เสิ่นม่านใส่ลูกชิ้นลงในชามของหนิงโม่แล้วถาม “ทั้งสองคนรู้จักกันหรือ?”
“ไม่รู้จัก”
“ไม่คุ้นเคย”
ทั้งคู่ตอบออกมาพร้อมกัน
เสิ่นม่านกะพริบตาปริบๆ ยังบอกไม่รู้จักอีก? โกหกผีหรือ?
แต่อีกฝ่ายคือขุนนางประจำอำเภอ นางจะพูดอะไรได้? สุดท้ายก็ต้องแสร้งทำหูหนวกตาบอดและกินหม้อไฟของตนเองต่อ
อืม กระเพาะวัวต้มนานเกินไป เคี้ยวไม่ไหวแล้ว
หลังจากรับประทานอาหาร เสิ่นม่านและเยี่ยนชีไปล้างจานด้านหลังบ้าน เด็กๆ ก็ไปช่วย ภายในห้องจึงเหลือเพียงคนตระกูลจางและหวังฉีเว่ย รวมถึง… หนิงโม่ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด
เขาหาวอย่างเกียจคร้านและเดินออกไปลานบ้าน จากนั้นไม่นาน จางหงอี้ก็ตามไป
จางหงอี้เดินตามมาถึงมุมหนึ่งที่ลับตาคน การพูดการจาก็เปิดเผยกว่าเดิมมาก
“หมู่บ้านโม๋ผานแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าอะไรกันแน่ ข้าน้อยจึงได้มีโอกาสเจอกับนายน้อยในสถานที่เช่นนี้?”
หนิงโม่เอามือไพล่หลังและตอบอย่างเ็า
“เ้าเองก็ด้วยมิใช่หรือ? เป็ถึงรองเ้ากรมอาญาขั้นสี่ในเมืองหลวงดิบดี แต่กลับร่อนเร่มาเป็ขุนนางขั้นเก้าแสนกระจอกในสถานที่กันดารเยี่ยงนี้”
จางหงอี้หัวเราะ ใบหน้าผ่อนคลายมีสง่า “คนเราก็ต้องมีแรงบันดาลใจของตน สถานที่กันดารเต็มด้วยป่าเขาลำธาร เวลาทอดมองก็ได้อีกอารมณ์”
พูดจบ เขาหันไปมองหนิงโม่ หางตาอมยิ้มเล็กน้อย เหมือนเื่ราวทั้งหมด เขาล้วนรู้ดีแก่ใจแล้ว
“อย่าบอกว่านายน้อยมาที่แห่งนี้ เพื่อเสิ่นม่านเหนียงผู้นั้น? ฝีมือปรุงอาหารของนางล้ำเลิศทีเดียว อาการของท่านคงได้รับการรักษาพอสมควรแล้วกระมัง?”
ใช่แล้ว จะว่าไปก็แปลก ทั้งที่เป็เพียงอาหารธรรมดา แต่พอผ่านการปรุงของนาง ทุกอย่างกลับเลิศรสกว่าที่เคยกิน
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ โรคเลือกกินของเขา นานวันเข้ากลับกลายเป็ว่าสามารถเริ่มกินอาหารที่ผู้อื่นทำได้บ้าง
ซึ่งนั่นเป็สิ่งที่ดีสำหรับเขา
จางหงอี้กล่าวต่อว่า “ในเมื่ออาการของนายน้อยได้รับการรักษาแล้ว เหตุใดจึงไม่กลับเมืองหลวง? ท่านก็รู้ว่าแดนเหนือมีภัยแล้ง ราษฎรหนึ่งในสี่ของแคว้นฝูเหลียงกำลังเผชิญกับสถานการณ์แตกต่างกันไป ท่านไม่อยากอาศัยจังหวะนี้สร้างผลงานเพื่อให้ท่านผู้นั้นในราชสำนักมองเห็นความสามารถของท่านในเร็ววันหรือ?”
หนิงโม่ยังคงเอามือไพล่หลัง นิ่งเงียบรอจนเขาพูดจบ ก่อนจะตอบ
“เ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า? เ้าล่ะ? จากขุนนางขั้นสี่บนตกมาเป็ขุนนางขั้นเก้า เ้ามีความคิดใดกันแน่?”
จางหงอี้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มแย้ม น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความหน่ายใจ “จะคิดอะไรได้? ข้าราชการมีขึ้นย่อมมีลง เป็เื่ปกติมิใช่หรือ?”
