เล่มที่ 7 บทที่ 182 นักพรตเฮยซาน
แค่ดูที่หอว่านเย่วก็รู้แล้ว…
พอขึ้นมาที่ชั้นสาม หลินเฟยจึงรู้ว่าที่นี่ต่างหาก ที่เป็แหล่งรวมขุมทรัพย์ที่แท้จริงของสามสำนักใหญ่ งานประมูลที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองก็เป็เพียงฉากบังหน้าเท่านั้น แม้จะดูครึกครื้น แต่กลับมีของล้ำค่าแค่ชิ้นถึงสองชิ้นเท่านั้น…
แต่ว่าที่ชั้นสามแห่งนี้…
เพียงมองแวบเดียว หลินเฟยก็รู้ทันทีว่าเขามาถูกที่แล้ว ต่อให้หลินเฟยมีความรู้กว้างขวางก็ตาม ทว่าหลังจากเห็นใบรายการสิ่งของประมูลเต็มหนึ่งหน้ากระดาษแล้ว หลินเฟยก็อดตะลึงไม่ได้เช่นกัน ‘สมกับเป็หอว่านเย่วจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย แค่สิ่งของในใบรายการประมูล ก็เกรงว่าจะเป็หนึ่งในสามสมบัติที่ทุกฝูงเรือตามล่าเลยก็ว่าได้ หอว่านเย่วจึงมีอำนาจและความมั่นคงที่ไม่ธรรมดานั่นเอง…’
หากไม่มีอำนาจและความมั่นคงเช่นนี้แล้ว มีหรือที่เหล่าผู้บำเพ็ญจะไว้ใจ นำของที่แทบจะแลกด้วยชีวิตมาประมูลที่นี่?
“มีชิ้นส่วนประตูมิติอยู่จริงๆ…” เพียงแค่กวาดตาดูในใบรายการ หลินเฟยก็เห็นชิ้นส่วนประตูมิติซึ่งจะถูกประมูลเป็ชิ้นสุดท้ายก่อนปิดงาน แต่ก็ถือว่าเป็เื่ปกติ ที่เอาของสำคัญไปไว้รายการสุดท้าย เพราะสิทธิ์การเข้าออกพิภพซ่างจงนั้น นับว่าล้ำค่ามาก สำหรับสำนักอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในสิบสำนักใหญ่ หาก้าสิทธิ์นั้น ก็จะต้องส่งส่วยจำนวนมากทุกปี เช่น สำนักหลิงติ่งที่เคยพบกันมาก่อนหน้านี้
หากสำนักหลิงติ่งได้ชิ้นส่วนมิตินี้มาครอง ก็จะสามารถเข้าออกพิภพซ่างจงได้ตามใจชอบ เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็ต้องแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่งให้สำนักเชียนซานทุกปีอีกต่อไป
“ทำไมมีแค่ชิ้นเดียวล่ะ?” ทว่าหลังจากอ่านใบรายการอย่างละเอียดจบ หลินเฟยก็ขมวดคิ้วแน่นทันที เพราะหวังจิ่งจากสำนักเชียนซานบอกว่า งานประมูลครั้งนี้จะมีชิ้นส่วนมิติอย่างน้อยสองชิ้นนี่นา หากมีสองชิ้นก็สามารถหลอมรวมเป็หนึ่งได้ เช่นนั้นภายในร้อยปีนี้ ก็จะเข้าออกพิภพซ่างจงได้สบาย…
แต่ตอนนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น…
‘ช่างน่าปวดหัวเสียจริง…’
‘ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ส่วนอีกชิ้นที่เหลือ ค่อยหาวิธีใหม่เอาแล้วกัน ต่อให้ต้องปล้นชิงก็ตาม ยังไงก็ต้องหามาให้ได้…’
หลังจากตัดสินใจได้ หลินเฟยก็วางใบรายการลง ก่อนจะเริ่มให้ความสนใจกับบรรยากาศรอบๆ…
ครั้งนี้หลินเฟยไม่ได้กวาดซื้อทุกอย่างเหมือนตอนอยู่ที่ชั้นหนึ่งและชั้นสอง เพราะที่ทำเช่นนั้น ก็เพื่อจะได้ขึ้นมาที่ชั้นสามเท่านั้น ในเมื่อได้ขึ้นมาแล้ว จึงไม่จำเป็ต้องทำเช่นนั้นอีก หากเพิ่มราคาแบบเท่าตัวอีกละก็ แบบนั้นคงโดนด่าเปิงเป็แน่…
