แต่ใครจะรู้ ในเวลาต่อมา มู่จื่อหลิงกลับบ้าไปแล้ว
เห็นได้ว่า...
สิ่งสำคัญคือต้องหนี!
นี่เป็ครั้งแรกที่กุ่ยเม่ยไม่ฟังคำพูดของมู่จื่อหลิง ฝ่าเท้าพลิ้วไหวดั่งสายลม [1] ร่างของเขาโบกสะบัดราวภาพลวงตา ความเร็วของเขารวดเร็วอย่างน่าทึ่ง
เกลียดนัก! ในใจมู่จื่อหลิงรู้สึกโกรธมาก!
หากบอกว่ากุ่ยเม่ยไม่ใช่องครักษ์ของหลงเซี่ยวอวี่ แต่เป็คนที่ตามสังหารนาง นางคงไม่เชื่อ การแบกคนเคลื่อนไหวของทั้งนายบ่าวเหมือนกันทุกประการ
โอบรัดเข้าตรงไหนกัน? เขาดันรัดตรงสายคาดเอวของนางพอดิบพอดี รู้ไหมว่าสิ่งนี้ทำให้นางแน่นท้องจนท้องไส้ปั่นป่วน
จริงๆ เลย! ช่างไร้ความปรานียิ่งนัก!
มู่จื่อหลิงผู้ซึ่งกำลังจะเสียสติด้วยความโกรธ ในเวลานี้จะรู้ได้อย่างไรว่าการเคลื่อนไหวของนายบ่าวนั้นเหมือนกันจริงหรือไม่ ด้วยแท้จริงแล้วลักษณะของศักยภาพนั้นแตกต่างกันมาก
ชั่วขณะหนึ่ง มู่จื่อหลิงรู้สึกเพียงหัวที่หนักอึ้ง นางรวบรวมกำลังทั้งหมดกัดฟันกล่าวประโยคที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
นางกรีดร้อง ะโเสียงดัง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “กุ่ยเม่ย เ้าสารเลว! หยุดก่อน! หยุด!”
ให้ตายเถอะ นางจะไม่สวมชุดที่มีสายรัดหน้าท้องอีก ทุกครั้งที่ถูกรัดขึ้นมาเช่นนี้มันอึดอัดเกินไป
นางไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้ ทั้งยังไม่อาจเรียนรู้วิชาตัวเบาเพื่อหลบหนี ทำให้นางยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น!
กุ่ยเม่ยไม่รู้ว่าฝูงค้างคาวสีเืแดงบินกลับมาด้วยเหตุใด แต่เขารู้ว่าหากพวกมันตามทัน พวกเขาคงจบสิ้น
ดังนั้นห้ามหยุด!
สิ่งสำคัญคือต้องหนี!
ยามได้ยินมู่จื่อหลิงะเิออกมาอย่างรุนแรง กุ่ยเม่ยจึงไม่คิดฟัง ความเร็วฝีเท้าของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
วิ่ง วิ่ง วิ่งต่อไป!!!
ยามเผชิญหน้ากับกุ่ยเม่ยผู้มีดีแต่กล้ามที่แสนดื้อรั้นเช่นนี้ ความบ้าคลั่งในใจของมู่จื่อหลิงพุ่งสูงจนเกินคำบรรยาย
นางโบกมือไปมากลางอากาศอย่างไม่สบอารมณ์ ลมที่พัดปะทะใบหน้าส่งผลให้หายใจไม่สะดวก นางจึงบ่นเสียงดังออกมาเป็ระยะ “เ้า...ข้า...ข้าจะตายแล้ว หยุดก่อน หยุด...!”
จะตายแล้ว? ยามได้ยินสามคำนี้ หัวใจของกุ่ยเม่ยสั่นระรัว
เขาหันกลับไปมองด้านหลังโดยไม่ลดฝีเท้าลง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาหนีมาไกลแล้ว ไม่มีเสียงค้างคาวเืแดงไล่ตามมา
ในที่สุดกุ่ยเม่ยก็หยุดเท้าลง
กุ่ยเม่ยหลุบตาลง เมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของมู่จื่อหลิงแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาก็เกิดกลัวจนแทบจะสิ้นสติ เอ่ยถามอย่างกระสับกระส่ายว่า “หวางเฟย ท่านสบายดีไหม?”
ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร! ไม่เป็ไรก็บ้าแล้ว!
ไม่มีส่วนใดแปลกไป...มู่จื่อหลิงก้มหน้าลง ร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรง นางไม่อยากแม้แต่จะอ้าปากพูดเสียด้วยซ้ำ
แต่ยามที่มู่จื่อหลิงจะสาปแช่งในใจจบ กุ่ยเม่ยก็ปล่อยสายรัดเอวของนางออก พร้อมกับประโยคที่เอ่ยถามนาง
กล่าวได้ว่าเป็ห่วงเป็ใยมากจริงๆ...
มู่จื่อหลิงที่ถูกบีบรัดอย่างแรงจนแทบหายใจไม่ออก โดยไม่คาดคิด ศีรษะของนางกดต่ำลง ร่างซวนเซไปตรงหน้าสองสามก้าว เกือบล้มกระแทกพื้นพร้อมหัวที่ยังหนักอึ้ง
“หวางเฟย ระวัง...” กุ่ยเม่ยกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าสายรัดเอวของมู่จื่อหลิงอีกครั้ง เพื่อดึงนางขึ้นมา
แต่มู่จื่อหลิงนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าว นางพิงร่างไปกับผนังขรุขระ ก่อนหยุดยืนนิ่ง
ตลกแล้ว หากดึงขึ้นมาอีกรับรองว่านางจะคายไส้ในท้องออกมาเป็แน่
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงหันกลับมาจ้องกุ่ยเม่ยด้วยดวงตาราวจะพ่นไฟ ราวกับว่าจะฆ่าเขาให้ตาย
กุ่ยเม่ยตัวสั่นสะท้านรุนแรง เก็บคำกลับลงท้อง มือที่ยื่นออกมาหดกลับไปอย่างรวดเร็ว
ในยามนี้ ใบหน้ามู่จื่อหลิงเปลี่ยนเป็สีแดง ไม่รู้ว่านางโกรธหรือเป็เพราะการถูกบีบรัด
หรือทั้งสองอย่าง
นางงอตัว มือข้างหนึ่งพิงผนังขรุขระ อีกข้างโอบเอวเล็กของตน กัดฟันเน้นย้ำซ้ำๆ ว่า “กุ่ยเม่ย เ้าไม่รู้จักการรักหยกถนอมบุปผาหรือไร...นายของเ้าไม่เคยสอนหรือว่าเ้าต้องอ่อนโยนต่อสตรี อ่อนโยน ต้องอ่อนโยนกว่านี้?”
แต่น่าเสียดายที่ยามมู่จื่อหลิงเน้นคำสำคัญกับกุ่ยเม่ยถึงสามครั้ง มันกลับกลายเป็การดีดพิณให้วัวฟัง [2]
รักหยกถนอมบุปผา? อ่อนโยน? สิ่งเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?
กุ่ยเม่ยกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา รู้สึกงุนงงกับข้อกล่าวหา
คำว่า ‘รักหยกถนอมบุปผา’ กับ ‘อ่อนโยน’ ไม่เคยอยู่ในสมองของเขาเลย เขาไม่เข้าใจความหมายของสองคำนี้สักนิด
กุ่ยเม่ยคิดเกี่ยวกับเื่นี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามู่จื่อหลิงหมายถึงอะไร
เขาตอบตามตรงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทูลหวางเฟย ข้าน้อยไม่เข้าใจ นายท่านไม่เคยสอนสิ่งเหล่านี้กับข้าน้อยเลย”
ประโยคนี้ของกุ่ยเม่ยดังก้องกังวาน
มู่จื่อหลิงโกรธจนแทบหงายหลัง!
