา
หยวนเจิ้นเซวียนเป็ลูกผู้น้องของอู๋ฮ่าว ครอบครัวอยู่ในเมืองที่เป็อำเภอเจิ้นอัน วันนั้นติดตามมาพร้อมกับอู๋ฮ่าวไปรับเกี้ยวเ้าสาว จึงเห็นเจินจูร่างสูงโปร่งสะโอดสะองท่ามกลางกลุ่มคน
เขาในตอนนั้นก็สองตาเป็ประกายทันที คิดไม่ถึงเลยว่าสถานที่ชนบทเล็กๆ กลับมีสาวน้อยโฉมงามปานนี้
พอสอบถามกับฝ่ายที่มาส่งตัวเ้าสาวก็ได้รู้ว่านางคือลูกผู้น้องของเ้าสาว บ้านอยู่หมู่บ้านวั้งหลินใกล้กับเมือง เป็ครอบครัวร่ำรวยในหมู่บ้าน เขารู้สึกว่าสองคนมีบุพเพสันนิวาสต่อกันทันที พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าใกล้นาง แต่กลับถูกหวังซื่อที่อยู่ข้างกายขวางไว้จนต้องถอยร่นกลับไปที่เดิม
หยวนเจิ้นเซวียนไม่ยินดีแต่ก็ไม่อาจก่อความวุ่นวายขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เลยมาสืบข่าวจากหูชิวเซียง
หูชิวเซียงได้ยินดังนั้นในใจปีติยินดียิ่ง สกุลหยวนนี้ร่ำรวยมีเกียรติยิ่งกว่าบุตรเขยของนางมาก บ้านที่อยู่ในเมืองที่เป็เขตอำเภอล้วนเป็ลานใหญ่มีประตูสามชั้น ร่ำรวยเงินทองและพื้นที่ หากนางส่งเสริมเื่การแต่งงานของสองสกุลให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เช่นนั้นคงมีประโยชน์ต่อนางไม่น้อย
ดังนั้นนางจึงตบหน้าอกให้เขาวางใจ จะใช้หัวใจส่งเสริมเื่น่ายินดีของสองคนให้สำเร็จลุล่วงไปได้ดีอย่างแน่นอน
หยวนเจิ้นเซวียนยินดีอย่างยิ่ง ยัดเงินสองแท่งรวมสิบเหลียงให้นางทันที กล่าวว่าเป็ค่าวิ่งเต้นของนาง
หูชิวเซียงเห็นดังนั้นในใจจึงคิดคำนวณขึ้น
หลังยุ่งกับเื่การแต่งงานของเจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนเสร็จ นางไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านบิดามารดา แต่หลังจากรออยู่หนึ่งเดือนกว่า หยวนเจิ้นเซวียนทนไม่ไหวจึงมาเร่งรัด นางถึงได้กลับไปหมู่บ้านวั้งหลินอย่างเอื่อยเฉื่อย
ในความเข้าใจของนาง เื่นี้มีความเป็ไปได้อยู่เจ็ดถึงแปดส่วน
สกุลหยวนนับได้ว่าเป็ครอบครัวใหญ่โตของเมืองที่เป็เขตอำเภอ ที่บ้านมีที่นาส่วนตัวและมีร้านรวงค้าขาย หยวนเจิ้นเซวียนหน้าตาก็ไม่แย่ เขาพึงพอใจเจินจูช่างเป็ความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัวน้องรองจริงๆ เลย
