เล่มที่ 9 บทที่ 256 ัขาว
แน่นอนว่ากับหลินเฟยไม่เหมือนกัน
เพราะสิ่งที่หลินเฟย้าไม่ใช่เคล็ดวิชากลไกที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวั…
ในชาติที่แล้วตอนที่สำนักเวิ่นเจี้ยนล่มสลายลง หลินเฟยเคยถูกขังอยู่ในคุกใต้เหวทมิฬเฮยยวนนานถึงสามปี และที่นั่นเอง หลินเฟยก็ได้พบกับคนคนหนึ่งที่มีชื่อว่าฟ่านเซิ่น…
ตอนนี้คงไม่มีใครคุ้นชื่อนี้ แต่สำหรับชาติที่แล้ว ชื่อนี้นับว่าโด่งดังไปทั่วทั้งพิภพหลัวฝูเลยทีเดียว…
ฟ่านซื่อเป็หัวหน้าผู้าุโของสำนักว่านไห่แห่งที่รกร้างทางใต้ อีกทั้งยังเป็เ้าของกลไกจิ้งจอกทันหยางซึ่งเป็หนึ่งในกลไกที่มีพลังทำลายล้างสูงที่สุดของพิภพหลัวฝู หลังจากเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญได้เพียงสามร้อยปีเท่านั้น เขาก็สามารถสังหารนักพรตเด็กจี๋เล่อซึ่งเป็หนึ่งในสี่ผู้มีตบะพลังขั้นฟ่าเซินของสำนักตงจี๋ได้สำเร็จ ฟ่านเซิ่นจึงถือว่าเป็หนึ่งในปรมาจารย์ด้านกลไกที่มีชื่อเสียงที่สุดของพิภพหลัวฝูนั่นเอง…
หลินเฟยเคยถูกกักขังอยู่กับฟ่านเซิ่นนานถึงสามปี แม้ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ามีความรู้ด้านกลไกสูงส่ง แต่ก็ถือว่ามีความรู้มากกว่าสำนักเชียนซานเป็แน่…
สำนักเชียนซานเห็นเคล็ดวิชากลไกเป็สิ่งล้ำค่า แต่สำหรับหลินเฟยไม่ใช่แบบนั้น…
นอกจากนี้หลินเฟยยังรู้ว่าดินิถู่ที่เกิดจากอักขระกระบี่หยินหลีสามารถกดข่มแรงอาฆาตนี้ได้พอดีอีกด้วย…
หลินเฟยจึงปลดปล่อยปราณกระบี่ไท่อี๋ออกมาคุ้มกาย จากนั้นก็เดินเข้าไปหาหัวัโดยไม่สนแรงอาฆาตรุนแรงที่รายล้อมเขาอยู่แม้แต่น้อย แม้ตอนนี้หัวัจะถูกเจดีย์โครงกระดูกกดทับเอาไว้ แต่มันก็ยังส่งเสียงคำรามออกมาเป็ระยะ ราวกับักำลังฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็มิปาน เมื่อหลินเฟยเข้าใกล้ได้ไม่นาน ลำตัวของัที่เกิดจากแรงอาฆาตก็กระตุกอย่างรุนแรง หมายจะดิ้นรนออกจากพันธนาการของกล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ให้ได้ และในตอนนี้เอง เ้าัก็กำลังอ้าปากกว้าง หมายจะกลืนกินหลินเฟยเข้าไปทั้งตัว…
“ตายไปแล้วแท้ๆ แต่ยังอยู่ไม่สุขอีก…” บัดนี้หลินเฟยมีปราณกระบี่ไท่อี๋คุ้มกายเอาไว้ แถมยังอยู่ในห้วงมิติคัมภีร์โครงกระดูกอีก นับว่ามีชัยกว่ามาก แล้วจะเปิดโอกาสให้มันหนีได้อย่างไร?
