ฉู่ชิงได้สติ ดวงตาสีนิลขลับจ้องมองเหนียนยวี่อย่างจดจ่อตั้งใจ
เชื่อนางหรือ?
ท่าทีของเขาสงบขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาจดจ่อมากขึ้น
ทิ้งเื่ความอาจหาญของนางออกไปก่อน เขามีความไว้วางใจในตัวนางอย่างอธิบายไม่ถูกนึกถึงวันนั้นที่นางพันแผลให้ตนเองในสวนร้อยสัตว์ออกมาได้อย่างประณีตเรียบร้อย
นางรู้จักวิธีรักษาแม้นเขาจะไม่รู้ว่าฝีมือการรักษาของนางเชี่ยวชาญถึงระดับใดทว่าเขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เหนียนยวี่เพิ่งกล่าวออกมานั้นถูกต้อง
ยามนี้เหนียนยวี่ได้เข้ามาัักับแหล่งต้นกำเนิดของการระบาดแล้วเพื่อความเป็ไปของสถานการณ์โดยรวมแล้ว ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงแต่ต้องยอมให้นางอยู่ที่นี่
"เ้า้าจะทำอะไร?"ฉู่ชิงเอ่ยปากมิรู้ั้แ่เมื่อใดที่สองมือกำแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อราวกับว่าเขากำลังอดทนฝืนกลั้นอะไรบางอย่าง
เหนียนยวี่รู้ว่าฉู่ชิงได้ละทิ้งความคิดที่จะเข้ามาพัวพันกับนางแล้วเหนียนยวี่หันหลังกลับไปทางเหล่าทหารตรงกระโจมที่คอยมองดูพวกเขาจากฝั่งนั้น “พวกเขาไม่ฟังข้าคิดดูแล้วในเวลาเช่นนี้ มีเพียงคำสั่งของท่าน ‘แม่ทัพหลวง’ ที่พวกเขาเชื่อฟังและปฏิบัติตาม เช่นนั้นขอให้ท่านแม่ทัพออกคำสั่งให้คนหยุดราดน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยเ้าค่ะ”
“เพราะเหตุใด?” ฉู่ชิงชำเลืองมองไปยังคนที่ถือถังไม้ คอยราดน้ำยาฆ่าเชื้อ แต่ไหนแต่ไรมาต้องฆ่าเชื้อโรคระบาดด้วยวิธีการเช่นนี้เสมอ หากหยุดราดน้ำยาฆ่าเชื้อเกรงว่าคงทำให้โรคระบาดยิ่งลุกลามเร็วขึ้น ทว่าในเมื่อเหนียนยวี่เอ่ยออกมาเช่นนี้นางต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ฉู่ชิงกะพริบตา ดวงตาจับจ้องลงบนร่างของเหนียนยวี่ ไม่นานหลังจากนั้นเขาพลันได้ยินเสียงของเหนียนยวี่ดังขึ้นมาอีกครั้ง "ท่านแม่ทัพหลวงโรคระบาดครานี้แตกต่างจากโรคระบาดทั่วไป แม้นดูเหมือนโรคระบาดทว่าความจริงแล้วมันคืออาการโดนพิษ"
“โดนพิษหรือ?” ฉู่ชิงขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง” เหนียนยวี่หันกลับมาและเอ่ยอย่างหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำว่า“นี่เป็ยาพิษที่คล้ายกับโรคระบาดชนิดหนึ่งทว่ามันกลับน่ากลัวยิ่งกว่าโรคระบาดร้อยเท่า ดูจากความเร็วเช่นนี้แล้วไม่เกินวันมะรืนเช้าบรรดาเหล่าทหารทั้งหมดในค่ายเสินเช่อคงถูกกวาดล้างด้วยในโรคระบาดครานี้แน่”
คำพูดของเหนียนยวี่ ทำให้หัวใจของฉู่ชิงชะงักงันไปครู่หนึ่ง เหล่าทหารทั้งหมดอยู่ได้ไม่เกินวันมะรืนนี้งั้นหรือ?
ระดับความเร็วเช่นนี้ เร็วเสียยิ่งกว่าการแพร่กระจายของโรคระบาดอย่างแท้จริง
ครั้นเขาหันมองไปยังประตูพื้นที่กักกันทหารที่ติดเชื้อถูกหามเปลเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
"ในเมื่อมันคือยาพิษ เช่นนั้นมันควรเป็สิ่งที่คนสร้างขึ้น"ฉู่ชิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ เจือน้ำเสียงที่ดูอันตราย
คนสร้างขึ้น? ที่แท้ก็เป็ยาที่คนสร้างขึ้นมา!
เหนียนยวี่ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างสีหน้าแววตานางพลันมืดมนขึ้นมาเล็กน้อยที่นางสามารถรู้ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ว่ายาพิษประเภทนี้ลุกลามเหมือนโรคระบาดเพราะนางเคยเจอเื่เช่นนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว
ในาครานั้น ทหารฝั่งศัตรูใช้วิธีเยี่ยงนี้ทั้งยังใช้ยาชนิดเดียวกันกับยามนี้ มุ่งลอบโจมตีกวาดล้างทหารทั้งกองทัพของนาง
และตอนนี้...