แม้น้องรองก็นับว่าเป็ครอบครัวร่ำรวยในหมู่บ้านวั้งหลิน แต่เทียบกับสกุลหยวนในเมืองที่เป็เขตอำเภอแล้ว ย่อมต้องห่างกันไกลอย่างแน่นอน
แต่ที่ทำให้หูชิวเซียงคิดไม่ถึงเลยก็คือ นางเพิ่งเอ่ยปากกับผู้เป็มารดา กลับถูกปฏิเสธทันทีทันใด
หัวใจของนางเดือนพล่านราวกับน้ำร้อนต้มสุก ทำไมไม่เป็ไปอย่างที่นางคิดกันนะ สกุลหยวนฐานะดีเพียงนี้ พวกนางกลับไม่รู้สึกหวั่นไหวกันบ้างเลย
กล่าวว่าเจินจูไม่ชอบอะไรกัน การแต่งงานที่เป็เื่ใหญ่ตลอดมาล้วนเป็ คำสั่งของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อทั้งนั้น
ขอแค่ผู้าุโเห็นด้วยจะมีทางหนีทีไล่ให้เด็กพูดหลบหลีกได้ที่ไหน
หูชิวเซียงจนปัญญาจึงหาข้ออ้างไปเยี่ยมซิ่วจู แล้วหิ้วของว่างหนึ่งกล่องเดินไปทางเข้าหมู่บ้าน
ทุกครั้งที่เห็นป่าหงเฟิงสีแดงเพลิงไปทั่วทั้งูเา หูชิวเซียงล้วนรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจอย่างยิ่ง
ครอบครัวน้องรองนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยมา ท่าทางก็เริ่มเลียนแบบครอบครัวร่ำรวยใหญ่โต ใบของต้นหงเฟิงที่ปลูกเต็มูเาเป็ภาพพื้นหลัง ขับให้บ้านตรงเชิงเขาดูเด่นมากขึ้น มองไปจากที่ไกลๆ ช่างเหมือนลานบ้านของครอบครัวร่ำรวยจริงๆ
...หลี่ซื่ออุ้มซิ่วจูเข้ามาทักทายหูชิวเซียงที่ห้องโถง
“ซิ่วจู เรียกท่านป้าสิ”
“ท่านป้า”
“อื้ม ซิ่วจูเด็กดี มา ป้าให้ลูกอมเ้าทาน” หูชิวเซียงเตรียมตัวมาพร้อม ล้วงเอาลูกอมที่ทำจากแป้งห่อเล็กออกมาจากในอก เลือกหนึ่งเม็ดแล้วยื่นให้ซิ่วจู
หลี่ซื่อย่นคิ้วน้อยๆ อย่างหาได้ยาก เจินจูห้ามซิ่วจูทานลูกอมโดยเด็ดขาดมาตลอด
ซิ่วจูดวงตาเป็ประกาย รับมาแล้วใส่เข้าในปากทันที ทานอย่างเอร็ดอร่อย
หลี่ซื่อจนปัญญา พร้อมกับดันถ้วยชาบนโต๊ะไปทางหูชิวเซียง “พี่ใหญ่ ดื่มชาก่อน”
ไม่รู้ว่าพี่สาวคนโตผู้นี้มาหานางมีเื่อะไร
หูชิวเซียงยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งอึก หลังจากนั้นเอ่ยปากถาม “น้องรองล่ะ?”
