“พลังิญญา ร่างกายของเ้าเยี่ยเฉินเฟิงจะพลังิญญาไหลเวียนอยู่ได้อย่างไรกัน ก็เขาไม่มีจิตอสูรมิใช่หรือ? หรือว่าเขาปลุกจิตอสูรสำเร็จได้เป็ครั้งที่สอง?”
เมื่อััได้ว่าพลังิญญาที่เยี่ยเฉินเฟิงะเิออกมาน่ากลัวกว่าของเหลียนอวี้หลงเสียอีก ทั้งยังบรรลุเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหกเท่ากันเสียด้วย ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้นรวมทั้งเหลียนวั่นซงก็ได้แต่มองตาค้าง แทบไม่อยากจะเชื่อเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“แหลกไปซะ”
พลังิญญาและพลังกายหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลังโจมตีของเยี่ยเฉินเฟิงจึงเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขีดสุด พละกำลังมากกว่าแปดพันจินถูกเติมเต็มลงในกำปั้นของเขา เมื่อชกหมัดออกไปพละกำลังอันน่ากลัวราวกับูเาไฟะเิก็เข้าปะทะกับทวนยาวที่เหลียนอวี้หลงแทงมา
“ครืน!”
เมื่อหมัดและทวนเข้าปะทะกัน ก็พลันเกิดสะเก็ดไฟแตกกระจายทั่วทุกทิศ แรงสะท้อนอันรุนแรงแผ่เป็วงกว้าง
เหลียนอวี้หลงรู้สึกราวกับว่าทวนกำลังโจมตีใส่ภูผาแกร่งที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ แรงกระทบไหลทะลักผ่านด้ามทวนเข้าสู่ร่างกายของเขา สะท้านรุนแรงจนร่างโอนเอนสั่นไหว กระอักเืออกมาก้อนใหญ่อย่างไม่อาจควบคุมได้
“เคร้ง!”
ในตอนที่เหลียนอวี้หลงไม่อาจทนรับหมัดอันทรงพลังของเยี่ยเฉินเฟิงไหวและร่างกายได้รับาเ็สาหัสอยู่นั้น เยี่ยเฉินเฟิงที่พลังฟื้นคืนกลับมาก็เหวี่ยงกำปั้นออกไปอีกครั้ง โจมตีใส่ตัวทวนยาวที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ทุบทำลายอาวุธที่เหลียนอวี้หลงซื้อมาในราคาแพงมหาศาลจนแตกละเอียดเป็ชิ้นๆ
“อะไรกัน นี่มันเป็ไปได้อย่างไร”
เมื่อเห็นทวนเฮยหลงเหวินแตกสลายต่อหน้าต่อตา เหลียนอวี้หลงก็ถึงกับขวัญหนีดีฟ่อ เขาไม่คิดเลยสักนิดว่าพลังโจมตีของเยี่ยเฉินเฟิงจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ เพียงมือเปล่าและกำปั้นก็สามารถทุบทำลายอาวุธของเขาได้แล้ว
ในตอนที่เขาคิดจะเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้นั้น กำปั้นของเยี่ยเฉินเฟิงที่ทุบทวนจนแตกสลายก็พุ่งใส่หน้าอกของเขาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ เกราะพลังิญญาที่เขารวบรวมไว้ตรงอกถูกกระแทกจนแหลกละเอียด ถูกอีกฝ่ายต่อยกระเด็นลอยออกไป เืพุ่งออกจากปากขณะอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงกระแทกพื้นกระเด็นออกจากสนามประลองไปและสลบเหมือดทันทีไม่รู้เป็หรือตาย
เงียบ เงียบสงัดเสียยิ่งกว่าป่าช้า
ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เยี่ยเฉินเฟิงต่อยทวนแตกกระจายและทำร้ายเหลียนอวี้หลงจนเจ็บหนัก ผู้ชมที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ตกตะลึงเสียจนโง่งม ได้แต่ส่งสายตามองเยี่ยเฉินเฟิงอย่างอึ้งๆ ทั่วทั้งสนามประลองเหลือเพียงเสียงลมหายใจ
“เป็เขา คนที่ช่วยข้าไว้ในคืนนั้นเป็เขาจริงๆ ด้วย” เฉียวจิ้งยวนยกสองมือปิดปากตัวเองแน่น เมื่อได้ประจักษ์พลังที่แท้จริงของเยี่ยเฉินเฟิง ประกอบกับความทรงจำเลือนรางในคืนนั้น นางค่อนข้างมั่นใจเลยว่าคนที่ช่วยเหลือตนเองคือเยี่ยเฉินเฟิง
“จิตอสูร เยี่ยเฉินเฟิงปลุกจิตอสูรได้เป็ครั้งที่สองอย่างนั้นเรอะ เขาทำได้อย่างไรกัน”
ท่ามกลางผู้คนมากมาย เยี่ยจื่อหลิงผู้มีรูปร่างสูงเพรียวสง่างามได้แต่ยืนตาค้างกับภาพเบื้องหน้า การที่เยี่ยเฉินเฟิงสามารถปลุกจิตอสูรขึ้นมาได้อีกครั้งตอนอายุสิบห้าย่อมเป็เื่ที่ฉีกกฎธรรมชาติโดยแท้ หากตระกูลเยี่ยรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงข้อนี้ของเยี่ยเฉินเฟิง จะต้องรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้นแน่
“อวี้หลง!”