ผู้ที่วางยาพิษนั่น ้าทำลายทหารทั้งค่ายเสินเช่อ!
ฉู่ชิงจ้องมองเหนียนยวี่อย่างไม่ละสายตา ดูไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่“เ้ามีวิธีหรือไม่?”
“มี ย่อมมีแน่นอน” เหนียนยวี่ตอบทันควันอย่างไม่ต้องคิด ชาติก่อน นางกับศิษย์พี่ช่วยกันศึกษาตำราทั้งคืน จึงได้คิดวิธีนี้ออกมาได้ชาตินี้นางเพียงแค่ต้องนำสูตรยานั้นมาใช้ ทว่าวัตถุดิบนั่น...
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว “หยุดราดน้ำยาฆ่าเชื้อก่อน น้ำยาฆ่าเชื้อพวกนี้จะยิ่งกระตุ้นสารพิษให้แพร่กระจายออกไปข้าจะจัดการเื่น้ำยาฆ่าเชื้อใหม่เอง เพียงแต่เื่ยาถอนพิษอาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง”
เหนียนยวี่เหลือบมองูเาข้างหลังค่าย นางชะงักและเอ่ยต่อว่า “ข้าคิดว่าตัวยาบางประเภทน่าจะหาได้จากูเาด้านหลัง ทว่ากล้วยไม้โลหิตหนึ่งในยารักษากลับหายากอย่างยิ่ง เกรงว่า...”
ภาพดอกไม้สีชาดประหนึ่งสีโลหิตผุดขึ้นในหัวนาง วันนั้นนางจำได้ว่าศิษย์พี่เก็บได้มาหนึ่งดอกมันอยู่ในมือเขา ทว่า...
"กล้วยไม้โลหิตที่แม่นางพูด หรือจะเป็ดอกนี้งั้นหรือ?"
เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น ไม่เพียงแต่เหนียนยวี่ ทว่าแม้แต่ฉู่ชิงยังหันมองตามทิศทางของเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกันพวกเขาเห็นเพียงบุรุษคนหนึ่งในชุดชาวบ้าน ปิดปากปิดจมูกด้วยผ้าผืนสีขาวทว่าเสียงนั้น เหนียนยวี่กลับจำมันได้อย่างชัดเจน
"ศิษย์พี่..." เหนียนยวี่พึมพำเสียงเบาบุรุษในชุดสีฟ้าครามที่อยู่ตรงข้ามมิได้ยินเสียงนางทว่าฉู่ชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับได้ยินเสียงนางอย่างคลุมเครือ
ศิษย์พี่หรือ? นางเรียกเขาว่าศิษย์พี่อย่างนั้นหรือ?
คิ้วบนใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้หน้ากากสีเงินของฉู่ชิงเลิกขึ้นเล็กน้อยเขามองตามบุรุษชุดสีฟ้าครามที่กำลังก้าวเดินมาทางพวกเขาทั้งสองแม้นบุรุษผู้นี้จะมีผ้าสีขาวปิดบังใบหน้า ทว่าเขากลับยังคงจำคนผู้นี้ได้ดี
บนถนนหนทางของเมืองชุ่นเทียนในวันนั้น บุรุษผู้นี้ทำให้เหนียนยวี่จ้องมองอย่างจดจ่อ!
"ผู้น้อยชื่อเซียวหราน ขอคารวะท่านแม่ทัพหลวง" เซียวหรานโค้งคำนับให้ฉู่ชิง
หน้ากากสีเงินใบนั้นได้บ่งบอกตัวตนของบุรุษตรงหน้าเรียบร้อยแล้วทว่าเขา...
“ดูเหมือนว่าวันนี้ ทหารรักษาประตูค่ายทหารเสินเช่อของข้าจะไร้ความรับผิดชอบเสียแล้ว” สีหน้าภายใต้หน้ากากของฉู่ชิงมืดมนในทันใด ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่ปล่อยให้เหนียนยวี่เข้ามาได้ทว่ายังมีบุรุษที่นามว่าเซียวหรานผู้นี้เข้ามาอีก!
ใบหน้าเหนียนยวี่ฉายอารมณ์เก้อกระดากทว่าเซียวหรานผู้นี้กลับยิ้มเยาะอย่างไม่เขินอาย “ท่านแม่ทัพอย่าแปลกใจเลยขอรับผู้น้อยติดตามหมอหลวงเข้ามา เพราะในค่ายเสินเช่อเกิดโรคระบาดแพร่กระจายทำให้นายทหารน้อยใหญ่ทุกคนล้วนเป็กลุ่มเสี่ยง ดังนั้นการละเลยการป้องกันที่เข้มงวดจึงเป็เื่ที่ให้อภัยได้ทว่าผู้น้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ผู้น้อยเองไม่ต่างจากแม่นางผู้นี้ที่มีวิชาหมออยู่บ้างหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือเคียงบ่าเคียงไหล่ใต้เท้าได้บ้างนะขอรับ”
แม่นางผู้นี้หรือ?
