หลักการปลดปล่อยพลังปราณรบออกมาภายนอกนั้นง่ายดาย ขอเพียงเป็ผู้ที่สามารถฝึกยุทธ์ได้ล้วนทำเป็ทุกคน แน่นอนว่าเย่ชิงหานก็ทำเป็ ก่อนที่จะเดินทางมาเย่เทียนหลงมอบหนังสือมาให้เขากองใหญ่ หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่สอนวิธีปลดปล่อยพลังปราณรบออกมาภายนอกได้อย่างรวดเร็วและดุดันที่สุดอยู่
พลังฟ้าดินหลังจากที่ดูดซับเข้ามาภายในร่างกายก็จะถูกเปลี่ยนเป็พลังปราณรบเก็บสะสมไว้ในร่าง ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่ได้ทะลวงจุดชีพจรทั้งหมดหรือยังไม่ได้สร้างตันเถียนขึ้นมาก็ยังสามารถนำพลังปราณรบที่อยู่ในร่างปลดปล่อยออกมาได้เช่นกัน แต่เนื่องจากพลังปราณรบมีปริมาณน้อยและไหลเวียนได้ช้า ดังนั้น แม้จะปลดปล่อยออกมาก็ไม่สามารถรวมตัวกันได้ จึงไม่ต้องพูดถึงเื่นำไปโจมตีทำร้ายคนเลย
แต่หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธ์สามารถทะลวงจุดชีพจรทั้งหมดและสร้างตันเถียนขึ้นมาได้ อาศัยจุดชีพจรทั้งสิบสองแห่งและตันเถียนที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน พลังปราณรบก็จะมีมากขึ้นและสามารถไหลเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ได้อย่างต่อเนื่อง และราบรื่นขึ้น ด้วยเหตุนี้พลังปราณรบที่ถูกปลดปล่อยออกมาจึงมีอยู่อย่างพอเพียงจนสามารถรวมตัวกันขึ้นมาได้ รวมตัวกลายเป็กลุ่มก้อนผลึกพลังงานที่สามารถใช้ทำร้ายศัตรูได้ หรืออาศัยการะเิของพลังสามารถสร้างการทำลายล้างที่รุนแรงให้เกิดขึ้นได้
ภายในรถม้าที่กว้างใหญ่ เย่ชิงหานนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนเตียง เสียงเกือกม้าและเสียงล้อรถที่ดังถี่อยู่อย่างต่อเนื่องภายนอกไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อเขาแม้แต่น้อย เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปยังจุดชีพจรและตันเถียนเพียงเท่านั้น
เขาแบ่งพลังปราณรบที่กำลังหมุนเวียนอยู่ภายในกายออกมาสายหนึ่ง ค่อยๆ บังคับให้ไหลไปยังนิ้วมือซ้ายทั้งห้า จุดชีพจรเส้นประสาทในร่างกายของคนนั้นมีมากมายและซับซ้อน แต่ที่อยู่ใกล้ิัที่สุดและมีมากที่สุดนั้นอยู่ที่นิ้วมือทั้งสิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ้วมือแต่ละข้างล้วนมีเส้นชีพจรเชื่อมต่ออยู่ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ส่วนมากในทวีปล้วนเลือกนิ้วมือทั้งสิบเป็เสมือนทางลัดในการปลดปล่อยพลังปราณรบออกมา พูดง่ายๆ ก็คือเลือกปล่อยพลังปราณรบออกมาทางปลายนิ้วมือทั้งสิบ เย่ชิงหานก็เลือกทำตามคนรุ่นก่อนๆ ปล่อยพลังปราณรบออกมาจากปลายนิ้วมือด้วยเช่นเดียวกัน พลังปราณรบปริมาณเบาบางพวยพุ่งออกมาจากนิ้วมือซ้ายทั้งห้าแล้วค่อยๆ รวมตัวกันอยู่ใจกลางฝ่ามือ เย่ชิงหานไม่กล้าประมาทยังคงรักษาระดับพลังปราณรบให้ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง อาศัยนิ้วมือซ้ายทั้งห้าและฝ่ามือ พลังปราณรบค่อยๆ รวมตัวและจับตัวกันขึ้น
หึ่ง!
