แม่นางฉินยิ้มเศร้า “ข้าคิดว่าต่อให้ถูกไล่ออกจากบ้านสามีก็ยังอาศัยสองมือตัวเองใช้ชีวิตได้ ลุงจากบ้านสามีเห็นกิจการข้าดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมาประจบเอาใจ เชิญข้ากลับไป แถมบอกว่าจะให้ข้ารับบุตรชายคนเล็กของเขาเป็บุตรบุญธรรม ข้ารู้ว่าเขาเห็นหนทางทำเงิน คิดจะกลืนกินเงินที่ข้าหาได้เข้าตระกูลจึงได้ปฏิเสธ ตอนนั้นเขายังโกรธข้า สาปแช่งข้า บอกว่าไม่ช้าก็เร็วกิจการข้าจะต้องล่มจม กลับไปอ้อนวอนเขา…”
“ท่านไม่จำเป็ต้องไปอ้อนวอนเขาเ้าค่ะ” หลินฟู่อินขัด แม่นางฉินยิ้ม “แต่สิ่งที่เขาพูดก็จริง กิจการข้าล้มเหลวจริงๆ แม้ข้าจะไม่ได้ไปอ้อนวอนขอเลี้ยงบุตรชายคนเล็กของเขาก็เถอะ”
หลินฟู่อินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหนักแน่น “แล้วยังไงเ้าคะ? ในการค้าขายมีกำไรมีขาดทุนเป็เื่ปกติ มีคนสำเร็จ มีคนล้มเหลว หากท่านไม่ได้ขายชาดของไฉ่จือไจแล้วก็ยังขายของร้านอื่นได้!”
“พูดง่ายกว่าทำ เช่นนั้นลูกค้าประจำที่อยู่กับข้ามาหลายปี คนที่ชอบไฉ่จือไจอาจจะหายไปก็ได้ อันที่จริงยังหาวิธีซื้อของจากไฉ่จือไจมาไว้ที่ร้านด้วยวิธีอื่นได้อยู่” แม่นางฉินกล่าว
หลินฟู่อินไม่นึกว่าจะมีวิธีนี้ แต่พอคิดๆ ดูก็บอกอีกฝ่าย “ก่อนอื่น ข้าจะบอกท่านว่าลูกค้าที่ท่านบอกว่าชอบชาดของไฉ่จือไจอาจมิได้หมายความว่าจะ้าไปซื้อสินค้าไฉ่จือไจจากร้านอื่น
อย่างที่สอง คนส่วนมากเปลี่ยนใจกันได้ง่าย เพียงหาของที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับไฉ่จือไจในราคาที่ถูกกว่า ข้ารับประกันว่าลูกค้าเดิมของท่านย่อมซื้อชาดที่ท่านหามาแทนชาดของไฉ่จือไจ
อย่างที่สาม ตามที่ข้าพูดเอาไว้ก่อนหน้า ผู้คนคิดไม่เหมือนกัน แต่คนส่วนมากผูกติดกับความรู้สึก แม้จะดูขัดแย้งกันเป็อย่างยิ่งแต่ก็เป็ความจริง ดังนั้นลูกค้าส่วนมากที่มาซื้อชาดจากท่านบางคนอาจจะไม่ได้ชอบชาดขนาดนั้นแต่ซื้อเพราะท่าน ท่านเป็เถ้าแก่เนี้ยะที่คนเ่าั้ชื่นชอบ ข้าเองก็เช่นกัน ข้าชอบวิธีการค้าขายของท่าน ข้าชอบนิสัยของท่าน ชาดของไฉ่จือไจจะสำคัญตรงไหนกัน? ท่านขายอะไรข้าก็ซื้อสิ่งนั้น ขอเพียงสิ่งที่ขายไม่เลวร้ายกว่าสินค้าก่อนหน้าจนเกินไปนัก”
ทันใดนั้นแม่นางฉินก็ราวกับตื่นรู้ด้วยคำพูดของหลินฟู่อิน หญิงสาวเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่หลินฟู่อินกล่าวนั้นถูกต้อง
ในที่สุดรอยยิ้มโล่งใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว นางหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะหัวเราะออกมา “ฟู่อิน เ้าช่วยปลุกข้าจริงๆ! ใช่แล้ว เื่นี้หาใช่เื่ใหญ่ไม่ ข้าเคยขายชาดของร้านอื่นมาก่อน แม้จะไม่ดีเท่าไฉ่จือไจแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ ตอนนี้รู้จากลูกค้าว่ามีสินค้าเ้าอื่นที่ไม่เพียงราคาถูกกว่า แต่คุณภาพก็เกือบจะเท่ากัน เช่นนี้ข้าก็นำมาขายได้แล้ว”