นี่เป็เื่ไร้สาระใช่ไหม นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่เคยสอนเขา
แต่นี่ควรเป็ความสามารถโดยกำเนิดของมนุษย์ไม่ใช่หรือ? ต้องสอนกันเสียที่ไหน
มู่จื่อหลิงคิดเกี่ยวกับเื่นี้
ใช่แล้ว ฉีอ๋องเป็คนเช่นไร? โเี้ฉาวโฉ่ไร้ความปรานี ในฐานะองครักษ์ของฉีอ๋อง เขาจะรู้จักความอ่อนโยนและความเห็นอกเห็นใจได้อย่างไร? ไร้สาระเสียจริง
มู่จื่อหลิงรู้สึกว่านางคงโกรธจนบ้าไปแล้ว ถึงได้ถามคำถามเช่นนี้
“เช่นนั้นการที่เ้ารีบร้อนพาเปิ่นหวางเฟยวิ่งเช่นนี้ เป็เพราะเ้าอยากรีบไปเกิดใหม่หรือ! การกลับชาติมาเกิดนั้นยังง่ายยิ่งกว่าการบอกให้เ้าหยุด เ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?” มู่จื่อหลิงชี้กุ่ยเม่ยด้วยนิ้วที่สั่นเทา พูดคำรามเสียงดังเพื่อดับไฟในใจ
เสียงนี้ไม่นับว่าดังมากนัก แต่กลับสั่นะเืไปทั้งทางเดินภายในถ้ำ
ใครจะคิดว่ายามเผชิญกับเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของมู่จื่อหลิง ใบหน้าของกุ่ยเม่ยกลับไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เขาตอบไปตามตรงว่า “หวางเฟย สิ่งสำคัญคือต้องหนี!”
ความหมายคือนางไม่ได้ไปเกิดใหม่ แต่กำลังวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด! จึงหยุดไม่ได้
หึ...มู่จื่อหลิงเกือบคำรามออกมาด้วยความโกรธ ถูกเขาทำให้อึดอัดจนพูดไม่ออก
มู่จื่อหลิงกัดฟันจ้องกุ่ยเม่ยเขม็ง อยากจะแงะหัวขี้เลื่อยนี้ออกดูเหลือเกิน ว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้างไหม?
ยามถูกมู่จื่อหลิงจ้องเขม็ง กุ่ยเม่ยแอบกลืนน้ำลาย
ยามคิดว่ามู่จื่อหลิงน่าจะกำลังสั่งสอนตนที่ล่วงเกินนาง กุ่ยเม่ยจึงผสานมือทั้งสองข้าง แสดงท่าทางขอโทษด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ข้าน้อยทำให้หวางเฟยขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจ ขอหวางเฟยโปรดลงโทษ!”
เพียงคำเดียว มู่จื่อหลิงก็เข้าใจได้ทันทีว่า เมื่อครู่ชายผู้นี้เกรงว่าจะล่วงเกินนาง จึงคว้าจับตรงสายรัดเอวแล้วพานางวิ่งอย่างหมดหนทาง
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาคว้าจับสายรัดเอวนาง ทั้งยังทำให้นางอึดอัดมาตลอดทางโดยไม่ยอมพูดอะไร ยามนี้ยังจะพูดอย่างสมเหตุสมผลว่าเขาทำให้นางขุ่นเคือง?
มือข้างหนึ่งของมู่จื่อหลิงกำหมัดแน่น นางกุมหน้าผากด้วยความปวดหัว ไม่รู้จะพูดอะไร
ขุ่นเคืองใจเช่นนั้นหรือ? แล้วจะไม่ให้ขุ่นเคืองได้อย่างไร?
จำเป็ต้องใช้เชือกยาวรอบคอของนางแล้วดึงนางออกมาไกลเพียงนี้ ทั้งดึงทั้งลากราวนางเป็วัวแก่ [3] ไม่ให้นางขุ่นเคืองได้หรือ?
