“พี่ใหญ่ ท่านพูดอะไรของท่านเ้าคะ นี่คือสิ่งที่พี่สะใภ้เหลือให้เซวียนเซวียน ท่านจะให้เซวียนเซวียนเอาไปจำนำได้อย่างไร” ซย่าชุนอวิ๋นขัดซย่าหลี่จวินด้วยความไม่พอใจ นางไม่รู้ว่าจิ่นเซวียนมีแหวนอยู่ จึงพูดได้แค่ว่าเป็ของตกทอดของแม่เซวียนเซวียนเพื่อช่วยนาง
เด็กบ้าชุนอวิ๋นกับเซวียนเซวียนเป็พวกเดียวกัน
“ข้าแค่พูดเท่านั้น เ้าไม่จำนำก็มิเป็ไร” ซย่าหลี่จวินไม่พอใจเล็กน้อย
“ท่านลุงเป็คนไม่ดี ท่านลุงรังแกพี่สาว” หานเอ๋อร์น้อยนั่งข้างกายจิ่นเซวียน นางเห็นซย่าหลี่จวินตีหน้านิ่งเลยเอนตัวเข้าหาจิ่นเซวียนด้วยความกลัว
“หานเอ๋อร์ ลุงมิใช่คนไม่ดี” ซย่าหลี่จวินไม่สบายใจนักที่หลานอายุสองขวบไม่ชอบตน
เขาหน้าตาเหมือนคนเลวหรือ?แม่หนูน่าโมโหพอๆ กับมารดาของนางเลย
“ท่านแม่ ท่านลุงมิใช่คนไม่ดีหรือเ้าคะ?” หานเอ๋อร์น้อยถามมารดาอย่างน่ารัก แม่นางเลยยิ้มอธิบาย “ท่านลุงมิใช่คนไม่ดี เ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาเคยซื้อลูกอมให้เ้าด้วย!”
คนเลวนี่ไปที่ใดก็โดนรังเกียจ กระทั่งหานเอ๋อร์น้อยยังรู้เลยว่าพ่อเฮงซวยเป็คนเลว
หากซย่าหม่านชางไม่อยู่นางคงหัวเราะไปแล้ว
......
พวกจิ่นเซวียนใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา [1] ในการเข้าเมือง ท่านอาเขยนำรถม้าฝากไว้คนคุ้นเคยตรงถนนเป็ผู้ดูแล แล้วให้เงินเขายี่สิบอีแปะ ค่อยพาพวกเราไปเดินซื้อของ
“น้องเขย รบกวนเ้าพาจิ่นเซวียนไปซื้อข้าวของงานแต่งด้วย ข้ากับหม่านชางจะไปซื้อวัตถุดิบ” ซย่าหลี่จวินไม่อยากเดินซื้อของกับจิ่นเซวียน เขากลัวนางขอเงิน
พี่ภรรยาผู้นี้วางแผนไว้แล้ว ทำตัวน่าขยะแขยงเสียจริง
“เซวียนเซวียน พวกเราไปร้านตัดเสื้อ ซื้อชุดแต่งงานเ้าก่อน แล้วค่อยไปซื้ออาภรณ์สวยๆ ดีหรือไม่” ซย่าชุนอวิ๋นส่งลูกให้สามีอุ้มและให้จิ่นเซวียนตามนางไปร้านตัดเสื้อ
“ท่านอา ท่านคิดว่าควรซื้อสิ่งใดเป็ของขวัญให้คนบ้านซ่งหรือเ้าคะ?” จิ่นเซวียนไม่มีประสบการณ์เลยอยากถามท่านอาเล็ก
“ข้าปรึกษากับอาเขยเ้าแล้ว พวกเราจะซื้อผ้าสวยๆ หลายผืนมอบให้คนบ้านซ่งไปตัดเย็บเอง ให้ของแพงเกินไปเ้าสู้ราคาไม่ไหวหรอก แต่ให้ของถูกเกินไปบ้านสามีจะว่าเ้าตระหนี่เอาได้”
ตอนซย่าชุนอวิ๋นแต่งงาน ก็มอบผ้าให้เหล่าพี่สามีและพี่สะใภ้เป็ของขวัญ