แน่นอนว่าสำหรับของที่หมายตาเอาไว้เลย หลินเฟยย่อมไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปได้แน่นอน…
“เชื่อว่าทุกท่านก็น่าจะรู้ว่าครั้งนี้เรือรบเฟยเซียนของสำนักกระบี่หลีซาน ได้ไล่สังหารปีศาจหมัวซานในทะเลอูไห่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ตลอดหลายพันปีมานี้ ปีศาจหมัวซานออกอาละวาดอย่างหนัก มันไล่ล่มเรือและกลืนกินเหล่าผู้บำเพ็ญไปนับไม่ถ้วน และในวันนี้ข้าขอเป็ตัวแทนของเหล่าผู้เสียชีวิต เพื่อขอบคุณสำนักกระบี่หลีซาน” พอพูดถึงตรงนี้จ้าวซื่อไห่ก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“น่าเสียดายที่ลูกแก้วปีศาจของปีศาจหมัวซานถูกส่งกลับเป่ยจิ้งอย่างลับๆไปก่อนแล้ว จึงไม่มีโอกาสได้นำมาเชยชม ทว่าหนึ่งในหนามแหลมทั้งเจ็ดของมัน บัดนี้อยู่ในมือของหอว่านเย่วแห่งนี้แล้ว…”
เมื่อสิ้นเสียงประกาศ บรรยากาศภายในชั้นสามก็แปรเปลี่ยนไปทันที สายตามากมายจดจ้องไปที่กล่องด้านข้างจ้าวซื่อไห่เป็ตาเดียว เพราะทุกคนรู้ดีว่าของที่บรรจุในกล่องนี้ คือหนึ่งในเจ็ดหนามแหลมของปีศาจหมัวซ่านซึ่งได้ชื่อว่าชั่วร้ายที่สุด ั้แ่ครั้งแรกที่ปีศาจหมัวซานปรากฏกายออกมาเมื่อหลายพันปีก่อน เหล่าเรือที่แล่นออกไปต่างก็เกิดประสบภัยทางทะเลเข้า ส่วนผู้บำเพ็ญก็ล้มตายไปเป็จำนวนมากภายใต้หนามแหลมนี้
หลายพันปีที่ผ่านมา ถือว่าซึมซับไอิญญาฟ้าดินและดื่มด่ำโลหิตของเหล่าผู้บำเพ็ญไปไม่น้อยเลย จึงทำให้มันมีพลังที่แสนร้ายกาจ เพียงถูกหนามแหลมนี้พุ่งชนครั้งเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็เรือรบเซินหลัวหรือเรือรบเฟยเซียนที่มีขนาดใหญ่ ก็มิวายทะลุเสียหายได้เลยด้วยซ้ำ...
จึงนับว่าเป็ของที่ล้ำค่าเป็อย่างมาก แล้วมีหรือที่เหล่าผู้บำเพ็ญจะไม่ปรารถนาของสิ่งนี้
และก็เป็อย่างที่คิดไว้ หลังจากจ้าวซื่อไห่ประกาศราคาเริ่มต้นแล้ว ผู้คนก็แห่เสนอราคาประมูลขึ้นมาทันที
“สี่แสนหินิญญา”
“สี่แสนห้า”
“ห้าแสนห้า”
“หกแสน”
“เจ็ดแสน”
เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ราคาก็ถูกดันสูงขึ้นถึงเจ็ดแสนหินิญญาเลยทีเดียว และดูเหมือนผู้แข่งราคาแต่ละคน จะไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้เลยสักนิด ขณะที่หลินเฟยพยายามจะยกป้ายราคาขึ้นมาบ้าง ราคาก็พุ่งสูงถึงหนึ่งล้านหินิญญาเสียแล้ว
หลินเฟยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา
“หนึ่งล้านห้าแสน”
เมื่อสิ้นเสียงประมูล ทุกคนในที่นี้แทบจะหันมามองเป็ตาเดียว โดยต่างก็อยากรู้ว่าใครกันนะ มันช่างกระเป๋าหนักถึงขนาดนี้ ถึงกับเพิ่มราคาครั้งละห้าแสนเลยทีเดียว...
