โม่เยี่ยพลิ้วกายข้ามประตูเข้าไปด้านใน หลังจากนั้นก็ผลักบานประตูเปิดออกมา โม่เสวี่ยถงพาโม่หลันเข้าไปทางประตูที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง
เมื่อยืนมองจากหน้าประตูเข้าไป พงหญ้ารกแผ่คลุมทางเดินลาดหินกรวด มองก็รู้ว่าถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว โม่เยี่ยใช้เท้ากวาดเถาวัลย์และวัชพืชออกไปให้พ้นทาง โม่เสวี่ยถงจึงเดินตามทางเข้าไปด้านใน ความรู้สึกจุกพูดไม่ออกคับแน่นอยู่ในอก
ทางเข้าสู่เคหาสน์มีสองชั้น จากด้านนอกเข้ามาคือเรือนหลัก บานประตูผุพังลั่นเอี๊ยดยามผลักเข้ามา บรรยากาศน่าสะพรึงชวนขนหัวลุก
“คุณหนู บ่าวจะเข้าไปทำความสะอาดสักหน่อย คุณหนูค่อยเข้าไปทีหลังนะเ้าคะ” โม่หลันเข้ามายืนขวางด้านหน้า มองจากสายตาของคุณหนูก็ทราบได้ว่าสถานที่แห่งนี้คงมีความสำคัญไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่คิดขัดขวาง แต่รู้สึกไม่วางใจจริงๆ
“ไม่เป็ไร ข้าแค่ดูเฉยๆ ท่านแม่เคยอยู่ที่นี่...” โม่เสวี่ยถงมองผ่านม่านกั้นที่ขาดเป็รูโหว่ สายตาทอดไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกเริ่มผุดออกมา นางเอื้อมมือผลักโม่หลันออก แล้วเดินเข้าไปในห้องที่ฉาบไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง
บนโต๊ะมีหนังสือวางระเกะระกะหลายเล่ม หันไปเห็นฉากกั้นบังลม อักษรภาพที่อยู่้ายังคงชัดเจน ตัวอักษรขนาดใหญ่ทรงพลัง เมื่ออยู่คู่กับภาพวิหคและบุปผาที่เป็งานเย็บปักของสตรี ดูอย่างไรก็ไม่ขัดตา เมื่อเดินอ้อมผ่านเข้าไปด้านใน มีตั่งขนาดไม่ใหญ่มากวางอยู่ตัวหนึ่ง พิงอยู่ข้างหน้าต่างที่ยังพอสะอาดอยู่บ้าง
โม่เสวี่ยถงเดินไปถึงหน้าตั่ง มองผ่านหน้าต่างบานไม่ใหญ่นักออกไปด้านนอก เห็นกำแพงอิฐแดงตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ ทั้งยังเห็นบานหน้าต่างที่อยู่มุมบนของผนัง
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่มองเห็นได้อีก
“คุณหนู พวกเราควรกลับกันได้แล้วกระมัง ไม่แน่ว่าเหล่าไท่จวินอาจจะเรียกหาคุณหนูอีกนะเ้าคะ” โม่หลันพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจ มีความรู้สึกว่าที่นี่แปลกประหลาดยิ่งนัก
“ไม่เป็ไรหรอกน่า ข้าดูอีกประเดี๋ยวก็จะไปแล้ว” โม่เสวี่ยถงตอบอย่างนุ่มนวล แล้วหมุนตัวเดินไปอีกด้านหนึ่ง โม่เยี่ยที่ติดตามอยู่ข้างกายชั่วพริบตาก็ไปถึงหน้าประตูหน้าต่าง
“คุณหนู ผู้ที่อยู่ตรงหน้าต่างนั่นคือโม่อวี้เ้าค่ะ” โม่เยี่ยกล่าวขึ้นทันทีที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