ผายลม!
โดนคนให้ร้ายจนถูกโยนมาสถานที่ที่กระทั่งนกยังไม่ยอมอุจจาระ เขาไม่เชื่อเลยว่าเ้าหมอนี่จะไม่โกรธแค้น
แต่อีกฝ่ายเหมือนมีใจจะสะกิดต่อมความเ็ปของเขา “ข้าใคร่รู้นัก สถานะของนายน้อยนั้นสูงส่ง แล้วเหตุผลอันใดที่ทำให้ท่านยินยอมมาขายเต้าฮวยกับผู้อื่น?”
หนิงโม่ “...”
เขาเลียริมฝีปากบางๆ ก่อนเปิดปากเอ่ย
“เ้าต้องช่วยข้าตามหาคน”
......
ในความเป็จริง จุดประสงค์หลักของจางหงอี้ในการมาหนนี้ก็เพื่อเจรจาการค้ากับเสิ่นม่าน เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาอยากทำไม่ใช่การค้าขายเต้าหู้ ทว่าเป็นมผง
ของอย่างนมผง หลังจากจางหงเหวินได้ทดลองใช้ อวิ๋นเอ๋อร์ที่เคยผอมซูบบัดนี้ตัวอ้วนขาว นับว่าเป็หนูทดลองตัวน้อยตัวแรกที่ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ยังมีลูกของจางอี้ที่สุขภาพแข็งแรง นมผงนี้นับว่ามีประสิทธิผลอย่างน่าอัศจรรย์ ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา หญิงสาวมากมายที่คลอดลูกจำต้องจ้างแม่นมหรือไม่ก็ป้อนน้ำข้าว เนื่องจากมีนมไม่พอให้ลูกดื่ม
ทั้งสองอย่างนี้มีข้อเสียคือ วิธีแรกนั้นต้องฝากลูกไว้กับผู้อื่น ไม่ปลอดภัยและยังต้นทุนสูง ส่วนน้ำข้าวก็แทบจะไม่มีสารอาหารแต่อย่างใด
เมื่อมีนมผง พวกเขาสามารถขยายตลาดไปสู่ตระกูลใหญ่ต่างๆ แล้วค่อยสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง หากบ้านใดกำลังจะคลอดบุตรก็สามารถซื้อนมผง
นมผงไม่มีการแบ่งระดับ ของสิ่งนี้ เบื้องบนสามารถถวายเข้าวัง ส่วนเบื้องล่างก็สามารถดูแลราษฎร นับว่าเป็การค้าที่ไม่เล็กทีเดียว
ส่วนหวังฉีเว่ย ก็คือผู้ที่เป็ต้นคิดเื่การค้าครั้งนี้
คนทั้งหลายบอกกล่าวความคิดนี้แก่เสิ่นม่าน เสิ่นม่านตรึกตรองสักพัก จากนั้นสิ่งแรกที่ถามคือ
“หากจะร่วมมือกัน จะแบ่งปันผลกำไรกันเช่นไร?”
หวังฉีเว่ยเป็คนพูดง่าย เมื่อเห็นเสิ่นม่านถามอย่างตรงไปตรงมา เขาเองก็เอ่ยอย่างไม่กังวล
“เ้าให้สูตรมา ข้าจะให้เงินเ้าหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง จากนั้นข้าจะหาคนเปิดโรงงานทำนมผง ต่อจากนั้นปันผลจะแบ่งให้เ้าเจ็ดส่วน ข้าสามส่วน เป็อย่างไร?”