เห็นนางคิดได้เช่นนี้หลินฟู่อินก็ดีใจไปกับนางด้วย “ชาดทาหน้าท่านขายชาดหิมะหลอมได้ ราคาถูก ใช้ง่าย ยังพูดได้ว่าคุณภาพด้อยกว่าชาดทาหน้าที่ดีที่สุดของไฉ่จือไจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นพอดี ฮ่าๆ” แม่นางฉินหัวเราะร่าเริง นางลุกขึ้นจากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าตรงไปตรงมา “แม่นางหลิน หากมิใช่วันนี้เ้าเต็มใจฟังเื่ของข้า เกรงว่าข้าคงท้อถอยกับชีวิตจนยอมแพ้ไปแล้ว ยามนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่ขายสินค้าของไฉ่จือไจอีก ต่อให้ถูกขอร้อง ร้านนี้ก็ไม่บังอาจ!”
“ขอเพียงท่านตั้งใจ ข้าก็จะสนับสนุนท่านเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ นางชอบนิสัยเข้าถึงง่ายรักอิสระของแม่นางฉินยิ่งนัก อีกหน่อยหากนางผลิตเวชสำอางออกมาย่อมต้องขอให้แม่นางฉินช่วยโฆษณา บางทีอาจฝากฝังให้ทำงานอะไรที่สำคัญๆ ได้
เพราะคนไม่เพียงเป็อิสระเข้าหาง่าย แต่ยังรู้จักเลือก มีศักดิ์ศรีไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มีความกล้าจะปฏิเสธพวก ‘ร้านใหญ่ๆ’
แม้ก่อนคุยกับนาง คนอาจจะยังสับสนอยู่บ้าง แต่นางเชื่อว่าขอเวลาให้แม่นางฉินอีกไม่กี่วัน นางต้องคิดเื่นี้ด้วยตัวเองได้แน่นอน
“ฟู่อิน ขอบคุณเ้าพันครั้งยังไม่พอเลย!” แม่นางฉินยิ้มกว้างมองสินค้าของทางไฉ่จือใจที่ยังเหลืออยู่ในคลัง “จะขายของเ้านี้ไปเพื่ออะไรกัน ต่อรองก็ไม่ได้ กระทั่งลูกค้าเก่าที่มาซื้อเป็ประจำก็ยังไม่ได้ราคาพิเศษ อีกหน่อยข้าจะขายสินค้าจากเ้าอื่น ลดแลกแจกแถมได้มากตาม้า เสียเงินเช่นนี้ดียิ่ง!”
หลินฟู่อินแทบจะปรบมือ ต้องแบบนี้แหละ ถึงจะเป็คนที่รู้วิธีทำธุรกิจ
“ฟู่อิน อีกหน่อยไม่ว่าจะชาดทาหน้าหรือแป้งผัดที่เ้าต้องใช้ แม่นางฉินผู้นี้จะเป็คนดูแลเอง!” หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทีใจกว้าง “ชาดและแป้งทั้งหลายของสตรีในบ้านเ้า ข้าเป็คนดูแลให้เอง!”
หลินฟู่อินปลื้มใจ นี่คือความรู้สึกของการได้เป็ครอบครัวเดียวกัน
“เ้าค่ะ” หลินฟู่อินก็ไม่ใช่คนเสแสร้งอะไร นางตอบตกลงทันที ทำให้แม่นางฉินหัวเราะ “เช่นนี้จึงจะดี”
“พูดตามตรง หากท่าน้าขายชาดหิมะหลอม ข้าก็รู้จักคนผู้หนึ่งอยู่” หลินฟู่อินมองนางด้วยสายตาจริงจัง แม่นางฉินชะงักไปชั่วครู่ พอรู้ถึงความหมายในถ้อยคำก็รีบหันมามองด้วยท่าทีดีใจ “ฟู่อินพูดจริงหรือ?”