มู่จื่อหลิงไม่กล้าพูดความคิดนี้ ด้วยนางเกรงว่ากุ่ยเม่ยจะตอบบางอย่างกลับมาตัวอย่างเช่น ‘นี่เป็ความคิดที่ดีหรือ หรือไม่ก็สิ่งนี้ไม่เสียหายตรงไหน’ นางคงโกรธมาก
“หวางเฟย โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย!” เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงไม่เคลื่อนไหว กุ่ยเม่ยจึงทรุดกายลงต่ำ ก้มหน้าลง พูดอย่างเคร่งขรึม
ลงโทษ ลงโทษเ้าหรือ!
มู่จื่อหลิงคร่ำครวญภายในใจ ยามนี้นางไม่เพียงแค่อยากลงโทษเท่านั้น?
ในยามนี้ นางอยากจะทุบเ้าท่อนไม้โง่นี้ให้ตาย เหตุใดสมองของเขาถึงไร้รอยหยักได้ถึงเพียงนี้?
ลงโทษ...เพียงแค่นี้หรือ!
อย่างไรก็ตาม ยามมองกุ่ยเม่ยที่จริงจังเช่นนี้ มู่จื่อหลิงรู้สึกจุกแน่นในอก แต่ไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้
ไม่ต้องพูดถึงการทุบกุ่ยเม่ยให้ตาย ในยามนี้ มู่จื่อหลิงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะโกรธเขา
นางปวดหัวมาก
นางคิดว่า หากนางคุยกับเ้าท่อนไม้ที่ไร้อารมณ์นี้เกี่ยวกับทัศนคติที่ควรมีต่อผู้หญิงต่อไป นางอาจไม่ได้กระอักเืเพียงเพราะอาการอยากอ้วก แต่จะเป็โกรธจนกระอักเื
มู่จื่อหลิงลูบท้องของตน หายใจเข้าลึกๆ มองกุ่ยเม่ยด้วยความไม่พอใจ
ก่อนมู่จื่อหลิงจะตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว นางสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ เดินผ่านกุ่ยเม่ยไป เดินเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง
“หวางเฟย ท่าน...” กุ่ยเม่ยได้ยินเสียงฝีเท้าของมู่จื่อหลิง จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววของมู่จื่อหลิงในทิศทางปากถ้ำ
กุ่ยเม่ยจึงหันกลับมา ก่อนเห็นว่ามู่จื่อหลิงกำลังเดินเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง เขาใ รีบร้อนไล่ตามไป จากนั้นจึงเอ่ยเตือนด้วยความหวาดกลัว “หวางเฟย ผิดทางแล้ว ปากถ้ำอยู่ทางโน้น”
“หุบปาก! หากเ้าไม่อยากให้เปิ่นหวางเฟยทุบตีเ้าให้ตายจริงๆ ก็อย่าพูดมาก” มู่จื่อหลิงหันกลับมา โบกกำปั้นใส่เขาอย่างข่มขู่
ขณะพูด มู่จื่อหลิงก็หยิบหน้ากากออกมาสองชิ้น โยนหน้ากากหนึ่งชิ้นให้กุ่ยเม่ยโดยไม่อธิบายใดๆ
กุ่ยเม่ยหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมทันที
หน้ากากนี้ไม่มีกลิ่นหอมของน้ำยาหลิงอวิ้น มีเพียงกลิ่นยาแปลกๆ ซึ่งกุ่ยเม่ยไม่อาจเข้าใจได้
ยามเทียบกับน้ำยาหลิงอวิ้นแล้ว หน้ากากที่ผสมกลิ่นหอมของยาบางอย่างด้อยกว่าเล็กน้อย ไม่สามารถกลบกลิ่นเหม็นในถ้ำได้ทั้งหมด แต่เพียงพอที่จะทำให้ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอาเจียนออกมา
ในท้ายที่สุด กุ่ยเม่ยเพียงแค่ให้เหตุผลกับตนเองว่า บนร่างมู่จื่อหลิงไม่มีน้ำยาหลิงอวิ้นเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงใช้สิ่งอื่นที่มีข้อบกพร่องแทน
