ผิวขาวมีเืฝาด ราวกับแผ่นหยกสวยงาม แวววาวโปร่งใส ขาวสะอาดตากว่าหยกขาวสีไขมันแพะ รูปร่างนั้นแม้ผอมบางเหมือนมีแต่กระดูก แต่พอปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก กลับมีเนื้อนุ่มนิ่มซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง ราวกับถูกคำนวณมวลเนื้อมาอย่างดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป
รูปร่างที่สวยงามเพียงนี้ หลิงเซียวจ้องไม่วางตา
ตอนที่ััครั้งแรกก็รับรู้แล้ว รูปร่างโหยวเสี่ยวโม่นั้นไม่ด้อยเลย แต่พอได้เห็นกับตากลับรู้สึกตะลึงงันถึงกับพูดไม่ออก
แขนขาเรียวยาวเหมือนผู้หญิง แถมชนะขาดหลายต่อ เนียนนุ่มมีความยืดหยุ่น ถึงทำให้เขามักใคร่จนปล่อยมือไม่ลง
หลิงเซียวที่ผ่านมาไม่เคยชอบหญิงรูปร่างผอมบางปวกเปียก เห็นทีไรก็ขัดลูกตา แต่โหยวเสี่ยวโม่ที่แม้อ่อนแอแต่ก็แฝงด้วยความเข้มแข็งเป็ลูกผู้ชาย โดยเฉพาะนิสัยของเขา หัวดื้อขึ้นมาวัวสิบตัวก็ลากไม่อยู่ จุดนี้ไม่เหมือนกับหญิงสาวอ่อนหวานพวกนั้น
มองสายตาของหลิงเซียวที่จดจ้องอย่างหื่นกระหายและ้าเขา โหยวเสี่ยวโม่หดคอลง
คำพูดของหลิงเซียวช่างหลอกลวงคน ก่อนหน้านี้เขาเป็ห่วงจริงๆ ว่าตัวเองจะผิดปกติอะไรหรือไหม ดังนั้นตอนหลังจึงประนีประนอม เดิมทีในใจเขาคิดว่าชายหนุ่มสองคนอยู่ด้วยกันอย่างเปิดใจกันนั้นเป็เื่ปกติ อย่างตอนเด็ก เขากับพี่ชายเองก็กินนอนอาบน้ำด้วยกัน บางเวลาถึงขั้นถอดเสื้อต่อหน้ากัน
เื่พวกนี้ล้วนไม่มีอะไรแปลก แต่หลังจากที่หลิงเซียวชอบััเขา เขาก็รู้สึกว่าความคิดที่มีต่อโลกนี้ช่างกลับตาลปัตร
ดังนั้นครั้งนี้ที่ยอมเปิดใจต่อหน้า เขาไม่สามารถแสดงออกตรงๆ เหมือนตอนอยู่กับพี่ชายได้อีก
“ท่านดูเสร็จหรือยัง?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถามเคอะเขิน ดูเป็วันแล้ว
หลิงเซียวได้สติ รู้สึกเสียดายจึงเลื่อนสายตามามองหน้ารูปไข่ของเขา ชมพูขาวเนียน ทำให้เขาแทบอยากกัดสักคำ แต่ก็กลัวเขาสะดุ้งหนี จึงได้แต่อดทนไว้ “ร่างกายเ้าไม่ได้ผิดปกติอะไร เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร?” โหยวเสี่ยวโม่ถามด้วยความตื่นเต้น
ประโยคแรกฟังแล้วรู้สึกดีใจ แต่ประโยคหลังกลับแย้งกัน เขาเริ่มกังวล
หลิงเซียวถอนหายใจ หยิกแก้มเขาทีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะโกรธจึงรีบปล่อย ดึงมือเขาขึ้นมาแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก หรือเ้าไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าผิวเ้าเนียนละเอียดกว่าผู้หญิงเสียอีก?”
