เมื่อจิตปีศาจถอยห่างออกไป ัทั้งหลายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองมากขึ้นเช่นกัน พวกมันร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่งและน่ากลัวมากขึ้น
และัร้ายก็ได้รับอิทธิพลจากพลังของเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ของหลัวเลี่ยด้วยเช่นกัน
เมื่อหลัวเลี่ยใช้เคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็เกิดความสมดุลกัน ทั้งสองสิ่งส่องแสงสว่างไสวบนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง และมันถูกออกแบบมาเพื่อกำจัดจิตปีศาจ
แม้ว่าระดับพลังวรยุทธ์ของหลัวเลี่ยจะไม่สูงจนทำให้พลังที่แสดงออกมามีขีดจำกัด และทำให้ชำระล้างจิตปีศาจที่อยู่บนร่างของัทั้งหลายได้อย่างจำกัด แต่มันก็เปรียบได้กับการใช้มีดทื่อเฉือนเนื้อ ทำให้ัเ่าั้ทนไม่ได้และเ็ปทุรนทุราย
ยิ่งนานมากเท่าไร ัเ่าั้ก็ยิ่งเสียสติมากขึ้นเท่านั้น
จิตปีศาจเ่าั้ดูเหมือนจะมีความคิด มันกลัวว่าหลัวเลี่ยจะสามารถสลายมันได้ มันจึงรีบหลั่งไหลเข้าไปในร่างของั จนทำให้ัเ่าั้บ้าคลั่งและดุร้ายมากยิ่งขึ้น
"ฟู่!"
ทันใดนั้นัตัวหนึ่งที่มีความยาวประมาณสิบจั้งก็ส่งเสียงโจมตีด้วยความโกรธ
จากนั้นัจำนวนนับไม่ถ้วนก็พากันส่งไอสังหารออกมา
มันโหดร้ายและรุนแรงราวกับว่าจะกดดันให้พวกเขาตายโดยไม่รู้ตัว
ไอพลังที่หนาแน่นเช่นนี้ทำให้ผู้คนบนูเาัทมิฬเกือบหายใจไม่ออก แต่ดวงตาทั้งสองของพวกเขาต่างจ้องตรงไปที่หลัวเลี่ย เพราะกลัวว่าหลัวเลี่ยอาจถูกฉีกเป็ชิ้นๆ และกลืนกินในพริบตา
บางคนกลัวเกินกว่าจะมองมัน
มันโหดร้ายเกินไป
มีัมากมาย การโจมตีมากมาย และพลังที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับจิตปีศาจแล้ว สิ่งนี้ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
ปีก์เลี่ยหยางที่อยู่ข้างหลังหลัวเลี่ยโบกไปมาอย่างรุนแรง
เมื่อโบกพัดแรง เปลวไฟก็ยิ่งลุกโชน
จากนั้นเหล่าักลุ่มแรกที่พุ่งเข้ามาถึงตัวหลัวเลี่ยก็ถูกทำลายจนตาย
ด้วยปีกทั้งสองที่เหมือนมีด หลัวเลี่ยฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้พุ่งไปข้างหน้า บินผ่านไปและฆ่าันับไม่ถ้วนด้วยปีกของเขา
โลหิตหลั่งไหลไปทั่วท้องฟ้า พร้อมทั้งจิตปีศาจที่กระตุ้นให้ัทั้งหลายพุ่งเข้าใส่หลัวเลี่ยอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์นี้น่าสลดใจอย่างยิ่ง
หลัวเลี่ยกำลังร่ายรำท่ามกลางสายฝนแห่งเื
เมื่อใดก็ตามที่เขามีการเคลื่อนไหว ัจะถูกฆ่าเมื่อนั้น
เมื่อใดก็ตามที่เขายื่นมือออกไปคว้าบางสิ่ง ก็หมายความว่าัตัวนั้นเป็ัที่มีเกล็ดปิงเหยียน
เกิดการต่อสู้ไม่หยุด เข่นฆ่าไม่หยุด บินไม่หยุด และเอื้อมมือไปคว้าเกล็ดัปิงเหยียนไม่หยุด เมื่อสิ่งเหล่านี้เป็การกระทำที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และกลายเป็สิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นมันก็ก่อให้เกิดเป็สัญชาตญาณชนิดหนึ่งเงียบๆ
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่หลัวเลี่ยได้รับระฆังจันทรา ซึ่งเป็ชิ้นส่วนหนึ่งในเก้าของระฆังจักรพรรดิตะวันออก ตอนนั้นเขาเคยผ่านการฝึกฝนสัญชาตญาณการต่อสู้มาก่อน
เมื่อคิดดูแล้วอาจกล่าวได้ว่าไหวพริบในการต่อสู้ของหลัวเลี่ยได้รับการปรับปรุงมาแล้วอย่างมาก เขาสามารถตัดสินใจได้ดีที่สุดโดยอาศัยสัญชาตญาณการต่อสู้ และไม่ต้องเสียเวลาคิดและตัดสินใจ