“เขาไปปรับหน้าดินที่นาของที่บ้าน” หลี่ซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยออกมาของซิ่วจู
ไม่กี่ปีมานี้สกุลหูซื้อที่ไม่กี่หมู่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย รวมกับก่อนหน้านี้มีนาดีทั้งหมดสิบสองหมู่ ที่นาในหมู่บ้านวั้งหลินมีน้อย ที่นาสิบสองหมู่นี้ได้หาซื้อเท่าที่สามารถซื้อได้มาหมดแล้ว และยังแบ่งให้ทางบ้านเก่าไปเล็กน้อยด้วย ที่นาของสองครอบครัวนับรวมกันทั้งหมดเป็ยี่สิบห้าหมู่พอดี
หลังเก็บเกี่ยวข้าวไปแล้วก็จำเป็ต้องทำการปรับหน้าดินในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเตรียมทำการเพาะปลูกของปีหน้า
สองพี่น้องสกุลหูล้วนไปพร้อมกัน แม้มีเงินจ้างแรงงานระยะยาวไปช่วยทำงานได้ แต่สองคนรวมกับชายชราสกุลหูล้วนทำงานใช้แรงกันจนเคยชิน ให้พวกเขาไม่ทำอะไรทั้งวัน มองผู้อื่นทำงานอย่างเดียว พวกเขารู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งกายอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้นอกจากฤดูการเกษตรที่รีบเร่งเก็บเกี่ยว แทนที่จะจ้างแรงงานระยะยาวมากช่วยแล้ว เวลาอื่นยังเป็การลงมือทำงานด้วยตัวเองทั้งสิ้น
หูชิวเซียงเบะปากอยู่ในใจ ผู้ชายทั้งครอบครัวล้วนมีชีวิตที่ตรากตรำทำงานหนักนัก เห็นๆ กันอยู่ว่ามีเงินจ้างแรงงานระยะยาว แต่ยังต้องลงนาเพาะปลูกด้วยตนเองอีก
“แค่กๆ” หูชิวเซียงมองซ้ายขวาสองสามหน “เจินจูล่ะ?”
หลี่ซื่อมองนางด้วยความแปลกใจแวบหนึ่ง พี่สาวคนโตผู้นี้ล้วนถามถึงคนในบ้านทีละคนๆ สรุปแล้วอยากจะกล่าวอะไรกันแน่?
“คัดตัวอักษรอยู่ในห้อง”
คัดตัวอักษร? หูชิวเซียงสีหน้าหยุดชะงัก นางนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ทั้งสกุลหู นอกจากเหลียงซื่อสตรีโง่เขลาผู้นั้นแล้ว คนอื่นล้วนฝึกตัวอักษรอ่านหนังสือกับท่านอาจารย์กันทั้งนั้น
ตอนที่นางได้ยินเื่นี้ ยังหัวเราะเยาะเย้ยคนบ้านบิดามารดาอยู่เลย อายุอานามก็มากเพียงนี้ยังอยากจะเรียนรู้ตัวอักษรไปเพื่อประโยชน์อะไรอีก
ตอนนี้เมื่อคิดขึ้นได้ พบว่าพวกเขายังคงเล่าเรียนกับท่านอาจารย์อย่างจริงจังมาได้สามปีแล้ว
มากน้อยแค่ไหนก็ล้วนมีกลิ่นอายของปัญญาชนกันทั้งสิ้น
หูชิวเซียงอิจฉาริษยาอยู่บ้าง
“น้องสะใภ้รอง เจินจูผ่านปีไปก็สิบห้าแล้วกระมัง เตรียมกล่าวเื่การแต่งงานกับคนที่ไหนให้นางหรือยัง?” หูชิวเซียงฉีกใบหน้ายิ้มแล้วถาม
หลี่ซื่อในใจกระตุกทันที เริ่มตื่นตัวขึ้นมา “พี่ใหญ่ เจินจูยังเด็ก เื่การแต่งงานยังไม่รีบร้อน”
“ยังเด็กอะไรกัน เด็กสาวในหมู่บ้านที่ไหนไม่เริ่มหารือเื่การแต่งงานตอนอายุสิบสี่สิบห้าบ้าง ข้ารู้เ้ารักเจินจูอย่างสุดหัวใจ แต่ว่าบุรุษโตแล้วต้องแต่งภรรยา สตรีโตแล้วต้องแต่งสามี [2] ไม่อาจเป็เพราะรักลูกอย่างสุดหัวใจแล้วทำให้อนาคตของนางล่าช้าได้ เ้าว่าเป็เหตุผลเช่นนี้หรือไม่เล่า?” หูชิวเซียงกล่าวโน้มน้าวใจนาง