โหยวเสี่ยวโม่มองแขนตัวเองด้วยแววตาเหม่อลอย ก่อนจะนึกได้ว่าเหมือนผิวเขาดีขึ้นกว่าสองเดือนที่แล้วมากจริงๆ
สองเดือนก่อน ผิว่แขนเขานั้นแค่ออกขาว แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าเนียนละเอียด มากสุดก็แค่ดีกว่าคนรุ่นเดียวกัน ทั้งแขนนั้นเปล่งประกายขาววับ เนียนนุ่มละเอียดเรียบเนียนราวเครื่องลายคราม เพราะเขาเห็นอยู่ทุกวัน ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตว่าผิวพรรณดีขึ้นทีละนิด จนถึงตอนนี้ผิวนั้นต่างกันมากกับสองเดือนที่แล้วพลิกหน้ามือเป็หลังเลย
แล้วก็มองผิวส่วนอื่นบนร่างกายขาวเนียน เปล่งประกายทั้งยังอมชมพู แม้เด็กทารกพึ่งคลอดยังไม่ได้เท่านี้เลยกระมั้ง?
โหยวเสี่ยวโม่กลอกตาหมุนเป็วงกลม ลำพังร่างกายแบบนี้ ยังอยากเป็ชายผู้ห้าวหาญได้อีกงั้นหรือ? ช่างฝันไปสิ้นดี!
หลิงเซียวยิ้มกริ่มมุมปากรับร่างที่อ่อนยวบยาบของเขาไว้ อาศัยจังหวะนี้ เขารู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่ฝันอยากเป็ชายผู้เกรียงไกร แต่ร่างกายที่อ่อนแอบอบบางเช่นนี้ช่างห่างไกลกับคำว่าชายผู้องอาจแข็งแกร่งนัก ถ้าไม่ใสิแปลก!
“ทำไมเป็แบบนี้? ฮือๆ…” โหยวเสี่ยวโม่ซบอกหลิงเซียวร้องไห้กระซิก
หลิงเซียวรีบตบหลังเป็การปลอบประโลมเขา กลัวเขาจะร้องไห้หนักจนสำลัก ท่าทีระวังค่อยๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะมีาแ “เด็กดี ไม่ร้องนะ ที่จริงเป็แบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี…”
พูดไม่ทันจบ โหยวเสี่ยวโม่ก็ลุกขึ้นนั่ง ตากลมโตสองดวงจ้องหลิงเซียวอย่างโกรธเคือง “ท่านหมายความว่ายังไง?”
“ไม่ใช่ เ้าอย่าพึ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น ฟังข้าอธิบายก่อน” หลิงเซียวรู้สึกว่าโหยวเสี่ยวโม่ตอนนี้ช่างดูน่ารัก ดูหน้าตาโกรธฟึดฟัด ไหนจะปากบูดเบี้ยวนั่นอีก ชักอยากเข้าไปจูบให้ได้เสียตอนนี้ แต่ตอนนี้เขากำลังโกรธอยู่ เพื่อประโยชน์ในอนาคต เขาต้องทนไว้ก่อน
โหยวเสี่ยวโม่เง้างอนทำเสียงฮึ่ม
หากเป็เวลาปกติ เขาคงพออกพอใจกับท่าทีนี้ แต่ว่าตอนนี้เขาเศร้าโศกมากกว่า ไม่มีเวลาไปสนใจอะไรพวกนี้
หลิงเซียวหน้าชื่นโอบกอดเขาไว้ มือคู่นั้นลูบไล้ไปเรื่อย พลางใช้คำพูดดึงความสนใจเขาไว้ “ศิษย์น้องเล็ก ข้าถามคำถามเ้าหนึ่งข้อ เ้าเริ่มใช้น้ำปราณในห้วงมิติอาบน้ำั้แ่เมื่อไหร่?”