ยามเห็นกุ่ยเม่ยสวมหน้ากากอย่างไม่ลังเล มู่จื่อหลิงก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นอีกครั้ง นางเตือนอย่างโเี้ “จากนี้ไป ไม่ต้องพูดอะไร แค่ตามมา”
ในท้ายที่สุดภายใต้ ‘ความก้าวร้าว’ ที่ดุดันของมู่จื่อหลิง กุ่ยเม่ยก็ปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง เขาเพียงเดินนำหน้าไปอย่างเงียบๆ
-
หลินเกาฮั่นเดินพิงผนังถ้ำมาจนสุดทาง ลากร่างของตนออกมาด้วยความตื่นตระหนก ในที่สุดก็เดินออกจากถ้ำเน่าเหม็นจนได้
ในเวลานี้ไม่มีใครอยู่นอกถ้ำ มีเพียงม้าสองตัวที่มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยขี่มาเท่านั้น
ระหว่างทาง หลินเกาฮั่นรู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ยามคิดว่ามู่จื่อหลิงถูกฝังในถ้ำโดยไม่เหลือกระทั่งร่างกาย งานที่ไทเฮาทรงมอบหมายให้เขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ดังนั้น จากนี้ไปชีวิตของเขาจะราบรื่น เพียงแค่คิด หลินเกาฮั่นก็ตื่นเต้นจนเกินควบคุม
แต่ในยามนี้ หลินเกาฮั่นที่ล้มลงไปตรงมุมหนึ่งนอกถ้ำไม่สามารถตื่นเต้นยินดีต่อไปได้อีก
เนื่องจากมู่จื่อหลิงวางยาพิษที่มือของเขา และในยามนี้ก็เลย่เวลาที่ดีที่สุดในการถอนพิษไปเสียแล้ว แม้แต่เทพเซียนก็ยังหมดหนทาง
ในยามนี้ ฝ่ามือทั้งหมดของหลินเกาฮั่นเปลี่ยนจากสีม่วงในตอนแรก กลายเป็สีดำราวเถ้าถ่าน
ความเ็ปจากฝ่ามือทำให้หลินเกาฮั่นเหงื่อไหลจนแทบจะเป็ลม
วิธีเดียวที่จะหยุดยั้งความเ็ปในยามนี้คือการตัดมือ
ตัดทิ้ง? หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมู่จื่อหลิง หลินเกาฮั่นย่อมต้องขอยาแก้พิษจากนาง แม้จะต้องก้มกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง [4] เขาก็จะทำเพื่อขอยาจากมู่จื่อหลิง
แต่ยามนี้...ทันทีที่เขาหนีออกจากถ้ำ เขาคิดถึงผลที่จะตามมาแล้ว มือของเขาจะไร้ประโยชน์แน่
แต่ถึงแม้จะเสียมือไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากที่เขากำจัดฉีหวางเฟยผู้เป็ดั่งหนามในใจของไทเฮาลงได้ เขาจะยังมีชีวิตที่รุ่งเรืองในภายภาคหน้า
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คุ้ม
ยิ่งหลินเกาฮั่นคิดเกี่ยวกับเื่นี้มากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฝ่าเท้าพลิ้วไหวดั่งสายลม (脚底生风) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า เร็วจนไม่สนสิ่งใด
[2] ดีดพิณให้วัวฟัง (对牛弹琴) เป็สำนวน มีความหมายว่า ชี้แนะหรือสั่งสอนคนที่ไม่เห็นคุณค่าหรือผู้โง่เขลานั้นย่อมไร้ผล
[3] ลากราวเป็วัวแก่ (像拖老牛) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า เชื่องช้า หรือไม่มีประสิทธิภาพ
[4] ก้มกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง (三跪九叩) เป็การกราบแบบสูงสุดของจีน ใช้สำหรับเข้าเฝ้าเ้านายชั้นสูง หรือบูชาเทพเ้า