พลังปราณรบที่อยู่ใจกลางฝ่ามือถูกบีบอัดอย่างต่อเนื่องด้วยท่ามือที่แปลกประหลาดของเย่ชิงหาน ฉับพลันนั้นเองพลังปราณรบที่อยู่ใจกลางฝ่ามือราวกับลูกบอลที่มีแรงดีด มันดีดตัวลอยขึ้นไปจากใจกลางฝ่ามือของเขาแล้วเลือนหายไปในอากาศ
“อืม! ล้มเหลว ดูท่าจุดที่ยากที่สุดของการปลดปล่อยพลังปราณรบออกมาภายนอกคือการควบคุมพลังปราณรบสินะ” สำหรับความล้มเหลวในครั้งแรกไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้แต่อย่างใด แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมาย อาศัยแค่เพียงสมาธิและการฝึกฝนบ่อยๆ ให้เกิดความชำนาญมากยิ่งขึ้นก็เท่านั้น ซึ่งไม่มีทางลัดหรือเทคนิคลับใดๆ ให้เลือกเดิน
เอาใหม่! เย่ชิงหานหลับตาลงไปอีกครั้ง ทำจิตใจให้สงบและเริ่มทำการฝึกฝนการปลดปล่อยพลังปราณต่อ
ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม...ครั้งที่ห้าสิบ
หนึ่งวัน สองวัน...สี่วัน
จนกระทั่งถึงค่ำของวันที่ห้า ในที่สุดเย่ชิงหานก็เดินออกมาจากภายในรถม้า เขาถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วทำการยืดเส้นยืดสายบิดคอไปมา จากนั้นสายตามองไปยังพวกเฟิงจื่อที่นั่งล้อมวงกันอยู่ไม่ไกลออกไป เขายิ้มออกมาพร้อมกับกระโดลงจากรถม้าไป
“นายน้อยฝึกฝนเสร็จแล้ว?” เย่สือชีที่นั่งคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ รถม้าอยู่ตลอดมองเห็นเย่ชิงหานออกมาจากรถม้าจึงเดินยิ้มเข้าไปต้อนรับ
“อืม...ไป! ไปดื่มเหล้าเป็เพื่อนข้าหน่อย!” เย่ชิงหานเก็บกดมาหลายวันกว่าจะสามารถควบคุมพลังปราณรบให้ปลดปล่อยออกมาภายนอกได้อย่างชำนาญ ตอนนี้อารมณ์ดีอย่างที่สุดโบกมือบอกเย่สือชีเสร็จจึงรีบมุ่งหน้าตรงไปยังกองไฟก่อน
“เอ่อ! นายน้อยหานเชิญนั่งตรงนี้!”
“นายน้อยหานขยันฝึกฝนเสียจริงๆ!”
“สวัสดีนายน้อย!”
“สวัสดีนายน้อย!”
ทุกคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่มองเห็นเย่ชิงหานเดินมาแต่ไกล เฟิงจื่อกับฮวาเฉ่ารีบลุกขึ้นยืนทักทายในทันที ส่วนกองกำลังเทพแห่งความตายต่างลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำโดยพร้อมเพรียงกัน พวกตงฟางเตา หนานกงเชียงต่างรีบละทิ้งอาหารที่อยู่ในมือเดินออกมาต้อนรับ
“อะไรกันพวกเ้า? ข้าเคยบอกไปแล้วว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองเยอะ พวกเ้ากลับไปดื่มกินกันตามเดิมเดี๋ยวข้าจะไปพูดคุยกับพวกนายน้อยเฟิง!” เย่ชิงหานถลึงตามองยับยั้งอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของพวกตงฟางเตา พร้อมกับสะบัดบอกให้พวกเย่สือชีทำตัวตามสบายเช่นกัน ส่วนตนเองเดินไปยังทิศทางที่พวกเฟิงจื่ออยู่ “เฟิงจื่อ ฮวาเฉ่า หลงสุ่ยหลิวเตรียมเหล้าไว้ได้เลยวันนี้ข้าจะมาดื่มเพื่อเป็การไถ่โทษ”