หลังจากปราณกระบี่ทงโยวปรากฏออกมา ห้วงมิติหยินหยางก็พลันแยกออก…
จากนั้นหลินเฟยก็เริ่มบงการอักขระกระบี่หยินหลี ทันใดนั้นก็มีภาพห้วงมิติดินิถู่ปรากฏขึ้นในห้วงมิติคัมภีร์ เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นเป็กระจกบานั์กำลังแขวนลอยอยู่กลางอากาศ ส่วนดวงจันทร์สีแดงที่อยู่ในกระจกก็ส่องแสงระยิบระยับออกมา โดยไม่รอให้ัคำรามขึ้นอีกครั้ง ดวงจันทร์ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็วังวนขนาดใหญ่ทันที ครู่เดียวก็มีพลังรุนแรงพวยพุ่งออกมา…
หลังจากนั้นลมพายุก็กระโชกแรง รอบด้านวังวนพลันบิดเบี้ยวไปหมด ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะถูกดูดกลืนเข้าไป แรงอาฆาตที่รวมตัวเป็ัสีดำก็ส่งเสียงคำรามดังสนั่น เกล็ดัมากมายปรากฏออกมา ก่อนที่เืของเ้าัจะสาดกระเซ็นตามมา ภาพนิมิตร่างัอันเลือนรางก็พลันชัดเจนขึ้นมา กระทั่งเกิดเป็กายเนื้อที่จับต้องได้ พลังรุนแรงราวกับพลังของัที่แท้จริงก็ะเิออกทันที ถึงกับสามารถต้านทานการดูดกลืนของห้วงมิติดินิถู่เอาไว้ได้…
“สมกับเป็แรงอาฆาตที่สะสมมานานนับพันปี…” ทางหนึ่งหลินเฟยก็ต้องบงการปราณกระบี่ทงโยว ส่วนอีกทางก็คอยบังคับวังวนที่เกิดจากดินิถู่ไปด้วย ในใจก็คิดว่าไม่ง่ายเลยที่จะพบซากกลไกัซึ่งมีแรงอาฆาตสะสมเป็พันปีเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่อื่นเลย เพียงใช้แรงอาฆาตสร้างเป็ลำตัวัได้ แถมยังเปลี่ยนจากภาพนิมิตให้กลายเป็กายเนื้อจริง ก็ถือว่าน่าตกตะลึงมากแล้ว…
หากปล่อยมันทิ้งไว้อีกพันปีละก็ เกรงว่าจะต้องสะสมแรงอาฆาตจนเกิดเป็กายเนื้อจริงขึ้นมาอีกครั้ง และสุดท้ายก็กลายเป็อสูรัแสนชั่วร้าย…
แต่น่าเสียดายที่ดันมาเจอเข้ากับดินิถู่ซึ่งเกิดจากอักขระกระบี่หยินหลีเสียก่อน…
หลินเฟยกระแอมเบาๆ ไม่นานก็มีเงาสองร่างปรากษขึ้นเลือนรางท่ามกลางวังวน ร่างหนึ่งมีลำตัวยาวนับพันจ้าง ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเกล็ดหิน ส่วนอีกร่างก็คล้ายกับิญญาร้ายที่มาจากขุมนรก และเงาทั้งสองนี้ก็คือเซียนประจำห้วงมิติดินิถู่ อสรพิษเกล็ดหินและกุ่ยินั่นเอง…
ตนหนึ่งปกปักูเาลำเนาไพร ส่วนอีกตนก็ปกปักสายธารน้ำไหล ทั้งคู่ต่างก็อาศัยไออสูรอันเข้มข้นบรรลุเป็เซียนในห้วงมิติดินิถู่ เพียงจิตสำนึกเดียว ก็มีพลังมากมายหลั่งไหลเข้ามา หลังจากหลินเฟยกระแอมเบาๆ อสรพิษเกล็ดหินและกุ่ยิก็สำแดงเป็ร่างเซียนสูงนับพันจ้าง ก่อนจะมีหมอกควันลอยมาปกคลุม และเปล่งแสงสีทองอร่ามสว่างตา ดูแล้วราวกับเทพเซียนจริงๆ ภายใต้พลังที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดนั้น วังวนที่เกิดจากห้วงมิติดินิถู่ก็ขยายใหญ่ขึ้น เมื่อมองไปก็ดูเหมือนกับจะปกคลุมไปทั่วคัมภีร์โครงกระดูกแล้ว…
หลังจากวังวนได้รับพลังของเซียนทั้งสองแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัวเ้าัดำที่เกิดจากแรงอาฆาตอีกต่อไป…
ในที่สุดก็มีเสียงคำรามอย่างสิ้นหวังดังขึ้น จากนั้นเ้าัดำก็ถูกวังวนดูดเข้าไป ไม่นานห้วงมิติดินิถู่ก็ผสานปิดกลับเข้ามาอีกครั้ง ทุกอย่างคืนกลับสู่ความข้สงบ บัดนี้เหลือเพียงซากหัวัอันใหญ่โตที่วางแน่นิ่งบนพื้นเท่านั้น…