“ผ้าหนึ่งพับทำอาภรณ์ได้หลายชุด คนบ้านสามีเ้าอยู่รวมกันหลายสิบคน ผู้าุโสองคนให้ของขวัญมีค่าเสียหน่อย ส่วนพวกพี่ชายน้องสาวสามี เ้าไม่ต้องให้ความสำคัญมาก”
“ท่านอา ก่อนซื้อของขวัญ ข้าอยากไปเดินชมร้านเครื่องประดับถงซินเ้าค่ะ จะได้นำภาพที่ข้าออกแบบไปให้เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับดูว่าขายได้ราคาเท่าใด?” จิ่นเซวียนไม่อยากใช้เงินท่านอาเล็ก เท่าที่นางรู้มา ร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจินจู๋เป็ของเศรษฐีกัว และผู้ที่ลงทุนด้วยคือเศรษฐีฉิวในเมือง เศรษฐีฉิวผู้นี้เป็เพียงเถ้าแก่คนที่สอง รับตำแหน่งหลงจู๊ในเมืองจินจู๋ ว่ากันว่าร้านเครื่องประดับถงซินมีร้านสาขาอีกแห่งในเมืองหลวง เศรษฐีกัวซึ่งย้ายไปเมืองหลวงเมื่อไม่กี่ปีก่อนเลยยกร้านนี้ให้เศรษฐีฉิวเป็ผู้จัดการ
เมื่อคืนนางวาดมาสองภาพ ภาพหนึ่งคือต่างหูเม็ดสีแดงเพลิง ส่วนอีกภาพคือปิ่นไม้เนื้อแดงลายดอกไม้ผ้าพลิ้ว เครื่องประดับรูปแบบแปลกใหม่เช่นนี้ในเมืองไม่เคยมีมาก่อน ของหายากย่อมมีราคาแพง นางน่าจะได้เงินไม่น้อย
“เมื่อวานเ้ากลับไปก็เพื่อวาดแบบเครื่องประดับพวกนี้หรือ?” ซย่าชุนอวิ๋นมองจิ่นเซวียนอย่างประหลาดใจ นางรู้สึกว่าจิ่นเซวียนต่างจากเมื่อก่อน
“เ้าค่ะ!” จิ่นเซวียนอมยิ้มพยักหน้า
“เซวียนเซวียน แหวนวงนี้ของเ้ามาจากที่ใดกัน?” ซย่าชุนอวิ๋นรู้ดีว่าแหวนมิใช่ของตกทอดของแม่จิ่นเซวียน
“ท่านอาเล็ก ท่านอาเขยเ้าคะ ข้าจะไม่ปิดบังพวกท่าน ใน่ไม่กี่วันก่อนที่ข้าหมดสติไป ข้าได้พบท่านเทพเข้าโดยบังเอิญ ท่านไม่เพียงสอนวิถีเซียนให้ข้า ยังสอนทักษะอื่นให้ด้วย แหวนหยกวงนี้คือของขวัญแรกพบที่ท่านเทพให้ข้าเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนรู้ว่าท่านอาเล็กจะสงสัยเลยแต่งเื่เทพหลอกพวกเขา
“ท่านเทพ เ้าหมายถึงเวลานี้เ้ามีวิชาเซียนแล้วหรือ?” ซย่าชุนอวิ๋นสบตากับสามีด้วยความตื่นตระหนก
“ใช่เ้าค่ะ อาจารย์เทพบอกข้าให้เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง นำความสงบสุขมาสู่ผู้คนแทนเขา ท่านอาเล็ก พวกเรากลับบ้านคืนนี้ให้ข้าช่วยลบรอยแผลเป็บนหน้าผากท่านเถิดนะเ้าคะ” จิ่นเซวียนรู้ว่าท่านอารักสวยรักงาม แต่เพราะรอยแผลบนใบหน้านางเลยต้องไว้หน้าม้าปัดข้าง ไม่กล้าเปิดหน้าแม้อากาศจะร้อน
หน้าตาและส่วนสูงของท่านอาเล็กกับท่านอาเขยตอนอยู่ด้วยกันดูไม่เข้ากันนัก แต่พวกเขาก็รักกัน นี่คือพรหมลิขิต!
