สวี่ฮุ่ยไม่รู้แผนการของคนในครอบครัว เธอตกปลาจนถึงสี่ทุ่มครึ่งค่อยกลับบ้าน
แม้วันนี้จะได้ปลาไหลมาค่อนข้างเยอะ ตั้งสามสิบกว่าจินแต่ก็ไม่ได้ตะพาบมาสักตัวเดียว เธอรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
กลับมาถึงบ้าน ไฟในบ้านดับสนิท ไม่มีใครรอเธอเลย
สวี่ฮุ่ยไม่ได้สนใจ เปิดไฟ เข้าไปต้มน้ำในครัวอาบ ซักผ้า ตากผ้าไว้ข้างนอก แล้วค่อยเข้านอน
เธอเพิ่งได้หลับตานอน ลืมตาขึ้นมาก็เช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
สวี่ฮุ่ยถอดเสื้อกล้ามตัวเล็กมีรอยปะชุนที่ใส่ตอนนอนออก แล้วสวมชุดเดรสลายดอกแขนกุดที่อาจารย์ใหญ่โจวซื้อให้
หลังจากหวีผมเสร็จ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคาดผมประดับโบว์ที่ลู่ฉี่เสียนซื้อให้ ค่อยเดินออกจากห้อง เตรียมแปรงฟันล้างหน้าเพื่อออกไปข้างนอก
แต่กลับเห็นสวี่รั่วเฉินนั่งอยู่บนโซฟา มองเธออย่างเ็า
สวี่ฮุ่ยเห็นว่าเขามองมาด้วยสายตาไม่เป็มิตร ไม่อยากทักทายเขา จึงเดินตรงไปที่ห้องครัว
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ สวี่ฮุ่ยก็หิ้วถังใส่ปลาไหลเตรียมออกจากบ้าน
สวี่รั่วเฉินเรียกเธอจากข้างหลัง “อย่าเพิ่งรีบออกไปสิ ฉันมีเื่จะคุยกับเธอ”
สวี่ฮุ่ยหยุดเดินแล้วหันมองเขาด้วยสายตาไร้อารมณ์ “เื่อะไร?”
สวี่รั่วเฉินพูดอย่างหนักแน่นมั่นใจ “เอาเงินทั้งหมดที่เธอมีมาให้แม่เก็บไว้ เพื่อรักษาเยว่เยว่ในอนาคตซะ”
สวี่ฮุ่ยเลิกคิ้วถาม “มีสิทธิ์อะไรมาเอาเงินฉันไปรักษาสวี่เยว่? ”
สวี่รั่วเฉินเห็นว่าเธอไม่ยอมให้เงิน พลันโกรธขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ “ไม่ใช่เพราะเธอไม่ยอมยกโทษให้เยว่เยว่หรอกเหรอ เยว่เยว่ถึงเสียใจจนอาการกำเริบถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เธอควรเอาเงินมารักษาเยว่เยว่ เพื่อเป็การชดเชยให้เธอสิ!”
สวี่ฮุ่ยหัวเราะ “พี่คงฟังพ่อกับแม่พูดมาสินะ ฉันแนะนำให้พี่ไปถามสาเหตุที่สวี่เยว่เข้าโรงพยาบาลจากตำรวจกับตา ยายก่อน แล้วค่อยมาเอาเื่กับฉัน! ไม่งั้นท่าทางกัดคนอื่นมั่ว ๆ ของพี่จะทำให้ฉันคิดว่าพี่เป็หมาบ้า!”
พูดจบก็ผลักสวี่รั่วเฉินที่ขวางทางออก แล้วเดินจากไป
สวี่ต้าซานกับกู่ซิ่ว คนหนึ่งไปซื้อซาลาเปาที่ทำงานเป็อาหารเช้า อีกคนไปซื้อกับข้าวที่ตลาดั้แ่เช้า
ตอนนี้ทั้งสองกลับมาพร้อมกัน
พอเข้าบ้านก็เห็นพี่น้องกำลังทะเลาะกัน สวี่รั่วเฉินดูเหมือนจะเถียงแพ้ สีหน้าบึ้งตึงจนน่ากลัว
กู่ซิ่วหยิกสวี่ต้าซานแรง ๆ เป็เชิงบอกว่าเขาควรออกหน้าได้แล้ว
สวี่ต้าซานจำต้องกัดฟันถาม “พวกเธอสองพี่น้องทะเลาะเื่อะไรกันแต่เช้า?”