ฉู่ชิงประหลาดใจการเอ่ยเรียกเหนียนยวี่ของเซียวหรานนางเรียกเขาว่าศิษย์พี่ ทว่าเขากลับเรียกนางว่าแม่นาง ท่าทีนั้นราวกับมิเคยรู้จักเหนียนยวี่มาก่อน
ครั้นหวนนึกถึงวันนั้นในเมืองชุ่นเทียน บุรุษผู้นี้เดินผ่านเขาและเหนียนยวี่ไป มีทีท่าว่ามิได้รู้จักมักจี่กับเหนียนยวี่เยี่ยงนี้เช่นกัน
ฉู่ชิงเหลือบมองเหนียนยวี่ เพียงเพื่อมองอารมณ์ของนางทว่าความตื่นเต้นแรงกล้าที่ฉายชัดออกมาจากดวงตานางเมื่อครู่นี้กลับเลือนหายไปแล้วราวกับแสงที่ทอประกายในดวงตานางเมื่อครู่นี้มิเคยมีอยู่จริง
"เ้า้าอะไร?"ดวงตาฉู่ชิงสบมองเซียวหรานและเอ่ยออกมาทันทีว่า “ค่ายเสินเช่อในยามนี้เป็พื้นที่โรคระบาดคุณชายเซียวยอมแลกชีวิตตัวเองเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”
สีหน้าเซียวหรานอึ้งงันไปเล็กน้อย เหนียนยวี่เองก็ขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองเซียวหราน ในดวงตาแววใสคู่นั้นฉายแววยิ้มแย้มระลอกหนึ่ง“สร้างคุณงามความดีไงขอรับ หากสามารถช่วยทุกคนในค่ายเสินเช่อได้ถือว่าได้สร้างคุณงามความดีความชอบครั้งใหญ่!”
ความดีความชอบ?
ฉู่ชิงไม่เชื่อคำพูดของเขา
แน่นอนว่าเหนียนยวี่เองก็รู้ได้ทันทีเลยว่า การที่เขามาครั้งนี้มิใช่เพื่อ้าสร้างคุณงามความดีความชอบ
แม้กระทั่งนางยังคาดเดาได้ั้แ่แรกว่าศิษย์พี่ผู้หลงใหลคลั่งไคล้วิชาหมอของตนผู้นี้นั้น ยามที่ได้ยินเื่ “โรคระบาด”ที่กำลังระบาดในค่ายเสินเช่อ เขาต้องบุกเข้ามาโดยมิห่วงใยความปลอดภัยของตนเองเป็แน่มิใช่เพราะสิ่งอื่น ทว่าแค่เพราะเขามีเืร้อนไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
เหนียนยวี่หวนนึกถึงเื่ราวเมื่อชาติที่แล้วยามที่อยู่ในกองทัพนึกถึงความกล้าหาญของชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอผู้นี้ มุมปากแย้มยิ้มเล็กน้อย แม้แต่สายตายังแลดูอ่อนโยนทันใด
นางนึกไม่ถึงเลยว่า ชาตินี้พวกเขาจะมีโอกาสที่ได้มา “รู้จักมักจี่”กันอีก
ปฏิกิริยาท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของเหนียนยวี่อยู่ในสายตาของฉู่ชิงมีแสงวาบแปลกประหลาดพาดผ่านในใจเขา ทว่ามันเร็วเกินกว่าที่ผู้ใดจะจับอารมณ์ได้
"ยวี่เอ๋อร์ เ้าว่าเยี่ยงไร?" ฉู่ชิงกล่าวมิรู้เพราะเหตุใดที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดคับแน่นตรงหน้าอกอย่างแปลกประหลาด แม้แต่น้ำเสียงยังฟังดูปวดร้าว
เหนียนยวี่ครั้นรู้สึกตัว จึงสบสายตาฉู่ชิง นางเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อจึงเอ่ยกล่าวออกมาทันทีว่า“ท่านแม่ทัพ ทั้งเซียวหรานและเหนียนยวี่ได้ัักับผู้ป่วยมาแล้วมิต่างกันก่อนควบคุมโรคระบาดได้ ล้วนไม่เหมาะจะออกไปดอกกล้วยไม้โลหิตที่อยู่ในมือของเซียวหรานเป็ยาที่หายากยิ่งมิสู้ให้เขาทำยาร่วมกันกับเหนียนยวี่จะดีกว่า”
น้ำเสียงอ่อนโยนสงบนิ่งของเหนียนยวี่เอ่ยอย่างไม่รีบเร่ง ชาติก่อนนางร่วมมือกับศิษย์พี่ปรุงยาขึ้นมา มิคาดคิดเลยว่าในชาตินี้จะมีโอกาสได้ทำงามร่วมกันได้รักษาโรคระบาดครานี้
ฉู่ชิงจ้องมองเหนียนยวี่อย่างไม่ละสายตา เขานิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดั์ตานิลขลับ บรรยากาศอัดแน่นไหลเวียนทั่วบรรยากาศบริเวณนั้นอย่างแปลกประหลาด