หลินฟู่อิน “จริงแท้แน่นอนเ้าค่ะ! ในเมื่ออีกหน่อยท่านจะช่วยดูแลเื่ชาดทาหน้าทาปากให้สตรีในบ้านข้า ข้าย่อมต้องตอบแทนท่านเล็กน้อย ประเดี๋ยวข้าจะส่งสารไปหาคนรู้จัก หลังจากนี้หากท่านไปขอซื้อสินค้า ทางนั้นจะให้ต้นทุนท่านราคาถูกกว่าเ้าอื่นหนึ่งอีแปะเ้าค่ะ”
อย่ามองว่าต่างกันเพียงอีแปะเดียว เพราะหากว่าซื้อของยิ่งเยอะ ก็เรียกได้ว่าประหยัดเงินไปได้มาก!
เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนเงินหนึ่งอีแปะนี้ก็จะยิ่งมีปริมาณมากขึ้น
มีเพียงแม่นางฉินที่รู้ว่านางโชคดีเพียงใด ในใจนางยินดีไม่รู้เท่าไร ขอบคุณ์ที่ทำให้ตนได้รู้จักกับหลินฟู่อิน
นางไม่สงสัยอำนาจที่หลินฟู่อินใช้แม้แต่น้อย เด็กธรรมดาคนหนึ่งจะกล่าวแนะนำชี้ทางนางได้อย่างไร?
ที่จริงนางเคยค้าขายกับเด็กคนนี้มาหลายครั้ง ทำให้รู้สึกได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากคนทั่วไป
ยิ่งหลินฟู่อินและแม่นางฉินคุยกันก็ยิ่งสนิทกัน สุดท้ายก็เหมือนพี่น้อง แม้อายุระหว่างทั้งคู่จะห่างกันถึงยี่สิบปี แต่แม่นางฉินก็ไม่ได้ทำเหมือนหลินฟู่อินเป็เด็กแม้แต่น้อย กลับทำเหมือนเป็สหายคนหนึ่งมากกว่า
ตอนที่หลินฟู่อินจะกลับ แม่นางฉินก็หยิบเอาชาดของไฉ่จือไจที่ดีที่สุุดออกมาหลายตลับ ห่อด้วยผ้าแล้วสั่งเสี่ยวเอ้อร์ที่ช่วยดูร้าน “เอาติดไปด้วย ให้แม่นางหลินนำของกลับไป”
หลินฟู่อินมองห่อผ้าที่บรรจุชาดมากมายก็อดหัวเราะไม่ได้ “ทำอะไรกันเ้าคะ? ข้าจะใช้มากขนาดนี้ได้ยังไง?”
แม่นางฉินโบกมือไปมา “เอาไปเถอะ ถือเป็ของขวัญ ยังไงอีกหนึ่งเดือนชิงหยางก็จะหาซื้อของจากไฉ่จือไจไม่ได้แล้ว ล้วนแต่ถูกทางนั้นกวาดคืนไปหมด เอาไปลองเถอะ พูดตามตรง พอใช้มานานๆ ของพวกนี้ก็แค่ชาดธรรมดาเท่านั้นเอง”
หลินฟู่อินยิ้มขอบคุณแม่นางฉิน นางต้องลองสินค้าตัวอื่นจริงๆ หากมีตัวไหนดีก็จะสามารถเรียนรู้เพื่อนำมาใช้พัฒนาสินค้าของตัวเองได้
แต่นางก็รู้ว่าแม่นางฉินต้องจ่ายค่าชาดทั้งถุงผ้านี้ ทั้งหมดล้วนเป็ของที่ดีที่สุด รวมเป็เงินจำนวนมากทีเดียว
แต่ดูท่าทีใจกล้าในยามใช้เงินของแม่นางฉินก็ทำให้รู้ว่านางรู้จักเลือกและกล้าลงทุน
และตัวแม่นางฉินเองก็แสดงชัดว่าตอนนี้หลินฟู่อินเป็เป้าหมายในการลงทุนที่ดีของนางด้วย!