สวี่รั่วเฉินเล่าต้นสายปลายเหตุให้สวี่ต้าซานกับภรรยาฟังอย่างย่อ ๆ
สุดท้ายก็พูดอย่างหัวเสีย “ฮุ่ยฮุ่ยเป็เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะมีเงินมากมายไปทำไม เอาเงินมารักษาเยว่เยว่ไม่ดีกว่าเหรอ เยว่เยว่แย่แค่ไหนก็เป็น้องสาวแท้ ๆ ของเธอนะ ในฐานะพี่สาวจะใจร้ายขนาดนี้ไม่ได้!”
ดวงตาของสวี่ฮุ่ยเต็มไปด้วยความเ็า ถามกลับว่า “ต่อให้สวี่เยว่อยากฆ่าฉัน ฉันก็ใจร้ายกับเธอไม่ได้งั้นเหรอ?”
สวี่รั่วเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “มันก็ไม่ได้เกิดเื่ร้ายแรงอะไรขึ้นนี่?”
สวี่ฮุ่ยพยักหน้า “ดี ฉันมองพี่ออกแล้ว! ฉันนึกว่าเื่แตงโมคราวก่อน พี่น่าจะมองคนมองเื่ราวออกบ้าง ที่แท้ฉันก็คิดไปเอง”
สวี่ต้าซานขมวดคิ้ว “พี่ชายลูกพูดถูกแล้ว คนในครอบครัวไหนเลยจะมีความแค้นข้ามคืน ลูกไม่ได้ใช้เงินที่มี ก็เอามารักษาน้องเถอะ”
เขาเห็นสวี่ฮุ่ยไม่ไหวติง จึงเสริมว่า “หมอบอกว่าเยว่เยว่เข้าโรงพยายามคราวนี้อาการไม่ค่อยดี ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจโดยเร็วที่สุด”
“ตอนนี้มีแค่โรงพยาบาลโหย่วเหอในปักกิ่งเท่านั้นที่สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจได้ แต่ค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย ๆ ”
“ถ้าครอบครัวเราไม่ช่วยกันหาเงินให้น้องผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจก่อนอายุยี่สิบห้า เยว่เยว่…อาจจะตาย”
ดวงตาของสวี่ฮุ่ยเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง “เยว่เยว่อยากฆ่าหนู พ่อยังจะให้หนูเอาเงินไปช่วยเธออีกเหรอ พ่อไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอคะ!”
สวี่ต้าซานโดนตอกกลับจนหน้าแดงก่ำ
แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้ว ก็ให้ลูกสาวคนโตต้องเสียใจสักครั้งเถอะ เป็ครั้งสุดท้ายแล้ว
เขาพูดว่า “พ่อรู้ว่าลูกน้อยใจ พ่อมันไม่เอาไหน หาเงินเยอะ ๆ ไม่ได้ ช่วยน้องไม่ได้ เลยได้แต่ขอร้องลูก”
“หนูไม่ยอม!”
สวี่ต้าซานเห็นลูกสาวยืนกรานหนักแน่น ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา “ลูกไม่ยอมก็ต้องยอม!”
สวี่ฮุ่ยพูดอย่างเ็า “ถ้าหนูไม่ยอม พ่อจะฆ่าหนูหรือไง!”
สวี่ต้าซานถึงกับพูดไม่ออก
กู่ซิ่วเห็นดังนั้น จึงออกโรงเอง
เธอกล่าวตำหนิสวี่ฮุ่ยด้วยความโกรธ “ทำไมแกไม่เอาเงินเอามารักษาน้อง? น้องแกสุขภาพไม่ดี เพราะตอนอยู่ในท้องถูกแกแย่งสารอาหารไปหมด เป็แกที่แกติดหนี้น้อง!”
ชาติที่แล้วกู่ซิ่วมักจะพูดแบบนี้ ล้างสมองสวี่ฮุ่ยเสมอ ทำให้เธอรู้สึกผิดต่อสวี่เยว่จนกระทั่งตาย
แต่ชาตินี้เธอจะไม่เป็แบบนั้นอีกแล้ว
สวี่ฮุ่ยเปล่งคำพูดเยือกเย็นออกมาสามคำ “สมควรแล้ว!”
สวี่ต้าซานหน้าเคร่งขรึม “ฮุ่ยฮุ่ย ลูกทำเกินไปแล้ว นั่นน้องสาวแท้ ๆ ของลูกนะ!”
สวี่ฮุ่ยหัวเราะเยาะ “สวี่เยว่เคยเห็นหนูเป็พี่สาวบ้างไหมล่ะคะ?”
สวี่รั่วเฉินพูดเน้นทีละคำ “เยว่เยว่สำนึกผิดแล้ว!”