เหลียนวั่นซงที่ได้สติกลับคืนมาก็แผดเสียงคำรามลั่นราวกับสิงโตที่กำลังเดือดดาล พุ่งตัวไปที่ด้านล่างของเวทีประลอง โอบอุ้มร่างของเหลียนอวี้หลงที่หน้าอกยุบลงไปเป็แอ่งและยังคงหมดสติขึ้นมา
“ไอ้เด็กเปรต แกมันใจคอโเี้ เ้ากล้าลงมือกับอวี้หลงอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ ข้าจะฆ่าเ้าซะ”
เหลียนวั่นซงสำรวจดูาแบนร่างของเหลียนอวี้หลง พบว่ากระดูกซี่โครงของเขาแตกเป็เสี่ยงๆ เส้นลมปราณเสียหายอย่างรุนแรง ต่อให้มีโอสถวิเศษณ์ช่วยในการรักษาก็คงยากจะฟื้นฟูจนกลับไปอยู่บนจุดสูงสุดได้
ถ้าคิดว่าความหวังของตระกูลเหลียนถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเยี่ยเฉินเฟิง เหลียนวั่นซงก็คิดอยากจะฆ่าอีกฝ่ายเสียให้ตาย พลังอันดุเดือดขุมหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างของเขา ส่งกระแสกดดันใส่เยี่ยเฉินเฟิง
"ประมุขเหลียน คล้ายว่าที่นี่จะเป็สำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้นะ ไม่ใช่ตระกูลเหลียนของท่าน อีกอย่างเมื่อครู่ลูกชายของท่านก็เป็ฝ่ายพูดเองว่าจะยอมต่อให้ข้าสามกระบวนท่า เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะข้าย่อมทุ่มสุดกำลัง ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะไม่เอาไหนถึงเพียงนี้ แค่สามกระบวนท่าของข้าก็ยังรับมือไม่ไหว ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน"
เยี่ยเฉินเฟิงยืนตัวตรงนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับปืนเหล็ก ทำการป้องกันพลังอันรุนแรงที่เหลียนวั่นซงปลดปล่อยออกมา เอ่ยขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
"เ้า…"
เมื่อครู่นี้เหลียนอวี้หลงเป็ฝ่ายเสนอตัวยอมต่อให้เยี่ยเฉินเฟิงสามกระบวนท่าจริงๆ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเป็หมูหลอกกินเสือ มีพลังที่แท้จริงอันน่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนั้น เพียงสามกระบวนท่าก็สามารถทำให้เหลียนอวี้หลงาเ็สาหัสได้
เมื่อเห็นบุตรชายของตนเองต้องอยู่ในสภาพอเนจอนาถ เหลียนวั่นซงก็ไม่อาจข่มกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้จริงๆ หากวันนี้ยอมปล่อยให้ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ เขาคงได้อับอายขายขี้หน้า กลายเป็ตัวตลกของเมืองไป๋ตี้กันพอดี
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือพลังที่แท้จริงและพร์ของเยี่ยเฉินเฟิงทำให้เขารู้สึกถูกคุกคาม เพื่อกำจัดตัวอันตรายในภายภาคหน้าทิ้งไป เหลียนวั่นซงจึงอยากจะฆ่าเยี่ยเฉินเฟิงให้ตายตกโดยเร็ว
จิตอสูรแมงป่องตัวสีดำสนิทปรากฏขึ้นซ้อนทับกับร่างกายของเขา มันเล็งเป้าไปทางเยี่ยเฉินเฟิงซึ่งอยู่บนเวทีประลอง
“เหลียนวั่นซง เ้าคิดจะทำอะไร? เ้าไม่สำเหนียกฐานะของตนเองบ้างหรืออย่างไร?”