แม่นางฉินส่งหลินฟู่อินออกไปนอกร้านก่อนจะกลับเข้ามา จากนั้นนางก็เลิกออกไปเรียกลูกค้า เหตุใดนางต้องฝืนตัวเองเพื่อหาเงินให้ไฉ่จือไจด้วย
หลินฟู่อินให้เสี่ยวเอ้อร์ช่วยแบกถุงผ้าใส่ชาดหลายตลับไปถึงบ้านใหม่ นางหยิบเงินจำนวนมากออกมาแล้วส่งให้เขา “ส่งเท่านี้ก็พอแล้วเ้าค่ะ พี่เสี่ยวเอ้อร์ทำงานหนักมากไม่ใช่หรือเ้าคะ ประเดี๋ยวข้าชงชามาให้”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้เคยจับเงินจำนวนมากมาก่อน พอเห็นเหรียญทองแดงเต็มมือหลินฟู่อินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็เงินอย่างน้อยแปดสิบหรือเก้าสิบอีแปะ จนเขาคิดกับตัวเอง ‘เด็กคนนี้ใจกว้างยิ่งนัก เงินจำนวนนี้สามารถซื้อแป้งหอมของไฉ่จือไจได้หลายตลับด้วยซ้ำ’
คิดไปแล้วใจกว้างยิ่งกว่าเถ้าแก่เนี้ยะของเขาที่มอบชาดทาปากให้แม่นางหลินเปล่าๆ เกรงว่าราคาจะแพงกว่าร้อยตำลึงเสียอีก!
ที่หลินฟู่อินให้รางวัลเขามากมายก็เพราะเห็นแก่หน้าแม่นางฉิน
แม้แม่นางฉินจะให้ชาดที่ดีที่สุดของไฉ่จือไจมาหลายตลับ หลินฟู่อินก็สัญญากับอีกฝ่ายไว้แล้วว่าหากแม่นางฉิน้าขายชาดหิมะหลอม แต่ละตลับจะราคาถูกกว่าทั่วไปหนึ่งอีแปะ ในระยะยาวแล้วเป็เงินมหาศาลทีเดียว
“คุณหนู ของในถุงผ้านี้หนักมากนะขอรับ ท่านอย่าแบกเลย ให้ข้าน้อยทำเถอะขอรับ!” ทันทีที่หลินฟู่อินหยิบกุญแจบ้านออกมา เหล่าลิ่วก็พุ่งออกมาแล้ว
กลอนทองแดงนอกประตูยังมีสภาพดีแต่กลับมีคนอยู่ในสวนเสียได้ หลินฟู่อินเคยชินเสียแล้ว อย่างไรคนพวกนี้ก็ช่ำชองการเหาะเหินเดินอากาศ จะทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านก็พอจะให้อภัยได้อยู่
ถึงนางจะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าในบ้านใหม่ของตัวเองมีผู้ชายอยู่หลายคนก็เถอะ
“ไม่รบกวนหรอกเ้าค่ะ ในนี้เป็พวกชาดทาปากทาหน้า ข้าแบกเองได้” หลินฟู่อินยิ้ม
หวงฝู่จินเดินออกมาจากในห้อง พอเห็นนางกล่าวว่าเป็พวกชาดอะไรนั่นก็นิ่วหน้า “อายุแค่นี้จะเอาของเหล่านี้มาทำอะไรกัน? อายุยังน้อยไม่จำเป็ต้องแต่งอะไรเ้าก็ดูดีแล้ว”
“อ่า…” หลินฟู่อินมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด รู้สึกว่าเขาพูดจาผิดปกติยิ่งนัก แต่เหตุใดคนดันพูดออกมาเหมือนไม่มีอะไรเสียได้?