สวี่ฮุ่ยกัดฟันพูดเน้นย้ำทีละคำเช่นกัน “ฉันไม่ให้ยืม รอให้เธอตายก่อน ฉันค่อยขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปวันนี้ แล้วบอกว่าฉันสำนึกผิดแล้วเหมือนกัน!”
กู่ซิ่วกระทืบเท้าโมโห ชี้หน้าสวี่ฮุ่ยแล้วพูดว่า “ถ้าวันนี้แกไม่ยอมเอาเงินทั้งหมดมาให้ ฉันก็จะไม่เอาทะเบียนบ้านออกมาเขียนจดหมายแนะนำให้แก ดูซิว่าแกจะไปเรียนมหาวิทยาลัยได้ยังไง!”
สวี่ฮุ่ยมองไปที่สวี่ต้าซาน “พ่อก็คิดแบบนี้เหมือนกันเหรอคะ?”
สวี่ต้าซานหันหน้าหนี ไม่สบตาเธอ พูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “นั่นน้องสาวของลูกนะ ลูกจะใจร้ายขนาดนั้นไม่ได้!”
“หนูใจร้าย?” สวี่ฮุ่ยหัวเราะ
“ถ้าไม่ใช่เธอใจร้าย แล้วจะเป็ใคร? น้องสาวแท้ ๆ ก็ไม่ช่วย!” สวี่รั่วเฉินตำหนิสวี่ฮุ่ยด้วยความโกรธ
กู่ซิ่วก็พูดว่า “แกไม่ใช่แค่ต้องเอาเงินทั้งหมดมาให้น้องผ่าตัดในอนาคตเท่านั้น แกต้องให้น้องไปเรียนมหาวิทยาลัยแทนแกด้วย ในอนาคตน้องจะได้เรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ มีงานดี ๆ ทำ”
สวี่ฮุ่ยมองคนในครอบครัวทั้งสามด้วยสายตาเ็า แล้วมองไปที่สวี่ต้าซานอีกครั้ง “พ่อก็คิดแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”
คราวนี้สวี่ต้าซานไม่ได้หลบสายตาสวี่ฮุ่ย “พ่อว่าแม่จัดการแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปีนี้ลูกให้น้องไปเรียนมหาวิทยาลัยแทนก่อน แล้วลูกก็เรียนซ้ำชั้นอีกปี ค่อยสอบใหม่ปีหน้า ยังไงก็สอบติดแน่ แบบนี้ทั้งลูกและน้องก็จะได้เรียนมหาวิทยาลัยมีอนาคตที่ดีทั้งคู่”
สวี่ฮุ่ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะพลางพูดซ้ำ “แบบนี้เรียกว่าดีเหรอ? แล้วที่แม่กับเยว่เยว่เอาแต่เยาะเย้ยหนูว่าเรียนซ้ำชั้นตั้งหลายปีกว่าจะสอบติดมหาวิทยาลัย เสียเงินทางบ้านไปเปล่า ๆ ล่ะ”
เธอพยักหน้าพร้อมกับยิ้มหยัน “หนูผิดหวังในตัวพ่อมากพอแล้ว เลยไม่คิดหวังอะไรอีก หลังจากนี้ถ้าหนูออกจากบ้านนี้ไปก็จะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก”
สวี่ต้าซานได้ยินลูกสาวคนโตพูดแบบนี้ก็รู้สึกเ็ปในใจ
เขาติดหนี้ลูกสาวคนโตมากจริง ๆ แต่…ถ้าไม่ทำร้ายความรู้สึกลูกสาวคนโต แล้วลูกสาวคนเล็กจะทำยังไง? ทั้งสองล้วนเป็เืเนื้อเชื้อไขตัวเองทั้งนั้น
กู่ซิ่วเอาเงินมาไม่ได้ ก็โกรธจนหน้าแดงเหมือนตับหมู “ยังกล้าขู่จะหนีออกจากบ้านอีก! อยากไปก็ไปเลย ดูสิว่าพวกเราจะกลัวไหม!”
สวี่ฮุ่ยได้ยินดังนั้น ก็นำใบเกียรติบัตร ข้าวของที่อาจารย์ใหญ่โจวซื้อให้ รวมถึงปากกาหมึกซึมสลักชื่อใส่กระเป๋าเป้ที่ได้เป็รางวัลจากงานประชุมประกาศเกียรติคุณในเมือง สะพายขึ้นหลัง หิ้วถังปลาไหลแล้วเดินออกจากบ้านไป
ทำอย่างกับว่าเธอเป็สาวน้อยไร้เดียงสาที่กลัวการหนีออกจากบ้านงั้นแหละ
สวี่ต้าซานร้อนใจ รีบวิ่งตามไปขวางสวี่ฮุ่ยไว้ “ลูกทำอะไร? แม่พูดแค่นี้ ลูกต้องหนีออกจากบ้านเลยเหรอ?”