“โม่อวี้? ที่ที่มองเห็นได้จากตรงนี้ก็คือเรือนของพวกเราเองหรอกหรือ” โม่เสวี่ยถงชะงักเท้า ราวกับมีบางสิ่งพาดผ่านเข้ามาในหัวใจ หันศีรษะกลับไปมองอย่างตกตะลึง
โม่เยี่ยเพ่งสายตามองอย่างละเอียด แล้วกล่าวยืนยันอย่างมั่นใจ “ใช่เ้าค่ะ บ่าวเพิ่งเห็นโม่อวี้เดินผ่านหน้าต่างบานนั้น”
โม่หลันก็หมุนตัวหันกลับมา มองไปนอกหน้าต่าง สายตาของนางมิได้เฉียบคมเหมือนโม่เยี่ย แต่นางเติบโตมาพร้อมกับโม่อวี้ เพียงเห็นเงาร่างก็รู้ได้ว่านั่นคือโม่อวี้จริงๆ จึงผงกศีรษะคล้อยตาม “เป็โม่อวี้จริงๆ เ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าด้านหลังเรือนของพวกเราจะมีสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว เมื่อก่อนยังคิดอยู่ว่าด้านหลังเรือนของฮูหยินไม่เห็นมีอะไรเลย”
คำพูดประโยคนี้เหมือนเตือนความจำให้โม่เสวี่ยถง เรือนที่นางอยู่ยามนี้คือเรือนของลั่วเสียผู้เป็มารดา ยามรู้สึกเบื่อก็เคยมองออกมานอกหน้าต่าง ก็ไม่เคยเห็นเรือนหลังนี้มาก่อน สถานที่ไกลสุดที่มองเห็นได้ก็คือผนังกำแพงสูงของเรือนของเหล่าไท่จวิน
ไฉนจึงมีเรือนเร้นลับมาอยู่ตรงนี้ได้?
โม่เสวียถงพกความสงสัยไว้เต็มท้อง ตรวจสอบรอบๆ เคหาสน์อย่างละเอียด แต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆ
ทั้งสามเดินวนอยู่ภายในรอบหนึ่งก็ไม่พบสิ่งใด หลังจากนั้นจึงกลับไปที่เรือนของตนเอง
ทันทีที่กลับมาถึง เหล่าไท่จวินก็ส่งคนมาเชิญโม่เสวี่ยถงให้ไปพบ
โม่เสวี่ยถงจัดแต่งอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนออกไปหาเหล่าไท่จวิน เมื่อเข้าไปจึงพบว่าที่แท้ผู้าุโหญิงผู้มีหน้าที่สอนธรรมเนียมมารยาทที่เหล่าไท่จวินจัดหาให้มาถึงแล้ว มามาทั้งสองเป็นางข้าหลวงมาจากในวัง ได้ยินมาว่าในอดีตมีสถานะและบทบาทสำคัญไม่น้อย แม้จะเป็ตระกูลสูงก็ใช่ว่าจะเชิญมาได้ง่าย สวี่เหล่าไท่จวินจึงให้ลั่วิจูและโม่เสวี่ยถงมากราบคารวะก่อน
สตรีรูปร่างผอมบางคือหันมามาผู้เคร่งครัด เป็ผู้ชี้แนะอบรมให้ลั่วิจู ส่วนผู้ที่รูปร่างท้วมดูใจดีคือหลี่มามา เป็ผู้ดูแลโม่เสวี่ยถง หลังจากพบปะคารวะเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ลั่วิจูก็พาหันมามาออกไป ส่วนโม่เสวี่ยถงก็พาหลี่มามากลับไปที่เรือนของตน
ต่อไปก็ถึง่เวลาอบรมเป็เวลาหนึ่งเดือน หลักๆ คือการสอนเกี่ยวกับจรรยามารยาททุกรูปแบบและกฎระเบียบในวังหลวง ฝู่กั๋วกงเป็ตระกูลสูงศักดิ์ ย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะเป็เพียงธิดาของขุนนางเล็กๆ ในเมืองหลวง แต่ถึงกระนั้นในฐานะหลานนอกของฝู่กั๋วกงก็ต้องมีสง่าราศี ไม่อาจบกพร่องได้