“ไปซื้อมาจากไหน? เหล่าลิ่วเอากลับไปคืน!” สีหน้าหวงฝู่จินไม่เปลี่ยน แต่น้ำเสียงหนักแน่น หากเขาไม่รู้ว่านางรักเงินทองมากเพียงใดคงสั่งให้เหล่าลิ่วเอาของไปโยนทิ้งแล้ว
หลินฟู่อินไม่รู้เลยว่าเหตุใดอยู่ๆ อีกฝ่ายต้องเข้ามาวุ่นวายด้วย
เห็นสีหน้าอับอายของเหล่าลิ่วที่ยืนอยู่ หลินฟู่อินก็ยื่นมือออกมานวดหน้าผากตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอดทน “ไม่ ของพวกนี้สหายข้าให้มา ข้าไม่ได้ซื้อ”
บางทีไม่ได้ยินเื่นี้คงจะดีกว่า เพราะทันทีที่ได้ยิน ดวงตาหงส์ของหวงฝู่จินก็ราวกับมีพายุลูกโตทำเอาเหล่าลิ่วใจนแทบะโ มีเพียงคนที่รู้จักชายหนุ่มดีจึงจะทราบ แต่หลินฟู่อินดูไม่ออก นางแค่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังหาเื่สร้างปัญหาให้นาง บางทีคงกำลังหงุดหงิดเื่อะไรแล้วเอามาลงทางนี้
อันที่จริงเหล่าลิ่วก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านของเขาจึงได้โกรธจัดในตอนที่เห็นคุณหนูหลินถือถุงผ้าใส่ชาดกลับมา อันที่จริงเขายังคิดว่าเป็เื่ธรรมดาด้วยซ้ำ
แม้คุณหนูหลินจะยังเด็ก แต่ทุกคนก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น อีกอย่างยังเป็ของที่ได้รับมา คนที่มอบของให้คุณหนูมากมายแปลว่าต้องสนิทกันดี แล้วมันผิดตรงไหนเล่า?
“สหายที่ไหนจะส่งชาดให้เต็มถุง ช่างเงินหนาเสียจริงนะ!” หวงฝู่จินข่มอารมณ์โมโหที่พุ่งพล่านขึ้นมา น้ำเสียงกลายเป็เสียดสีเหินห่าง
หลินฟู่อินฟังแล้วก็รู้สึกว่าเขาแค่มาหาเื่นางชัดๆ นางใช้ชาดแต่งหน้าแล้วหนักส่วนใดของเขา? ใครให้นางมาแล้วสำคัญอย่างไร? คนจะรวยจะจนแล้วเขายุ่งอะไรด้วย?
ส่วนที่หาความผิดนางเช่นนี้คือกำลังเอาคืน?
ต่อให้หลินฟู่อินไม่กล้าขัดแย้งกับเขาเพราะอำนาจที่อีกฝ่ายมี แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเป็ฝ่ายมาหาเื่ก่อนจนทำให้นางอารมณ์เสียได้เหมือนกัน
ใบหน้าของเด็กสาวเ็า เรียวคิ้วเลิกขึ้น มุมปากโค้งน้อยๆ นางกอดอกมองเขา ตวาดออกไป “ข้าจะใช้ชาดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน? ใครให้ข้ามาแล้วจะมาสนใจอะไรด้วย? คนจะรวยหรือไม่แล้วมันสำคัญอะไรกับท่านนัก? พ่อข้าก็ไม่ใช่ เหตุใดต้องมาใส่ใจข้านัก?”
แน่นอนว่านางกล้าโต้กลับเพราะหลายวันมานี้นางเป็คนทำอาหารให้เขากิน ถือว่าเขาเป็สหายแท้คนหนึ่ง นางจึงได้กล้าทะเลาะด้วยเหมือนที่เคยทะเลาะกับเพื่อนสนิท เวลาที่โมโหก็ทะเลาะกัน พออารมณ์ดีก็พากันไปกินของอร่อย
แต่หวงฝู่จินไม่เข้าใจจิตวิทยาข้อนี้
ดวงตาเขาจ้องนางเขม็ง
เื่บ้าอะไรกัน?
ไม่ใช่บิดานาง?
ดีมาก กล้ามาก!
ไม่ใช่ นางเป็คนกล้ามาั้แ่แรกอยู่แล้ว นับั้แ่วันที่ถูกลักพาตัวไปทำคลอดให้ ‘ต้าเสวี่ย’ นางก็จงใจแกล้งทำเป็ไม่กล้าตอนอยู่ต่อหน้าเขา…
ดวงตาดำมืดของหวงฝู่จินทวีความเข้ม ความอันตรายบางอย่างก่อตัวขั้น เขาจ้องหลินฟู่อินราวกับจะกลืนกินนางเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
เหล่าลิ่วไม่เคยเห็นนายท่านโกรธจนน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน เมื่ออยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองเช่นนี้ก็ได้แต่ร้องะโอยู่ในใจ ‘ไม่นะ นายท่านโกรธจริงๆ แล้ว ใครก็ได้ช่วยด้วย!’