“ศิษย์พี่หลินเบอร์เจ็ดสิบแปดให้ราคาหนึ่งล้านห้าแสนหินิญญา!” มีเพียงจ้าวซื่อไห่ซึ่งอยู่บนเวทีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงอาการประหลาดใจออกมา ขณะที่กำลังเอามือลูบจมูก ในใจก็เอาแต่คิดว่าหากคนอื่นๆรู้ว่าเ้าหนุ่มที่อายุประมาณยี่สิบกว่าปีคนนี้ ที่จริงแล้วเป็เ้าของร้านหลอมอาวุธฟานซื่อตัวจริงละก็ คงจะไม่แตกตื่นกันเช่นนี้ ร้านหลอมอาวุธฟานซื่อ เป็ถึงตัวการที่ทำให้กิจการหลอมอาวุธทั่วเมืองวั่งไห่ซบเซาลง เพียงเวลาสั้นๆแค่เดือนเดียวเท่านั้น ก็สูบเอาหินิญญาที่เหล่าผู้บำเพ็ญสะสมมาทั้งชีวิตไปจนหมด ดังนั้นสำหรับหลินเฟยแล้ว หนึ่งล้านห้าแสนหินิญญาจึงไม่ได้เยอะเท่าไร...
“หนึ่งล้านหกแสนหินิญญา”
ขณะที่จ้าวซื่อไห่กำลังจมอยู่ในภวังค์ จู่ๆก็มีเสียงใครบางคนจากมุมอับดังขึ้นมา หลังจากหันไปมอง จ้าวซื่อไห่ก็ถึงกับใจกระตุกทันที
‘บ้าเอ๊ย เป็เขาคนนี้งั้นหรือ!’
เ้าของเสียงที่เสนอราคาหนึ่งล้านหกแสนหินิญญาก็คือนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าปี มีลักษณะเป็นักพรตชั้นสูง ท่าทางดูสันโดษเป็อย่างมาก เพียงเห็นภายนอกก็ทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้ดูเป็มิตรจริงๆ แต่จ้าวซื่อไห่รู้ดีว่านักพรตผู้นี้ ไม่ได้ประเสริฐอย่างที่เห็น เพราะนี่คือนักพรตเฮยซานที่มีชื่อเสียง และเป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันตัวจริงเสียจริง...
ทั่วทั้งทะเลอูไห่ต่างก็รู้ว่านักพรตเฮยซานมาจากสำนักชิงอวิ๋น แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นักพรตเฮยซานถึงได้ทรยศสำนักและหลบหนีมาที่พิภพซ่างจงแห่งนี้ จากนั้นเขาก็แอบอยู่ที่นี่เป็เวลานับร้อยปี และในตอนนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าร้อยปีผ่านไป เมื่อนักพรตเฮยซานปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็บรรลุขั้นจิงตันไปเสียแล้ว...
จากนั้นนักพรตเฮยซานก็กลับไปยังเป่ยจิ้งเพื่อสังหารผู้าุโทั้งสี่ของสำนักชิงอวิ๋น ทว่าตอนที่เ้าสำนักกำลังจะลงมือ นักพรตเฮยซานก็หนีกลับมาที่พิภพซ่างจงอีกครั้ง แต่เพราะข้อบกพร่องของพิภพซ่างจง ซึ่งผู้บำเพ็ญที่มีระดับสูงกว่าขั้นจิงตันจะไม่สามารถเข้ามาได้นั้น ทำให้เ้าสำนักชิงอวิ๋นไม่สามารถบุกเข้ามาได้ ที่แห่งนี้จึงกลายเป็หลุมหลบภัยของนักพรตเฮยซานเรื่อยมา...
และเช่นนี้เองก็ทำให้ชื่อเสียงของนักพรตเฮยซานโด่งดังขึ้นเป็เท่าตัว..
เดิมทียังมีหลายคนคิดแข่งราคาต่อไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็นักพรตเฮยซาน ทุกคนก็หยุดชะงักลง เพราะไม่มีใครริอ่านอยากมีเื่กับผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันคนนี้...
--------------------------------------------------------------------------------------------------