ในตอนที่เหลียนวั่นซงหมดความอดทนและคิดจะลงมือสังหาร เสียงกัมปนาทราวอัสนีบาตรก็ดังขึ้นกระทบโสตประสาท ไป๋ซีซานผู้เป็ดั่งเสาหลักค้ำจุนตระกูลไป๋และครองตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไป๋ตี้ลุกพรวดขึ้นมา เอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตาเฒ่าไป๋ เ้าคิดจะปกป้องเด็กคนนี้หรือ?” เหลียนวั่นซงถามขึ้นด้วยใบหน้าถมึงทึง
“เฉินเฟิงเป็ผู้มีพระคุณของข้า ในยามที่เขาถูกผู้อื่นรังแกข้าย่อมต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ” ไป๋ซีซานกล่าวอย่างโอหัง ไม่คิดจะไว้หน้าเหลียนวั่นซงแม้แต่น้อย
“ผู้มีพระคุณงั้นหรือ เป็ไปไม่ได้!” เหลียนวั่นซงเบิกตากว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ไป๋ซีซานเป็บุคคลระดับไหนกัน เขาเป็ถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไป๋ตี้ ปรมาจารย์อสูรมายาระดับห้า เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนอย่างเยี่ยเฉินเฟิงจะมีปัญญาช่วยชีวิตเขาจากพญามัจจุราชได้อย่างไร
“ประมุขเหลียน ข้าเห็นว่าอวี้หลงาเ็หนักยิ่งนัก เื่เร่งด่วนที่สุดในยามนี้คือการนำตัวเขาไปรักษานะ” เ้าสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ที่ััได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดจึงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา จำต้องลุกขึ้นออกหน้าไกล่เกลี่ย
“ก็ได้ๆๆ ข้าไปก็ได้”
มีไป๋ซีซานคอยหนุนหลังเช่นนั้น เหลียนวั่นซงจะไปกล้าลงไม้ลงมือได้อย่างไร เขาทำได้เพียงอุ้มร่างไร้สติของเหลียนอวี้หลงแล้วเดินออกไปอย่างอับจนหนทาง
หลังจากเหลียนวั่นซงและพรรคพวกจากไปหมดแล้ว ตี๋วั่นเสียนที่เดิมคิดจะมาดูเื่สนุกก็ไม่กล้ารั้งอยู่นาน รีบเดินคอตกหนีออกไปทันที
“เอาล่ะ เริ่มการประลองต่อได้”
เ้าสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้เหลือบมองแผ่นหลังของพวกเหลียนวั่นซงที่เดินออกไป ก่อนจะประกาศให้ประลองต่อได้
ทว่าเมื่อได้เห็นพลังรบอันน่ากลัวของเยี่ยเฉินเฟิงกับตาตัวเอง เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ไหนเลยจะกล้าขึ้นเวทีไปท้าประลองด้วย
“ดูเหมือนอันดับหนึ่งของการทดสอบปลายปีครั้งนี้จะต้องเป็ของเยี่ยเฉินเฟิงแล้วล่ะ จากพลังและพร์ที่เขาแสดงออกมาให้เห็น แม้จะอยู่ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ก็น่าจะโดดเด่นเฉิดฉายได้ไม่ยาก” ไป๋ซีซานเผยรอยยิ้มบางๆ เอ่ยปากขึ้นด้วยความรู้สึกชื่นชมเยี่ยเฉินเฟิงที่รับมือทุกสถานการณ์ได้อย่างสุขุม
“ด้วยพลังที่แท้จริงของเยี่ยเฉินเฟิง อันดับหนึ่งย่อมต้องเป็ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” ไป๋ซีหย่าลอบมองเยี่ยเฉินเฟิงที่ยืนตัวตรงผ่าเผย สองมือไพล่หลังท่ามกลางแสงตะวันที่ตกกระทบร่างกาย ดวงตาของนางเผยแววหลงใหลอยู่เล็กน้อย
ไม่ใช่แค่แววตาของไป๋ซีหย่าคนเดียวที่เผยความหลงใหลออกมา แม้แต่แววตาของเยี่ยจื่อหลิงและเฉียวจิ้งยวนยังมีบางอย่างผิดแปลกไปจากเดิมเลย ทว่าสิ่งที่ปรากฏในแววตาของเฉียวจิ้งยวนกลับเป็ความเศร้าใจ เศร้าใจที่ตอนแรกตนเองเลือกจะเหินห่างกับอีกฝ่ายในยามที่เขาตกต่ำ จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามีรอยร้าว
“อะไรกัน ไม่มีใครคิดจะขึ้นมาท้าประลองแล้วหรือ?” เ้าสำนักที่ยืนรออยู่บนสนามประลองเห็นว่าเวลาเลยผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว ก็ยังไม่มีใครกล้าขึ้นมาประลองฝีมือกับเยี่ยเฉินเฟิงเลยแม้แต่คนเดียว จึงประกาศเสียงดังลั่น “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะขอประกาศอย่างเป็ทางการว่าเยี่ยเฉินเฟิงคืออันดับหนึ่งในการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้”