แต่ดูเหมือนคนที่ทำให้นายท่านโกรธจะไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นางขยับปากแค่นเสียงหยัน ยังคงกวนโมโหต่อไป “อ้อ หรือท่านกับข้าจะดูว่าใครตาโตกว่า? หรือจะแข่งจ้องตากันล่ะ?”
อันที่จริงในถ้อยคำเหล่านี้มีความโมโหปนอยู่ แต่ไม่มากนัก
ดังนั้นหวงฝู่จินจึงเลิกคิ้วแต่ไม่ขยับตาสักนิด
“คุณหนู” เหล่าลิ่วร้องออกมาด้วยความร้อนใจ “ได้โปรดอย่าพูดอีกเลยนะขอรับ นายท่านโกรธแล้วไม่เห็นหรือ? รีบพูดอะไรดีๆ เถอะขอรับ…”
“เหล่าลิ่ว” หวงฝู่จินเรียกชื่อโดยไม่มอง ดวงตายังคงจ้องมองหลินฟู่อิน
แต่เหล่าลิ่วกลับหวาดกลัวจนเข่าทรุด ตอบรับเสียงสั่น “ขอรับนายท่าน เหล่าลิ่วอยู่นี่ขอรับ โปรดบัญชา”
“ถอยไป” น้ำเสียงของหวงฝู่จินยังคงเบา แต่ดูไม่ออกแล้วว่ายังโกรธอยู่หรือไม่ จากนั้นยังเสริมอีกประโยค “เรียกตวนมู่เฉิงไปด้วย ออกห่างจากบ้านหลังนี้สามร้อยหมี่ ไม่ต้องจับตามองที่นี่แล้ว!”
ฟังคำสั่งของเขาแล้วเหล่าลิ่วก็ได้แต่ตกตะลึง เงยหน้ามองอย่างไม่เชื่อสายตา นายท่านจะทำอะไรกันแน่?
“ได้ยินไม่ชัดหรือ?”
“ขอรับ เหล่าลิ่วรับบัญชา!” ก่อนเหล่าลิ่วจากไป ยังแอบหันมามองหลินฟู่อินอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
หลินฟู่อินเห็นแล้วก็ได้แต่พูดไม่ออก คนพวกนี้ก็กลัวหวงฝู่จินกันไปหมด แต่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเกรงกลัวไปด้วย ใครบ้างเวลาโดนรังแกแล้วจะไม่ตอบโต้กลับสักหน่อย?
เหอะ ขนาดลูกหมาถูกรังแกก็ยังขู่และกัดได้เลย!
อีกอย่าง นางเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดี ต้องทนกับบุรุษผู้นี้มานานแล้ว
เวลาที่คนเราทนอะไรมากเกินไป ก็จะะเิเอาได้…
โอ ใช่แล้ว บอกให้พวกลูกน้องถอยไปไกลๆ เพราะนางเองก็ไม่อยากให้คนพวกนั้นเห็นผู้เป็นายที่ได้รับความเคารพดุจเทพเซียนมาทะเลาะกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งหรอก ถึงนางจะเป็ ‘เด็กปลอม’ ก็เถอะ
“มานี่” หวงฝู่จินกวักมือเรียกหลินฟู่อิน น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่มีท่าทีโมโหแม้แต่น้อย แต่ท่ากวักมือเรียกเช่นนี้ทำให้หลินฟู่อินโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
เห็นนางเป็ลูกหมาจริงๆ หรืออย่างไร? คิดว่าแค่กวักมือเรียกนางก็จะส่ายหางวิ่งไปหา ไปสร้างความบันเทิงให้?
เห็นนางจ้องด้วยสีหน้าโกรธเคืองไม่ขยับกาย หวงฝู่จินพลันยิ้มออกมา ดีมาก กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งเขา
ช่างเถิด หากนางไม่มา เช่นนั้นเขาจะไปหานางเอง
เขาก้าวเข้าหาหลินฟู่อินช้าๆ เด็กสาวเพียงมองเขาด้วยสายตาเ็า ในใจคาดเดาว่าคงไม่ใช่คิดจะมาเอาถุงใส่ตลับชาดที่แม่นางฉินให้มาไปโยนทิ้งหรอกกระมัง?