“ตอนเ้าเกิด ดอกท้อที่ลานบ้านบานสะพรั่งในชั่วข้ามคืน ท่านปู่บอกว่าเ้าเป็เทพบุปผากลับชาติมาเกิด แต่ท่านย่าของเ้าหลอกว่าเ้าเป็ดาวหายนะ” ภาพตอนจิ่นเซวียนเกิดผุดขึ้นมา ซย่าชุนอวิ๋นคิดว่าจิ่นเซวียนคงถูกลิขิตมาให้มิใช่คนธรรมดา
“เื่นี้ข้าเคยได้ยินทุกคนพูดแล้วเ้าค่ะ ท่านอาเล็ก อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย พวกเราไปร้านเครื่องประดับถงซินกันเถิดเ้าค่ะ” คำนินทามากมายที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของนาง นางชินไปเสียแล้ว
ดาวหายนะหรือดาวนำโชคก็ช่างเถิด นางไม่สนใจ ชีวิตนาง นางจะลิขิตด้วยมือของตนเอง
......
พวกจิ่นเซวียนเดินไปร้านเครื่องประดับถงซิน ฉิวจั่งกุ้ยของร้านเดินมาทักทายพวกเขาด้วยตนเอง ฉิวจั่งกุ้ยเป็ชายวัยสามสิบกว่า ตัวไม่สูงมาก ร่างอวบเล็กน้อย ใบหน้าเหลี่ยมดูอัธยาศัยดี
“นายท่านหู ไม่พบกันนาน ่นี้สบายดีหรือไม่ขอรับ” ไม่กี่เดือนก่อนหูเหยียนซูสร้างเรือนขยายให้ฉิวจั่งกุ้ย พวกเขาเลยรู้จักกัน
“ขอบคุณพี่ใหญ่ฉิว ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ” หูเหยียนซูกระชับกอดบุตรสาวแล้วเอ่ยตอบฉิวจั่งกุ้ยด้วยรอยยิ้ม
“น้องหู สาวน้อยในอ้อมแขนเ้าน่ารักยิ่งนัก ลูกสาวเ้าหรือ?” แม้ฉิวจั่งกุ้ยจะร่ำรวยแต่ไม่เคยวางท่าใหญ่โต เขาอ่อนโยนใจดีกับทุกคน จึงเป็ที่ชื่นชอบของผู้คนเสมอ
เมื่อครู่หานเอ๋อร์น้อยยิ้มให้ เขาดีใจนัก
“ใช่ขอรับ พี่ใหญ่ฉิว ผู้นี้คือภรรยาข้า ส่วนนี่คือหลานสาวของภรรยาขอรับ” จากนั้นหูเหยียนซูก็แนะนำซย่าชุนอวิ๋นและจิ่นเซวียนให้ฉิวจั่งกุ้ยรู้จัก
“ฉิวจั่งกุ้ย ในเมื่อท่านกับท่านอาเขยรู้จักกัน ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมนะเ้าคะ ตัวข้ามีแบบภาพเครื่องประดับสองใบอยากขายให้ท่าน ไม่ทราบว่าท่านยินดีจะลองดูหรือไม่เ้าคะ” จิ่นเซวียนล้วงแบบภาพสองแผ่นออกจากแขนเสื้อส่งให้ฉิวจั่งกุ้ยพิจารณา
“ข้าขาดแบบสินค้าใหม่อยู่พอดี เ้าเอาให้ข้าดูได้” ร้านเครื่องประดับถงซินไม่ได้ออกสินค้าใหม่มานานแล้ว พวกเขากังวลเื่นี้กันอยู่ พอได้ยินจิ่นเซวียนกล่าวเมื่อครู่เลยค่อนข้างแปลกใจ
“ฉิวจั่งกุ้ย ปิ่นปักผมรุ่นผ้าไหมผูกนี้มีห้าสี โดยแบ่งใช้สีแดงดอกเหมยกุ้ย [2] เทาอ่อน เขียวโป้เหอ[3] ส้มแดงและน้ำเงิน เช่นนี้ลูกค้าจะได้เลือกแบบที่ตนเองชอบได้เ้าค่ะ การออกแบบผ้าไหมผูกแบบพิเศษจะช่วยเพิ่มจิติญญาให้กับตัวปิ่น ยามผ้าไหมพลิ้วไหวนั้นราวกับผ้าของเทพธิดา สวยบริสุทธิ์ สดใสและมีชีวิตชีวา ในส่วนวัสดุที่ใช้ทำต่างหูเม็ดสีแดงเพลิงก็หาง่ายยิ่งนัก หากท่านอยากให้มันดูหรูหราขึ้น ก็ใช้ทับทิมแทนเม็ดสีแดงสี่เม็ดนี้เ้าค่ะ” จิ่นเซวียนกางแบบอธิบายให้ฉิวจั่งกุ้ยเข้าใจทีละอย่าง
ตอนฉิวจั่งกุ้ยเห็นแบบภาพ ก็ตะลึงกับความงามของเครื่องประดับเหล่านี้
โดยเฉพาะปิ่นปักผมดอกไม้มีผ้าพลิ้ว น่าสนใจยิ่งนัก เขาไม่เคยเห็นแบบภาพดอกไม้เช่นนี้มาก่อน
“แม่นาง ดอกไม้ของเ้ามีความหมายหรือไม่?”