และตอนนี้สัญชาตญาณการต่อสู้ซึ่งยังก่อตัวไม่สมบูรณ์ก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
สัญชาตญาณในการต่อสู้เป็สิ่งที่ทุกคนปรารถนา และเป็สิ่งที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ทุกคนใฝ่ฝันที่จะมี
เมื่อหลัวเลี่ยเข้าสู่สถานะลึกลับนี้อีกครั้ง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น อันตรายที่อยู่ต่อหน้าเขาก็เป็เหมือนการทดสอบเล็กๆ และเขาก็ผ่านมันไปได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย
ทุกครั้งที่เขาลงมือ เขาจะไม่ใช้พลังมากเกินไป
ขาเปรียบเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ และเปรียบเหมือนัที่ว่ายอยู่ในท้องทะเล
ผู้คนที่อยู่บนูเาัทมิฬต่างก็งุนงง
ใช้เวลานานก่อนที่พวกเขาจะหันมาสบตากับคนข้างๆ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาที่ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้
ใช่ พวกเขาอิจฉาจริงๆ
สัญชาตญาณในการต่อสู้เป็สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับพร์และไม่เกี่ยวกับสติปัญญา แต่มันเกี่ยวกับความรู้สึก เพราะบางทีคนโง่เขลาก็มีสัญชาตญาณการต่อสู้ได้ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็สิ่งที่เข้าใจได้ยากที่สุด
“เขาไม่ได้เสี่ยงอันตรายอีกต่อไปแล้ว แต่เขากำลังฝึกฝนอยู่” หวงอวี้อธิบายสถานการณ์ที่แท้จริงของหลัวเลี่ยด้วยประโยคเดียว
เมื่อมีสัญชาตญาณการต่อสู้ก็ไม่จำเป็ต้องคำนึงถึงอันตรายอีกต่อไป แต่ให้ใช้อันตรายเพื่อฝึกฝนและพัฒนาตนเอง และเนื่องจากสถานะนั้นลึกลับ ผลที่ได้จึงดีกว่าการนั่งฝึกฝนเงียบๆ มาก
เมื่อสังเกตดูแล้วก็จะสามารถเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของหลัวเลี่ยนั้นพัฒนาขึ้นทุกขณะ
หยางเสี้ยวเสียถอนหายใจ "มีอัจฉริยะมากมายในดินแดนแห่งนี้ แต่มีเพียงหลัวเลี่ยเท่านั้นที่ได้รับเกียรติ"
“คำพูดนี้ดูจะเกินจริงไปหน่อยแล้ว” หวงอวี้กล่าว “แต่มันอาจจะเป็จริงก็ได้”
พวกเขาทั้งหมดพ่ายแพ้ให้กับหลัวเลี่ยแล้ว
แต่เนื่องจากหลัวเลี่ยยังคงหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้อย่างเต็มที่ เขาจะรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรได้อย่างไร
เขาทำไปตามสัญชาตญาณการต่อสู้ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และจำนวนเกล็ดัปิงเหยียนที่เขาได้รับมาก็เกินร้อยแล้ว แต่เขาไม่ได้รับรู้ เขาแค่สนุกกับการต่อสู้
นั่นเป็เหตุผลว่าทำไมเมื่อวันเวลาผ่านไปผู้คนถึงต่างหลั่งไหลเข้ามาเฝ้าดูหลัวเลี่ยอย่างต่อเนื่อง จริงๆ แล้วมีคนมองว่าเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นและแปลกๆ เหล่านี้เป็ตัวอย่างการฝึกฝนที่ดี เมื่อพวกเขามองสัญชาตญาณการต่อสู้ที่หลัวเลี่ยแสดงออกมา พวกเขาก็เกิดความเข้าใจและเริ่มฝึกฝน
บางคนกำลังฝึกวรยุทธ์
บางคนกำลังลดกำลังการต่อสู้
ในระยะเวลาสั้นๆ ทุกคนก็ดูคล้ายกับตอนที่หลัวเลี่ยเริ่มสร้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ ความมหัศจรรย์ของหยินและหยางเกิดจากการฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของทุกคน
หยางเสี้ยวเสียผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในเื่นี้ถึงสองครั้งติดต่อกันถึงกับพูดไม่ออก และในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา
"บางทีหลัวเลี่ยอาจเป็คนที่์ส่งมาให้เป็บรรพจารย์"
“บรรพจารย์ของมนุษย์ทั้งหลาย”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เหลือบไปเห็นสัตว์ประหลาดสองสามตัวที่ดูเหมือนจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง "บรรพจารย์? บรรพจารย์ของทุกสรรพสิ่ง"
ทุกสิ่งไม่สามารถต้านทานความลึกลับของการตีความสัญชาตญาณการต่อสู้ได้ รวมทั้งหยางเสี้ยวเสียเองก็เข้าใจมันเช่นกัน
ด้านนอกหุบเขาสุสานัมีคนกลุ่มหนึ่งมาพร้อมกับไอพลังวรยุทธ์ที่ทรงพลัง ไอพลังของพวกเขากดดันทุกสิ่ง
ในกลุ่มของพวกเขามีทั้งชายและหญิง เมื่อมาถึงที่นี่ พวกเขาก็อาศัยไอพลังยุทธ์ที่ทรงพลังกดดันและบีบบังคับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่รอคอยการสิ้นสุดของเหตุการณ์ัจลาจลในหุบเขาสุสานั ให้ล่าถอยไปหลายร้อยจั้งและไม่ให้ใครกล้าเข้าใกล้
หัวหน้าของกลุ่มนี้เป็ที่รู้จักของผู้คนจำนวนมาก เขาก็คือชางจื่อเฟิง องค์ชายแห่งอาณาจักรชาง
คนที่ยืนอยู่ข้างชางจื่อเฟิงคือต้วนเหยียนเจี๋ย องค์ชายจากแคว้นเหยียนหลง ผู้เป็ตัวแทนของแปดร้อยแคว้น
ส่วนชายหนุ่มและหญิงสาวคนอื่นๆ ก็มีจำนวนค่อนข้างมาก พวกเขามีจำนวนหกร้อยถึงเจ็ดร้อยคน ซึ่งทุกคนล้วนแข็งแกร่ง พวกเขาต่างเป็ผู้ที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในขั้นต้นถึงขั้นกลางของระดับหยินหยาง และบางคนถึงกับขี่สัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว เพื่อเป็การแสดงถึงพลังของพวกเขา
"เหตุการณ์ัที่กำลังโกลาหลคงจะไม่ทำให้หลัวเลี่ยตายอยู่ในนั้นหรอกนะ หากเป็เช่นนั้นข้าคงจะรู้สึกเสียดายยิ่ง" ต้วนเหยียนเจี๋ยมองดูเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวในหุบเขาสุสานัด้วยแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่
มุมปากของชางจื่อเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ขยับเป็รอยยิ้ม "ไม่ต้องกังวล หลัวเลี่ยก็แค่วีรบุรุษเพียงลมปาก เ้าคิดว่าเขาเป็วีรบุรุษที่โง่จนกล้าที่จะทำสิ่งที่เสี่ยงในการจลาจลัครั้งนี้ เช่นการมองหาเกล็ดัปิงเหยียนหรือ มันเป็ไปไม่ได้"
ต้วนเหยียนเจี๋ยยิ้มและพูดว่า "ข้าก็หวังว่าจะเป็เช่นนั้น พวกเราใช้ความคิดมากมายรวมทั้งให้โอกาสกับเ้าแห่งท้องทะเล พวกเขาปกป้องสังเวียนับรรพชน ส่วนพวกเราปกป้องเส้นขอบฟ้า และตอนนี้เส้นนั้นก็กำลังจะถูกหลัวเลี่ยล่วงล้ำเข้ามาแล้ว เราต้องทำให้เขาเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด" จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองยอดฝีมืออีกร้อยชีวิตที่อยู่ด้านหลัง “ข้ากังวลว่าหากเขาเห็นว่าพวกเรานำคนมามากขนาดนี้แล้วเขาจะหนีไป”
แล้วคนหลายร้อยเ่าั้ก็พากันส่งเสียงหัวเราะออกมา
ชางจื่อเฟิงยิ้มและกล่าวว่า "เขาจะไม่สามารถหลบหนีได้ ครั้งนี้เขาต้อง...ตาย!"
หลังจากคำพูดนี้หลุดออกมาแล้ว ร่างขนาดมหึมาก็ปรากฏกายขึ้นในอากาศที่ก่อตัวเป็วงกลมล้อมรอบขนาดใหญ่ เฝ้าดูท้องฟ้าที่อยู่เหนือหุบเขาสุสานั และไม่ปล่อยให้ใครได้เข้ามา
ต้วนเหยียนเจี๋ยพูดอย่างมีความสุขว่า “กลุ่มเยาวชนเทียนคง!”