เมื่อครู่ในห้องโถง สวี่เหล่าไท่จวินเห็นกิริยาเงอะงะขลาดกลัวของโม่เสวี่ยถงก็รู้สึกเสียใจยิ่ง หากลั่วเสียยังอยู่จะละเลยบุตรสาวจนกลายเป็เด็กขี้กลัวแบบนี้ไปได้อย่างไร ไม่มีสง่าราศีเยี่ยงธิดาภรรยาเอกของสกุลใหญ่เลยแม้แต่น้อย ขนาดสาวใช้ธรรมดาก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ คิดแล้วก็ยิ่งไม่พอใจโม่ฮว่าเหวินขึ้นเรื่อยๆ บุตรสาวภรรยาเอกแท้ๆ กลับทิ้งไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิง แม้แต่การอบรมเลี้ยงดูก็ยังอ่อนด้อยถึงเพียงนี้
“เหล่าไท่จวินอย่าโมโหไปเลยเ้าค่ะ แม้ว่าคุณหนูจะดูขลาดกลัว แต่เป็คนมีความคิด เพียงแค่หย่อนในเื่ธรรมเนียมมารยาทไปหน่อย หลักๆ ก็เพราะอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงมานาน ไม่มีใครอบรมสั่งสอนนางอย่างจริงจังเท่านั้น” เฉินมามาที่เดินเข้ามาส่งน้ำชาเห็นสวี่เหล่าไท่จวินมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ก็คลี่ยิ้มและพูดปลอบใจ
“จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร คุณหนูสกุลใหญ่ดีๆ คนหนึ่งถูกเลี้ยงจนหัวใจหดเหลือเพียงเท่านี้ แม้แต่สาวใช้คนหนึ่งยังใจกล้ามากกว่านาง ความภูมิฐานสง่างามไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด บิดาของนางไม่มีความพยายามจะดูแลรับผิดชอบเลยหรืออย่างไร”
สวี่เหล่าไท่จวินรับถ้วยน้ำชามาดื่มคำหนึ่ง หัวคิ้วมุ่นขมวดถอนหายใจ เด็กคนนี้ไม่มีปฏิภาณไหวพริบแม้แต่น้อย ดูทึมทื่อยิ่งกว่าปรกติ แค่ดูก็รู้แล้วว่าพามาออกหน้าไม่ได้
“เหล่าไท่จวินอย่าร้อนใจไปเลย ในความคิดของบ่าว คุณหนูน่าจะจงใจทำเช่นนั้นเองกระมัง” เฉินมามาเป็คนพาโม่เสวี่ยถงเข้าเมืองหลวง จับตาสังเกตคุณหนูที่ใครๆ ก็ร่ำลือว่าเป็คนขี้ขลาดมาตลอดทาง ไม่เพียงแต่รู้สึกว่านางเป็คนผึ่งผายสง่างาม แต่ยังมีวิธีการรับมือคนมากมาย หญิงรับใช้าุโประจำกายของฟางอี๋เหนียงแม้ว่าครึ่งหนึ่งจะรู้สึกเกรงใจที่ตนเองอยู่ด้วย แต่ก็มีความยำเกรงต่อคุณหนูผู้นี้ไม่น้อย ดังนั้นตลอดทางที่เข้าเมืองหลวงจึงนับได้ว่าราบรื่นและเงียบสงบดี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมือง ยิ่งทำให้เฉินมามารู้สึกเลื่อมใสในความสามารถและสติปัญญาของโม่เสวี่ยถงทั้งกายและใจ ทั้งที่ไม่มีใครอบรมสั่งสอน แต่พฤติกรรมของคุณหนูที่ห้องโถงวันนี้ ดูไม่เหมือนตัวนางในยามปรกติแม้แต่น้อย จะใช่พบเห็นผู้สูงศักดิ์ที่มาจากวังหลวงจึงตื่นเต้นจนลนลานสูญเสียความสง่างามไปจริงๆ หรือ วันนั้นที่หน้าประตูเมือง ิกั๋วกงซื่อจื่อและคุณหนูคนอื่นๆ ก็อยู่มากมาย ไม่เห็นคุณหนูจะหวาดกลัวอะไรเลย