หลี่ซื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เดาวัตถุประสงค์ในการมาของหูชิวเซียงออก “พี่ใหญ่ เจินจูเพิ่งอายุสิบสี่ปี การแต่งงานรอให้ผ่านปีไปค่อยหารือก็ไม่สาย อีกอย่างเจินจูก็มีความคิดเป็ของตัวเองั้แ่เด็ก เื่ของนางต้องถามนางก่อนถึงจะถูก”
ถามเจินจู? หูชิวเซียงคิดถึงที่หวังซื่อเคยกล่าวขึ้นมาว่าเจินจูไม่ชอบคนผู้นั้น
ทันใดนั้นหูชิวเซียงจึงรู้สึกโกรธขึ้น เป็แค่ยัยเด็กตัวน้อยจะรู้จักอะไร สกุลหยวนมีเงินมีที่นา แต่งเข้าไปชีวิตก็เป็ฮูหยินที่สูงส่ง ท่าทางเอาแต่ยืนกรานว่าไม่รีบร้อนของคนแล้วคนเล่านี่จริงๆ เลย หากเสี่ยวเหยี่ยนยังไม่แต่งงาน นางล้วนอยากให้เสี่ยวเหยี่ยนแต่งให้หยวนเจิ้นเซวียนเองแล้ว สกุลหยวนร่ำรวยมีเกียรติกว่าสกุลอู๋ไม่ใช่แค่นิดหน่อยด้วย
นางข่มความโกรธไว้ในใจ กล่าวสถานการณ์ของสกุลหยวนรวมไปถึงเื่ที่หยวนเจิ้นเซวียนชื่นชอบเจินจูออกมาหนึ่งรอบ
หลี่ซื่อฟังจบกดความประหลาดใจไว้ข้างใน “พี่ใหญ่ เื่นี้ท่านกล่าวกับท่านแม่แล้วหรือยัง?”
“…ย่อมต้องกล่าวแล้วสิ” หูชิวเซียงตอบอย่างไม่เป็ธรรมชาติ
“เช่นนั้นท่านแม่กล่าวว่าอย่างไรหรือ?” หลี่ซื่อถามต่อ
“…เอ่อ ก็ ความคิดเห็นของนางคือ ยังต้องถามพวกเ้าสักหน่อย” ดวงตาของหูชิวเซียงเสมองออกไปข้างหนึ่ง
หลี่ซื่อที่มองนางอยู่ ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาทันที “หงยู่ทำหงเจ่าเกา [3] ไว้ อีกเดี๋ยวจะเอาไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่เล็กน้อยพอดีเลย”
ในคำพูดมีความหมาย ไม่ต้องกล่าวออกมาก็จินตนาการได้
หูชิวเซียงกรุ่นโกรธเพราะความอับอาย หยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “นี่ข้าทำเพื่อหวังดีต่อเจินจู สกุลหยวนมีเงินมีที่และยังมีร้านรวงกิจการค้าขาย แต่งเข้าไปก็เสวยสุขได้แล้ว พวกเ้ายังมีอะไรไม่พอใจกันอีก?”
ซิ่วจูถูกทำให้ใกับเสียงที่สูงขึ้นอย่างทันทีทันใด จึงเบะปากและร้องไห้ออกมาทันที
“จะพอใจหรือไม่เป็เื่ของครอบครัวข้า” นอกประตู เจินจูมองไปที่หูชิวเซียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เชิงอรรถ
[1] คลื่นใต้น้ำ หมายถึง ปัญหา สถานการณ์ หรือความรู้สึกที่เก็บกดไว้ภายใน
[2] บุรุษโตแล้วต้องแต่งภรรยา สตรีโตแล้วต้องแต่งสามี คือ คำกล่าวของจีนที่มีความหมายว่า เมื่อผู้ชายโตจนอายุถึงเกณฑ์แล้วก็ควรแต่งงานและมีลูก และผู้หญิงก็ต้องหาคนที่จะแต่งงานด้วยเช่นกัน
[3] หงเจ่าเกา คือ เค้กพุทราแดง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้