“ข้าเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่าดอกเหมยกุ้ย หมายถึงความรักและความงาม เป็ทั้งตัวแทนการกำเนิดของเทพแห่งความงามและเกิดจากหยดเืของเทพแห่งความงาม จึงใช้มันเป็สัญลักษณ์แทนความรักที่สวยงามเ้าค่ะ” ยุคที่จิ่นเซวียนอยู่นั้นไม่มีดอกไม้ชนิดนี้ฉิวจั่งกุ้ยไม่รู้ย่อมไม่แปลก
“แม่นาง แหวนบนมือของเ้าสวยมาก ให้ข้าทาย นี่คงเป็แหวนหยกที่แกะสลักจากหยกฝูหรงหายากใช่หรือไม่ แหวนในมือเ้าวงนี้มีมูลค่าอย่างน้อยหมื่นกว่าตำลึงเลยทีเดียว” ขณะฉิวจั่งกุ้ยฟังจิ่นเซวียนอธิบายก็ประเมินแหวนหยกของนางไปด้วย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็หยกฝูหรงล้ำค่า
“นี่คือของขวัญจากอาจารย์ของข้า ไม่คิดว่าราคาจะสูงเพียงนี้เ้าค่ะ” จิ่นเซวียนเอื้อมมือแตะแหวนหยก แน่นอนนางรู้ว่าหยกฝูหรงมีค่ายิ่งนัก แต่มันคือกระบี่เถาเยาของนาง ต่อให้ราคาหลายหมื่นตำลึงนางก็ไม่ขาย
“อาจารย์ของแม่นางมีฐานะจริงๆ” ฉิวจั่งกุ้ยรู้สึกว่าจิ่นเซวียนช่างลึกลับ ดูไม่เหมือนหญิงสาวชาวบ้านเลยสักนิด แต่สิ่งที่เขาพึงพอใจที่สุดคือแบบภาพของนาง ภาพเครื่องประดับของจิ่นเซวียนทันสมัยนัก พอวางขายแล้วเขากล้ารับรองเลยว่าขายดีแน่
“แม่นาง ข้าไม่อ้อมค้อม เ้าขายแบบภาพทั้งสองของเ้าให้ข้า ให้ราคาห้าร้อยตำลึง เ้าคิดเห็นอย่างไร?” ฉิวจั่งกุ้ยอยากหลอกจิ่นเซวียน แต่เขารู้นางหลอกยาก อีกอย่างเขาก็เป็สหายกับหูเหยียนซู ทำการค้าแบบกันเอง หากทำงามหน้าไป อนาคตคงเข้าหน้ากันไม่ติด
ห้าร้อยตำลึง?
หูเหยียนซูกับภรรยามองหน้ากัน แบบภาพสองแผ่นมีค่าเช่นนี้เชียวหรือ?
“ห้าร้อยก็ห้าร้อยเ้าค่ะ แต่ข้ามีเงื่อนไข เมื่อท่านทำต่างหูกับปิ่นปักผมออกมาแล้ว ต้องส่งปิ่นหนึ่งด้ามกับต่างหูหนึ่งคู่ให้ท่านอาเล็กของข้านะเ้าคะ” จิ่นเซวียนรู้ว่าแบบภาพมีราคามากกว่าห้าร้อยตำลึง เห็นแก่หน้าท่านอาเขยก็ถือว่าคบหาสหายคนหนึ่งแล้วกัน
“ไม่มีปัญหา” ฉิวจั่งกุ้ยตอบแบบไม่คิด เขาคิดแล้วว่าจะขายปิ่นแบบใดให้เมืองหลวง!