“ถงเอ๋อร์จงใจหรือ” สวี่เหล่าไท่จวินมุ่นหัวคิ้ว เงยหน้าถามอย่างฉงนฉงาย
“ลองคิดดูสิเ้าคะ ปรกติคุณหนูอยู่ต่อหน้าเหล่าไท่จวินก็เป็เด็กฉลาดมีไหวพริบ แค่พบคนที่มาจากวังหลวงจะเปลี่ยนเป็โง่งมเช่นนั้นได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าคุณหนูจงใจ คง้าให้กงกงผู้นั้นคิดว่านางเป็คนทื่อมะลื่อเหมือนท่อนไม้กระมัง”
แม้ว่าเฉินมามาจะไม่แน่ใจว่าโม่เสวี่ยถงมีเจตนาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าไท่จวินกลัดกลุ้มเยี่ยงนั้น ก็ย่อมต้องกล่าวให้ดูเป็จริงเป็จังขึ้นมา
แต่ยามนี้ตัวนางเองก็เริ่มเชื่อว่าเป็เช่นนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว จึงผลิยิ้มละไม ประคองเหล่าไท่จวินไปนั่งที่ตั่งนุ่มด้านข้าง หาหมอนอิงมาวางหนุนสองสามใบ จากนั้นก็ประคองเหล่าไท่จวินให้เอนกายพิงหมอนเ่าั้ สุขภาพของนายหญิงผู้เฒ่าไม่ดีนัก นั่งนานเกินไปก็ไม่ได้ ปรกติก็ต้องนอนพักผ่อนสักครู่
“ก็จริง ปรกติถงเอ๋อร์หัวไวเฉลียวฉลาด ผู้มาจากวังหลวงครานี้เป้าหมายไม่ชัดเจน ไม่แน่ว่านางอาจตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ” สวี่เหล่าไท่จวินถูกปะเหลาะเอาใจจนยิ้มได้ ตอนที่หลิวกงกงยังอยู่ เห็นถงเอ๋อร์ทำตัวทื่อมะลื่อ มองอย่างไรก็รู้สึกประหลาด ยามนี้เมื่อได้ยินเฉินมามาวิเคราะห์เช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงอดสบถออกมาด้วยความรู้สึกขบขันไม่ได้ “นังหนูเ้าเล่ห์ ช่างขวัญกล้านัก แม้กระทั่งยายของตัวเองยังกล้าหลอกลวงได้”
“เหล่าไท่จวินก็อย่าต่อว่าคุณหนูเลย ดุด่าว่าไปก็รังแต่จะปวดใจตนเองเปล่าๆ ในความคิดของบ่าว คุณหนูมีความกตัญญูกตเวที ปฏิภาณไหวพริบเป็เลิศ แม้แต่คุณหนูลั่วเสียในกาลก่อนก็ยังเทียบไม่ได้เลยนะเ้าคะ” เฉินมามาเห็นลั่วเสียมาั้แ่เด็กจนเติบโต ยามนี้เมื่อเอ่ยถึงก็อดรู้สึกแสบจมูกไม่ได้ รีบหันหลบไปเช็ดน้ำตา
พอหันกลับมาก็ตบหน้าบ่นว่าตัวเองเบาๆ “ดูปากนี้สิ ช่างพูดจากเลอะเทอะ คุณหนูสามเฉลียวฉลาดเช่นนี้ คุณหนูลั่วเสียย่อมดีใจแน่นอน อีกอย่างมีเหล่าไท่จวินคอยคุ้มครอง แม้ว่าคุณหนูจะไม่อยู่แล้ว ก็ย่อมจะวางใจ”