เพื่อนบ้านข้าง ๆ ได้ยินเข้า แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบห้ามปรามสวี่ฮุ่ยไม่ให้ออกจากบ้าน
เด็กสาวตัวเล็ก ๆ หน้าตางดงามอย่างเธอ ออกจากบ้านไปแบบนี้อันตรายมาก
สวี่ฮุ่ยร้องไห้โฮ “ใช่ว่าหนูอยากหนีออกจากบ้าน แต่แม่บังคับให้สวี่เยว่สวมรอยเรียนมหาวิทยาลัยแทนหนู แล้วยังจะให้หนูเอาเงินทั้งหมดที่มีมารักษาสวี่เยว่อีก สวี่เยว่ใจดำกับหนู ทำไมหนูต้องยกโอกาสในการเรียนมหาวิทยาลัยและเอาเงินให้ด้วย?”
เธอปาดน้ำตา “หนูยกเงินรางวัลพันหยวนที่ทางจังหวัดมอบให้กับแม่ไปรักษาสวี่เยว่แล้ว พ่อกับแม่ยังไม่พอใจ จะเอาเงินสามพันหยวนอีก หนูไม่ให้ แม่ก็ไล่ออกจากบ้าน! บ้านหลังนี้ไม่มีที่ให้หนูซุกหัวนอนแล้ว หนูไม่ไปแล้วจะทำยังไงได้อีก?”
เพื่อนบ้านต่างมองกู่ซิ่วด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
เพื่อนบ้านบางคนไม่สนว่าสวี่ต้าซานเป็ถึงผู้จัดการโรงงาน ต่างก็ก้าวออกมาพูดเพื่อความยุติธรรมว่าผัวเมียคู่นี้ทำเกินไปแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่สวี่เยว่เคยยืมมือคนอื่นเพื่อพยายามจะฆ่าสวี่ฮุ่ยเลย
และต่อให้ไม่ได้ทำ พ่อแม่ก็ไม่ควรเอาโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยของลูกสาวคนโตกับเงินทั้งหมดให้สวี่เยว่อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น สวี่ฮุ่ยให้เงินกู่ซิ่วไปพันหยวนเพื่อรักษาสวี่เยว่ก็ถือว่ามีคุณธรรม ตอบแทนความแค้นด้วยความดีมากพอแล้ว
ผัวเมียคู่นี้เอาความหน้าด้านมาจากไหน ถึงคิดจะเอาเงินรางวัลของสวี่ฮุ่ยที่มณฑลมอบให้ หน้าไม่อายจริง ๆ
แต่ก็มีพวกโลกสวยบางคนออกความเห็นว่า ไม่ให้สวี่เยว่สวมรอยแทนสวี่ฮุ่ยไปเรียนมหาลัยก็ได้ แต่สวี่ฮุ่ยควรเอาเงินมารักษาสวี่เยว่บ้าง
ระหว่างพี่น้อง ต่อให้มีแค้นฝังลึกแค่ไหน อะไรควรช่วยเหลือกันก็ควรช่วย จะมองอีกฝ่ายตายได้ยังไง
สวี่ฮุ่ยบอกว่า ขอแค่พวกโลกสวยให้สวี่เยว่ยืมเงินคนละห้าร้อยหยวนเพื่อรักษาตัว เธอก็จะเอาเงินทั้งหมดที่มีมารักษาสวี่เยว่
พวกโลกสวยคนหนึ่งพูดอย่างแน่วแน่ “ถ้าพวกเรามีเงินมากขนาดนั้น ต้องให้สวี่เยว่ยืมเงินรักษาตัวแน่”
“จริงเหรอ?” สวี่ฮุ่ยพูด “ฉันไปงานประชุมประกาศเกียรติคุณที่มณฑล รู้จักกับนักเรียนจากโรงเรียนอื่น พ่อของนักเรียนคนนั้นเป็ผู้จัดการธนาคาร สามารถปล่อยเงินกู้ขั้นต่ำให้พวกคุณได้ พวกคุณก็มีเงินให้น้องสาวฉันยืมไปรักษาตัวแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
คนพวกนั้นหุบปากฉับพลัน
ใคร ๆ ก็รู้ว่ากู้เงินจากธนาคารดอกเบี้ยสูงแค่ไหน?
พวกเธออ้างศีลธรรมสูงส่งตำหนิคนอื่นได้ แต่ถ้าต้องเสียผลประโยชน์ของตัวเอง พวกเธอกลับไม่ยอม