โหยวเสี่ยวโม่คำนวณหน้ามุ่ย “ราวๆ สองเดือนได้ เพราะว่าทัพพิภพตักน้ำได้เพียงสามวันต่อครั้ง ดังนั้นข้าเลยคิดได้ว่าไปอาบน้ำในนั้น”
“ข้าคิดว่าข้ารู้สาเหตุแล้ว” หลิงเซียวถอนหายใจ แต่ในใจกลับบานชื่น
“ท่านจะบอกว่าเกี่ยวกับน้ำปราณในห้วงมิติสินะ?” โหยวเสี่ยวโม่จ้องหลิงเซียวตาโต เขาหวังว่าจะได้ยินตอบว่าไม่จากเขา
“นี่ เกี่ยวข้องกับน้ำปราณจริง น้ำปราณในห้วงมิตินั้นนับว่าเป็น้ำที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก เกิดจากพลังปราณค่อยๆ สะสมทีละนิด อีกอย่างน้ำปราณมีคุณค่าเื่ช่วยดูแลรักษา เ้าใช้น้ำปราณอาบน้ำทุกวัน สองเดือนผ่านไป ร่างกายไม่เปลี่ยนไปสิแปลก” หลิงเซียวจิ้มจมูกเขา แววตาเป็ประกายวูบหนึ่ง คนดีเช่นนี้มีแค่เขาที่สังเกตเห็น ดูท่าคงเกิดมาเพื่อเป็ของเขานั่นแหละ
โหยวเสี่ยวโม่อยากกระอักเื เสียเวลาคิดตั้งนานสุดท้ายเพราะแบบนี้นี่เอง เป็ความผิดของตัวเองล้วนๆ
เขาในตอนนี้พึ่งจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี พระเ้าประทานมือขาวเนียนให้เขา แต่ก็แย่งความฝันเขาไป ความทุกข์นี้ได้แต่กลืนลงท้องเงียบๆ คนเดียว
“อีกหน่อยข้าจะไม่ใช้น้ำปราณอาบน้ำอีก จะไม่ดื่มอีกแล้วด้วย” โหยวเสี่ยวโม่ทุบอกตัวเอง กัดฟันกรอดสาบานกับตัวเอง
หลิงเซียวรีบคว้ามือเขาไว้ เอ่ยปลอบ “ศิษย์น้องเล็ก อันที่จริงไม่จำเป็ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ถึงตอนนี้เ้าจะใช้น้ำปราณนั่นหรือไม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร สองเดือนที่ผ่านมาก็เพียงพอในการล้างสิ่งสกปรกในตัวเ้าออก อีกอย่างร่างกายเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี”
“ข้อดีอะไร?” โหยวเสี่ยวโม่จ้องเขา ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสามารถพูดอะไรดีๆ น่าเชื่อถือออกมาได้ เขาเปลี่ยนเป็แบบนี้ ไม่แน่คนที่ดีใจที่สุดอาจเป็เขาก็ได้ คำพูดประโยคสุดท้ายนี่คือเื่จริง!
หลิงเซียวเอนตัวพิงเสาเตียง ผมยาวสลายปรกลงบนหน้าอก มองเขาแล้วยิ้มตาพริ้ม “หรือเ้าไม่ได้สังเกตว่าตัวเองหลอมยาได้ไวขึ้น ฝึกฝนวิชายุทธ์เล่มนั้นก็ราบรื่นขึ้น?”