เพียงแค่ให้สูตรก็สามารถเป็หุ้นส่วนรายใหญ่ได้ ฟังดูน่าเย้ายวนใจเหลือเกิน
เสิ่นม่านพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยแก้ “เอาอย่างนี้ เราสองคนแบ่งกันคนละห้าส่วน จะปล่อยให้ท่านเปิดโรงงานแล้วยังได้กำไรน้อยกว่าไม่ได้ เช่นนี้ข้าคงละอายใจ”
ความว่าง่ายของเสิ่นม่านนับว่าได้ผล หวังฉีเว่ยหัวเราะร่า จากนั้นยอมรับน้ำใจไว้ “เช่นนั้นข้าก็ยินดีตกลงตามนี้”
เื่การตกลงค้าขาย นับว่าตกลงกันอย่างรวดเร็ว เสิ่นม่านกลับเข้าห้องเพื่อวิจัยอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็มอบสูตรที่ตอนนี้นางคิดว่าสมบูรณ์ที่สุด รวมถึงวิธีการผสมนมผงที่รัดกุมและประหยัดที่สุด
หวังฉีเว่ยพิจารณาสูตรวิธีการทำ มีบางจุดที่ไม่เข้าใจ เสิ่นม่านจึงอธิบายให้เขาฟัง วิธีการทำทั้งหมด เขาดูแล้วไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่นานก็ทำความเข้าใจได้
ฝ่ายหนึ่งจ่ายเงิน ฝ่ายหนึ่งมอบสูตรวิธีทำ จากนั้นก็ทำสัญญาแบ่งผลกำไร
หลังจากส่งตระกูลจางกลับไป เสิ่นม่านล้วงตั๋วเงินหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงในเสื้อออกมาดูและเริ่มเหม่อลอย
เพียงแค่่บ่าย ก็หาเงินมาได้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง?
บังเอิญ หนิงโม่เดินผ่านข้างกายนางพอดี เสิ่นม่านเรียกเขาไว้ “เ้าหยิกข้าที!”
หนิงโม่ “...”
เขามองนางอย่างไม่กระจ่าง เสิ่นม่านยังคงตื่นเต้นดีใจ
“เ้าหยิกข้าหน่อย ดูว่าข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่! ไฉนข้าจึงหาเงินหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงได้รวดเร็วเช่นนี้?”
หนิงโม่ไม่รู้ว่านี่เป็หลักจิตวิทยาอะไรของนางกันแน่ แต่เขาก็ยื่นมือมารไปหยิกที่แก้มอิ่ม
อืม นุ่มนิ่มน่าัั ยังอยากหยิกอีกสักครั้ง… ไม่เพียงแค่อยากหยิก ทั้งยังอยากลองกัดสักที
ผิวพรรณของนางนุ่มหยุ่นราวกับแค่ดีดก็แตกได้ เวลากัดต้องรู้สึกดีแน่ๆ? หากว่าได้จูบสักครา จะรู้สึกเช่นไรกันนะ?
หนิงโม่นึกถึงความฝันในคืนนั้นอีกครั้ง
ในความฝัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ารุกมากกว่านี้ ไม่เพียงชอบกอดเขา นางยังชอบเกลือกกลิ้งบนตัวเขาอีกด้วย ซุกซนยิ่งนัก…
หนิงโม่ไม่กล้าคิดไปไกลกว่านี้ ขืนยังคิดต่อไป เขาคงจะเริ่มสงสัยกับชีวิตแล้ว
จากนั้นเขาก็หยิกนางไปเรื่อยอีกหลายทีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“โอ๊ย! เจ็บ! ข้าไม่ได้ฝันไป! โอ้ ์ ฮ่าๆ …อยู่ๆ ข้าก็มีเงินเก็บก้อนใหญ่…ไม่ได้ ข้าต้องรีบนำข่าวไปบอกเด็กๆ! บ้านเรารวยแล้ว!”
นางหยิบตั๋วเงินขึ้นมาและจูบมันอย่างดุเดือด จากนั้นวิ่งไปที่ห้องปีกตะวันตกพลางร้องะโ
“มั้วะๆ! ลูกรัก หลานรัก! รีบมาเร็ว ข้ามีเงินแล้ว! พวกเ้าอยากกินอะไรบอกข้ามาให้หมด วันนี้ข้าจะเป็เทพตะเกียงอาละดินของพวกเ้า ทำให้พรของพวกเ้าเป็จริงเอง!”
หนิงโม่ “...” ตะเกียงอะไร?
ต้องถึงขั้นนี้เชียวหรือ? เงินแค่หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ช่างไม่เอาไหนจริงๆ!
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่มุมปากของใครบางคนกลับยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
เยี่ยนชีออกมาจากห้องพร้อมน้ำกะละมังล้างเท้า เมื่อเห็นภาพนี้เข้าจึงยิ่งประหลาดใจหนักกว่าเดิม
เ้านายยิ้มเช่นนี้... ชักจะดูยวนใจเกินไปหน่อยแล้ว
เฮ้อ กังวลว่าเขาจะพ่ายแพ้อยู่ใต้กระโปรงเสิ่นม่านเหนียงเข้าสักวันจริงๆ
บรื๋อ น่ากลัว…
-----