แต่ดูเหมือนสิ่งที่นางคิดจะเรียบง่ายเกินไป
หวงฝู่จินเดินเข้ามาใกล้นาง ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวที่เป็อันตราย คนเพียงก้มหัวเล็กน้อย จากนั้นวางมือลงบนบ่านางอย่างอ่อนโยน
เพราะส่วนสูงต่างกันมากเกินไป นางจึงได้เห็นแขนยาวๆ อยู่ข้างหัว
“เ้าด่าข้าไม่น้อยเลยนี่ ตอนนี้พูดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่?” เขามองตานาง ยิ้มอ่อนโยน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงนิดหน่อยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา รอยยิ้มอบอุ่นจนละลายหิมะในฤดูหนาวได้
คำพูดของเขาทำให้หลินฟู่อินชะงักไปจริงๆ
เขาโง่หรืออย่างไร? หรือเป็พวกชอบความเ็ป? คนดีๆ ที่ไหนจะอยากโดนด่าซ้ำบ้าง?
แต่พอคิดว่าคุณชายที่ดูสูงส่งเก่งกาจเช่นนี้ที่จริงเป็พวกชอบความเ็ป หัวใจของหลินฟู่อินก็สั่นไหวเล็กน้อย พระเ้ายุติธรรมจริงๆ มีส่วนนี้ซ่อนเอาไว้เป็เื่น่าอับอายที่สุดแล้ว
เด็กสาวลอบทอดถอนใจ ความโมโหในดวงตาจางหาย นางบอกเขา “คุณชายอย่าทำเช่นนี้เลยเ้าค่ะ ท่านควรจะพบหมอ อาการป่วยเช่นนี้สมควรรักษาให้หาย…”
ดีเยี่ยม บอกว่าเขาป่วย เพิ่มอีกหนึ่งข้อหา
“ข้าไม่ได้ป่วย เ้าไม่ต้องเป็ห่วง” รอยยิ้มของเขายังคงละลายหิมะได้ ยามนี้ยิ่งล้ำลึก สายลมแห่งใบไม้ผลิที่โชยมาจากตัวเขาทำให้หลินฟู่อินที่มั่นอกมั่นใจว่าต้านทานคนหล่อได้ถึงกับกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว “คนที่ขอให้คนอื่นด่าตัวเองก็มีแต่คนป่วยเ้าค่ะ…”
“เ้ายังคิดว่าข้าป่วย?” หวงฝู่จินยิ้ม ถามช้าๆ “แล้วหากข้าไม่ให้เ้าทาชาดคือป่วยหรือไม่? ถามว่าใครมอบให้เ้านับว่าป่วยหรือไม่? บอกว่าคนผู้นั้นร่ำรวยเรียกว่าป่วยหรือไม่?”
“เ้าไม่ชอบให้ข้ายุ่งแล้วอย่างไร? ข้าก็ยังชอบยุ่งเื่ของเ้าอยู่ดี”
บ้าจริง บุรุษผู้นี้ป่วยจริงด้วย! หลินฟู่อินโมโหแทบบ้า
พูดบ้าอะไรของเขา? เหตุใดขนาดคนฉลาดอย่างนางฟังแล้วยังไม่เข้าใจเลยสักนิด?
โอ๊ย แต่หัวใจนางเต้นเร็วมาก ตอนนี้วิตกกังวลไปหมดแล้ว เื่บ้าอะไรกันเนี่ย?
หลินฟู่อินหงุดหงิด คำศัพท์ตามอินเทอร์เน็ตล้านแปดเด้งเข้ามาในหัว
แต่สบถในใจอย่างไรก็ไม่ช่วยให้หายกังวล นางก้มหน้าต่ำลงทุกที ตัวนางสั่นระริก
หลินฟู่อินสูดลมหายใจเข้า คิดในใจ เดี๋ยวก่อนๆ อย่าหัวใจวายตายั้แ่อายุสิบสามนะ…
“แล้ว เ้าพร้อมหรือยัง?” เห็นนางสูดลมหายใจเข้า ทันใดนั้นหวงฝู่จินก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“อะไร…”
“นี่…” หลินฟู่อินยังไม่ทันได้ถาม ริมฝีปากก็ถูกความนุ่มเย็นเข้าขัดขวาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้