โหยวเสี่ยวโม่มองตาปริบๆ เขารู้สึกได้ อันที่จริงเดือนกว่าที่ผ่านมาก็เริ่มรู้สึกบ้าง
พลังปราณิญญาของเขาในตอนนี้เทียบกับแต่ก่อน คงไม่ใช่แค่สองเท่า อีกอย่างตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้บรรลุขั้นหนึ่งของคัมภีร์ิญญา์แล้ว ตอนที่หลอมยา ก็รู้สึกว่าลื่นไหลขึ้น โดยเฉพาะจังหวะที่นวดเป็เม็ดยา รู้สึกว่าง่ายขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่า…เขาคิดมาตลอดว่านั่นคือความสามารถของเขาเอง…
ตอนนี้หลิงเซียวกลับบอกเขาว่านั่นเป็เพราะพลังของน้ำปราณ…
“เหมือนว่า จะมีเื่แบบนั้นจริง…” โหยวเสี่ยวโม่พูดติดๆ ขัดๆ ตากรอกไปมา แต่ไม่สบตาหลิงเซียว
เมื่อเห็นเขาจู่ๆ ก็ทำใบหน้าเหลือบซ้ายแลขวาเช่นนี้ หลิงเซียวแอบหลุดยิ้มเ้าเล่ห์ออกมาโดยที่เขาไม่ทันเห็น มีรึที่เขาจะไม่รู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่คิดอะไรอยู่ แต่เป็เช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่เห็นเขาต้องหลั่งน้ำตาโอดครวญแบบนั้น
ไตร่ตรองเช่นนี้ หลิงเซียวกระซิบข้างหูเขาแ่เบา “ศิษย์น้องเล็ก ที่จริงเ้าลองคิดให้ดีๆ แล้วจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเื่นี้เ้าได้กำไรมากกว่าขาดทุนเสียอีก แม้ว่าร่างกายจะอ่อนไหวกว่าแต่ก่อนมากก็จริง แต่เทียบกันแล้ว ฝีมือการหลอมยาของเ้าก็สูงขึ้น ข้าจำได้เ้าเคยบอกว่า อีกไม่กี่เดือนก็ต้องเข้าร่วมการทดสอบ หากไม่สามารถหลอมยาเซียนตันขั้นสองออกมาได้ ไม่เพียงแต่เ้าที่จะขายหน้า ศิษย์พี่และอาจารย์ของเ้าก็ต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ เ้าอยากให้ทัพ์และทัพวิหคหัวเราะเยาะพวกเ้ารึ?”
“ไม่อยากแน่นอน” โหยวเสี่ยวโม่กำหมัดแน่น กล่าวน้ำเสียงแน่วแน่ เื่นี้นั้นเก็บไว้เบื้องลึกในใจมาตลอด แม้จะมีคัมภีร์ิญญา์ แต่ก็ยังรู้สึกขาดความมั่นใจ ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลอยู่เนืองนิจ
“งั้นก็ถูกแล้ว เ้าในตอนนี้แม้ยังไม่อาจฝึกหลอมยาขั้นสองได้ แต่ข้าคิดว่าเ้าเข้าใกล้วันนั้นไม่ไกลแล้ว” หลิงเซียวเอ่ยพยักหน้าแล้วยิ้ม
โหยวเสี่ยวโม่ดวงตาระยิบระยับ เขาพูดจนตัวเองรู้สึกใจเต้นระส่ำ คาดหวังว่าวันหนึ่งจะมาถึงเร็ววัน
หลิงเซียวม้วนผมที่ปรกบ่าเขา ท่าทีนุ่มนวล ยาวสลวยเป็เส้นเรียงกันราวผ้าไหม ยิ่งขับให้ผิวของเขาขาวนวลราวกับหยกเด่นขึ้นมา รอยยิ้มพลันส่อแววเ้าเล่ห์ “ศิษย์น้องเล็ก ทีนี้ไม่เศร้าแล้วใช่มั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่หันกลับมามองหลิงเซียวที่อยู่ห่างแค่คืบ ท่าทีไม่เป็ตัวของตัวเอง กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ย “ฝืนหน่อย…ก็คงได้อยู่”
“งั้นเรามาต่อกันเื่ที่ติดค้างไว้เมื่อครู่ดีมั้ย?” หลิงเซียวโอบแขนเข้ามา ดึงระยะห่างของทั้งสองคนเข้ามาใกล้
โหยวเสี่ยวโม่พลันขนลุกชัน เขาลืมเื่นี้ไปจนสิ้น
หลิงเซียวเผยรอยยิ้มกริ่ม ในที่สุดก็ได้เวลาสมควรเสียที…