“ข้าเห็นฉิวจั่งกุ้ยเปิดเผยตรงไปตรงมา หากข้ามีแบบดีๆ อีกจะคิดถึงท่านคนแรกเลยเ้าค่ะ”
แต่ร่วมมือกันครั้งหน้า จะมิขายภาพให้ง่ายๆ แล้ว นางจะเอาค่านายหน้าด้วย
“ข้ากับนายท่านหูเป็สหายกัน หากแม่นางไม่รังเกียจก็เรียกข้าว่าลุงฉิวเถิด” ฉิวจั่งกุ้ยอยากคบค้ากับจิ่นเซวียนเลยเรียกบ่าวยกน้ำชามาให้พวกจิ่นเซวียน ส่วนเขาขึ้นไปเอาเงินมาให้นาง
“ท่านลุงฉิว ท่านให้เงินหนึ่งร้อยตำลึงข้า ส่วนที่เหลือข้าขอแลกเป็ตั๋วเงินเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนกำชับตอนฉิวจั่งกุ้ยขึ้นบันไดไปหยิบเงิน
“ท่านอาเล็ก ท่านชอบเครื่องประดับชิ้นไหนหรือไม่เ้าคะ ข้าจะซื้อให้ท่าน” จิ่นเซวียนมีเงินตำลึงแล้ว นางก็อยากซื้อของที่ท่านอาเล็กชอบ ท่านอาเล็กเป็คนที่รักนางที่สุด นางเลยอยากตอบแทน
“เด็กคนนี้มีเงินใช้แล้วก็ถลุงเลยหรือ เงินพวกนี้เ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด อย่าให้ท่านย่าเ้ารู้เด็ดขาด” ซย่าชุนอวิ๋นไม่อยากใช้เงินของจิ่นเซวียน นางมีเงินแล้วควรเอาไปวางแผนสำหรับอนาคตเสียดีกว่า
“หานเอ๋อร์น้อย เ้าชอบกำไลทองปลาเส้นเล็กนั้นหรือไม่?” จิ่นเซวียนชี้ไปที่กำไลทองของเด็กแล้วถามหานเอ๋อร์น้อย หานเอ๋อร์น้อยเพียงเห็นว่ากำไลทองส่องประกายระยิบระยับดูสวยงาม นางเลยบอกอยากได้
“เซวียนเซวียน เ้าไม่ต้องสนใจนาง” หูเหยียนซูไม่อยากให้จิ่นเซวียนสิ้นเปลืองเช่นเดียวกับที่ภรรยาคิด เขาคิดว่าจิ่นเซวียนมีเงินถือเป็รื่องดีจะได้ไม่โดนบ้านสามีข่มเหง
“ท่านอาเขย ข้ายังไม่ได้ให้ของขวัญหานเอ๋อร์น้อยเลย ท่านอย่าเกรงใจข้าเลยเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนคิดว่าเงินต้องหาเพิ่มเพื่อเอามาใช้ มิใช่ประหยัด
“แม่นาง กำไลทองคำสำหรับเด็กชิ้นนี้ราคาไม่สูงนัก หนึ่งตำลึงทองเท่ากับสิบตำลึงเงิน บวกต้นทุนการผลิตในการขึ้นรูปกำไล จึงต้องขายหกสิบตำลึงขอรับ”
“แม่นางซย่ามิใช่คนนอก คิดเงินนางห้าสิบตำลึงพอ” ฉิวจั่งกุ้ยถือถึงเงินลงจากบันไดมา และเอ่ยลดราคาให้จิ่นเซวียนสิบตำลึง
จิ่นเซวียนรับถุงเงินมาจ่ายเงินแล้วสวมกำไรบนมือขวาของหานเอ๋อร์
“พี่สาว มันเรืองแสงได้ด้วยเ้าค่ะ” หานเอ๋อร์น้อยยังเด็ก นางเลยยกกำไลบนมือขวาขึ้นมาใส่เข้าปากอย่างซื่อๆ
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งถ้วยชา หมายถึง หน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน เท่ากับเวลา 15 นาที หนึ่งจิบชา
[2] ดอกเหมยกุ้ย หมายถึง ดอกกุหลาบ
[3] โป้เหอ หมายถึง สะระแหน่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้