สวี่เหล่าไท่จวินเห็นปฏิกิริยาของเฉินมามาเยี่ยงนั้น ก็รู้ว่านางกลัวว่าตนเองจะโศกเศร้าเสียใจเมื่อคิดถึงบุตรสาวขึ้นมาอีก ยามนี้จึงเพียงแค่ยิ้มขื่นๆ แล้วต่อว่าไปหนึ่งประโยค “เ้าก็เป็เสียอย่างนี้” หลังจากนั้นก็สงวนวาจาไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ชั่วขณะนั้นภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายหม่นเศร้าอย่างน่าประหลาด
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าไท่จวินก็วางสีหน้าเคร่งขรึม พยักพเยิดบอกให้เฉินมามาไปปิดประตู แล้วกล่าวว่า “ถงเอ๋อร์คงสังเกตอะไรบางอย่างได้ แต่ไม่รู้ว่าจู่ๆ ฮองเฮาทรงสนพระทัยในตัวนางได้อย่างไร”
เมื่อครู่คนที่ส่งไปสืบข่าวกลับมารายงานว่า วันนี้ฮองเฮาทรงแบ่งคนไปประทานรางวัลเป็สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปหาคุณหนูบุตรภรรยาเอกของตระกูลใหญ่เช่นคุณหนูของตน อีกกลุ่มหนึ่งกลับไปหาบุตรสาวของตระกูลขุนนางขั้นห้า ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป สถานะเทียบเท่ากับถงเอ๋อร์ ในจำนวนนี้ยังมีบุตรสาวอนุภรรยาอีกสองคน ประกอบกับใน่นี้มีข่าวลือแพร่ออกมาจากในวังหลวง แล้วจะไม่ให้เหล่าไท่จวินกังวลใจได้อย่างไร
“คุณหนูอายุเพียงสิบสามปี ยังเป็เพียงดรุณีน้อย แม้ว่าจะเป็ที่ต้องพระทัย ก็คงไม่...” เฉินมามาเข้าใจความหมายของเหล่าไท่จวินเป็อย่างดี
“อะไรกัน ถงเอ๋อร์ยังไม่มีระดูอีกหรือ” เหล่าไท่จวินถามอย่างประหลาดใจ
“ระหว่างที่เดินทางบ่าวกับแม่นมของคุณหนูอยู่ใกล้ชิดกัน นางรู้ว่าเหล่าไท่จวินรักและเอ็นดูคุณหนูอย่างยิ่ง จึงแอบบอกกับบ่าวเป็การส่วนตัวว่าสุขภาพของคุณหนูไม่ค่อยดี กระทบกระเทือนถึงภายใน ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยัง...” เฉินมามารู้สึกขมฝาดในหัวใจ เื่นี้นางหาโอกาสบอกสวี่เหล่าไท่จวินมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสม
คุณหนูในตระกูลใหญ่ได้อยู่ดีกินดี ปรกติอายุสิบสามก็เป็ผู้ใหญ่แล้ว
“มิน่าเล่าถงเอ๋อร์ถึงผ่ายผอมขนาดนั้น เ้าคนสกุลโม่สมควรตายจริงๆ เลี้ยงเด็กดีๆ คนหนึ่งให้กลายเป็แบบนี้ไปได้อย่างไร ทั้งยังให้ท้ายบุตรสาวที่เกิดแต่อนุภรรยาจนเหิมเกริมเพียงนั้น ทำให้ชื่อเสียงของถงเอ๋อร์พลอยมัวหมองไปด้วย ตอนนั้นข้าตาบอดยกลั่วเสียแต่งให้คนอย่างเขาได้อย่างไรกันนะ” เหล่าไท่จวินอารมณ์ขึ้น กระทุ้งไม้เฒ่าที่ถืออยู่ในมือลงที่พื้นอย่างแรง พลางตำหนิโม่ฮว่าเหวิน
“เหล่าไท่จวินอย่าโมโหไปเลยเ้าค่ะ ยังดีที่ตอนนี้คุณหนูเข้ามาเมืองหลวงแล้ว นางเพิ่งจะอายุสิบสามปีเต็ม เด็กสาวทั่วไปที่อายุสิบสามแล้วแต่ยังไม่โตเป็ผู้ใหญ่ก็มีถมเถ ส่วนใหญ่ในที่สุดก็แข็งแรงสมบูรณ์แต่งงานคลอดลูกได้ปรกติ ตอนนี้ช่วยกันบำรุงก็ยังไม่สายนะเ้าคะ” เฉินมามากล่าวปลอบใจ แล้วฉวยไม้เท้าจากมือของเหล่าไท่จวินมาวางไว้ด้านข้าง