“ลงทุนไปขนาดนี้ หวังว่าจะไม่เสียแรงเปล่านะ…”
หลังจากนี้ต่างหากล่ะ ที่เป็่เวลาสำคัญที่แท้จริง…
เพื่อกลไกหัวันี้แล้ว นับว่าหลินเฟยได้ลงทุนไปมากจริงๆ ถึงกับประมือกับผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันจนาเ็สาหัส จะว่าไปหลินเฟยเองก็ไม่แน่ใจว่าหยวนหลิงของกลไกันี่ จะยังอยู่หรือไม่…
เื่ทุกอย่างล้วนเกิดจากการคาดเดาทั้งสิ้น แม้จะมีความเป็ไปได้สูง แต่หากไม่ถึงสุดท้าย หลินเฟยเองก็ไม่อาจมั่นใจได้…
หลินเฟยกำลังยืนอยู่เบื้องหน้ากลไกหัวั หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายครั้ง ในที่สุดก็สามารถสงบสติลงได้ หลังจากนั้นถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ หลินเฟยก็ค่อยๆกระแอมออกมา ปราณกระบี่ไท่อี๋เองก็กลายเป็ลำแสงสีทองยาวนับสิบจ้าง ก่อนจะสะบั้นเข้าใส่หัวัอย่างแรง…
ทันใดนั้นนั้น ก็เกิดเป็เสียงดังสนั่นขึ้นมา
จากนั้นก็มีลำแสงสีขาวเจิดจ้าพวยพุ่งออกมา แสงสว่างนี้รุนแรงจนส่องสว่างท้องฟ้าจนเป็สีขาวโพลน และมีเสียงัคำรามดังตามมาพร้อมกับร่างของัสีขาวซึ่งมีความยาวนับพันจ้างที่กำลังทะยานออกมา…
“โชคดี ที่ไม่ได้เสียแรงเปล่า!” หลังจากที่เห็นัสีขาวทะยานออกมา หลินเฟยก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นไม่ได้…
หลังจากัขาวทะยานออกมาก็คำรามดังสนั่น ก่อนจะพุ่งชนไปที่เจดีย์โครงกระดูกสีขาวที่อยู่ใจกลางห้วงมิติคัมภีร์ หลินเฟยเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเ้าักำลังคิดจะหนีออกไป แต่หลินเฟยลงแรงทำทุกอย่าง ล้วนก็เพื่อัสีขาวตนนี้ แล้วมีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ หลังจากชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้นเจดีย์โครงกระดูกก็ขยายใหญ่ขึ้นมานับหมื่นจ้าง ก่อนจะกดทับลงมาที่ัขาวอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดันกระหึ่ม…
แต่เ้าัขาวเองก็เป็ถึงหยวนหลิงที่เกิดจากศาสตราวุธ ต่อให้เผชิญหน้ากับเจดีย์โครงกระดูกซึ่งมีมนต์สะกดเทียนกังปลอม มันก็ไม่อาจเกรงกลัวเลยสักนิด หลังจากคำรามออกจนเกิดเสียงดังกัมปนาทแล้ว มันก็บิดตัวไปมาอย่างรุนแรง หมายจะดิ้นให้หลุดจากการกดทับ…
เื่ที่เกิดขึ้นนับว่าไม่ใช่เื่เล่นๆเลย หลินเฟยจึงไม่กล้าเสี่ยงง่ายๆ เ้าตัวรีบบงการกล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ออกมาทันที และภายใต้สองขุมพลังอันยิ่งใหญ่นี้เอง ในที่สุดก็สามารถกดข่มเ้าัขาวเอาไว้ได้
หลังจากที่เสร็จเื่ทั้งหมดแล้ว หลินเฟยก็ตบบ่าเ้าอสุรกายที่อยู่ด้านข้างเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“จากนี้ข้าต้องพึ่งเ้าแล้วล่ะ!”
“เชื่อมือได้เลย!” เ้าอสุรกายคำรามเสียงดังออกมา ก่อนจะสำแดงร่างกายอันแสนใหญ่โตนับพันจ้าง ใบหน้าของมันก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มอัปลักษณ์ ส่วนสองมือนั้นก็คว้าไปที่เจดีย์โครงกระดูก เพียงเขย่าเบาๆเท่านั้น เจดีย์โครงกระดูกก็กลายสภาพเป็จานโม่ขนาดั์ทันที…
----------------------------------------------------------------------------------------------------