“ไป ไปบอกโรงครัวให้พิถีพิถันกับอาหารการกินของถงเอ๋อร์ให้มาก อะไรที่นางชอบ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหามาให้ได้ ไม่ต้องกลัววุ่นวาย จะสิ้นเปลืองเงินทองเท่าไรก็ช่าง สุขภาพของนางเดิมทีก็ไม่ดีอยู่แล้ว ต้องบำรุงให้ดีจึงจะไม่เป็อย่างลั่วเสีย ยังเป็สาวรุ่นอยู่แท้ๆ ก็...” เหล่าไท่จวินพูดยังไม่จบน้ำเสียงก็สั่นเครือปนสะอื้น
“เหล่าไท่จวินโปรดวางใจ วันนี้บ่าวจะไปควบคุมดูแลอย่างดี และจะขอให้คุณชายรองช่วยหายาดีๆ มาบำรุงร่างกายคุณหนูเ้าค่ะ” เฉินมามากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยังดีที่มีเ้า มิเช่นนั้นแม้แต่ข้าเองก็อาจไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ เฮ้อ... ต้องลำบากเ้ามาตลอดหลายปี” เฉินมามาเป็สาวใช้มาพร้อมกับเหล่าไท่จวินตอนแต่งงาน ความรู้สึกย่อมไม่เห็นเป็ผู้อื่น เมื่อได้ยินว่านางตระเตรียมทุกอย่างลงตัวเหมาะสมก็ถอนหายใจเบาๆ
“คุณหนูกล่าวกระไรเช่นนั้นเ้าคะ บ่าวรับยังมีวาสนารับใช้คุณหนูอีกหลายรุ่นทีเดียว” เมื่อคิดถึงเื่ราวในกาลก่อน เฉินมามาก็อดใช้คำเรียกเหล่าไท่จวินเช่นเมื่อก่อนนี้ไม่ได้ น้ำตาพลันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภายในห้องเงียบสนิทอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากเหล่าไท่จวินระงับความเศร้าโศกได้แล้ว ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “เมื่อฮองเฮาทรงมีพระทัยเช่นนี้ ย่อมไม่ปล่อยถงเอ๋อร์ไปง่ายๆ แน่นอน ดีที่พี่สาวบุตรอนุภรรยาของนางก่อเื่พรรค์นี้ขึ้น ทั้งยังเป็เื่ฉาวโฉ่รู้กันไปทั่ว ชื่อเสียงของถงเอ๋อร์จึงหม่นหมองลงไปเล็กน้อย ด้วยฐานะของนาง หากถูกส่งเข้าวังจริงๆ ก็จะกลายเป็เพียงพระสนมชั้นเหม่ยเหริน หรือเจาอี๋ที่ไร้อำนาจบารมี หากเป็เช่นนี้ยอมให้ชื่อเสียงไม่ดีจะดีกว่า”
“ความหมายของเหล่าไท่จวินก็คือ...” เฉินมามาเช็ดน้ำตา คาดเดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่แล้ว ไปเรียกนายท่านรองมา บอกว่าข้ามีธุระจะคุยด้วย” เหล่าไท่จวินสั่งเสียงเข้ม ฮองเฮาเป็ใหญ่ผู้เดียวในวังหลัง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจวนฝู่กั๋วกง แต่หากพระนางทรงคิดจะใช้ถงเอ๋อร์ไปเป็หมากจริงๆ จวนฝู่กั๋วกงของนางก็ใช่ว่าจะล่วงเกินกันได้ง่ายๆ เช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้