“ได้เลย! ข้าเฟิงจื่อชอบนิสัยของเ้าตรงนี้แหละ คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!” เฟิงจื่อตบโต๊ะลงไปฉาดหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ ขึ้น ส่งสัญญาณบอกให้ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ ไปจัดเตรียมเหล้ามา
“เฟิงจื่อเบามือหน่อย นี่มันไม่ใช่โต๊ะหินอ่อนที่บ้านเ้านะ ตบพังไปแล้วจะเอาที่ไหนมาใช้ ยังเหลืออีกสองวันกว่าจะถึงที่หมาย เดี๋ยวก็ได้นั่งกินข้าวบนพื้นกันพอดี” ฮวาเฉ่าถลึงตามองเฟิงจื่อครั้งหนึ่ง จากนั้นหันหน้ามายิ้มให้กับเย่ชิงหาน
“ถูกต้อง นายน้อยเฟิงเห็นนายน้อยหานมาถึงก็ตบโต๊ะ ควรจะถูกลงโทษไปด้วยสักไหหนึ่ง” หลงสุ่ยหลิวแม้จะไม่ได้ลุกขึ้นยืนต้อนรับเย่ชิงหาน แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูมีแววของความพูดเอาอกเอาใจอยู่นิดหน่อย
“ไหหนึ่งก็ไหหนึ่งสิใครกลัวกัน? มาดูกันว่าคืนนี้ใครจะเมาก่อนใคร?” เฟิงจื่อมองตาโตขึ้นกำลังจะตบโต๊ะลงไปอีกที พลันนึกถึงคำของฮวาเฉ่าขึ้นมาได้เลยเปลี่ยนไปตบขาตนเองแทน
“คิกๆ ท่าทางคุณชายทั้งหลายจะมีความสุขกันจัง ไม่ทราบว่าชิงเฉิงจะขอเข้าร่วมดื่มกับพวกคุณชายสักแก้วจะได้หรือไม่?” เสียงที่ไพเราะราวกับเสียงของนกขมิ้นดังขึ้นมาแต่ไกล ทุกคนต่างหันหน้าไปมองเห็นเงาร่างสีขาวที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมโชยมา ใบหน้าของทุกคนเริ่มมีอาการกระอักกระอ่วนขึ้น
“ทำไมหรือ? คุณชายทั้งหลายไม่ชอบที่ข้ามาที่นี่หรืออย่างไร?” เยว่ชิงเฉิงอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงสีขาวใบหน้ามีผ้าคลุมหน้าสีขาวปิดอยู่ ดวงตาคู่ไข่มุกสีดำทอประกายแสงแวววาว
“หาเป็เช่นนั้นไม่! ดูเ้าพูดเข้าสิ น้องสะใภ้มีเวลามาร่วมดื่มด้วยพวกเราดีใจจนแทบตั้งตัวไม่ทันเลยก็ว่าได้!” เฟิงจื่อตั้งสติกลับมาได้ก่อนหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับพูดออกมา รีบจัดแจงหาเก้าอี้มาให้นาง
“เอ่ออ...!” ใบหน้าของเย่ชิงหานปรากฏเส้นสีดำขึ้นหลายสาย คำเรียกขานเช่นนี้มันออกจะ... จากนั้นถลึงตามองเฟิงจื่อแล้วเอามือถูกันไปมาแล้วหันไปพูดกับเยว่ชิงเฉิง “แม่นางเยว่ชิงเฉิงเชิญนั่ง!”
“ถูกต้องๆ น้องสะใภ้ เชิญๆ” ฮวาเฉ่าและหลงสุ่ยหลิวหลังจากดึงสติกลับคืนมาได้ ต่างก็ข่มความรู้สึกผิดหวังที่อยู่ภายในใจแล้วรีบพากันพูดออกมา
ตรงกันข้ามเย่ชิงหานกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแทน เยว่ชิงเฉิงทำตัวเป็ธรรมชาติอย่างมาก นางไม่สนสายตาของผู้คนทั้งหลายทั้งใกล้และไกลที่มองมา นางนั่งลงไปอย่างง่ายดายแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คิกๆ ข้าว่าเรียกชิงเฉิงอย่างเดิมจะดีกว่า เรียกน้องสะใภ้ฟังแล้วดูขัดๆ อย่างไรก็ไม่รู้”
“แหะๆ แม่นางชิงเฉิง เรียกว่าน้องสะใภ้เป็เื่ที่ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องเรียก แต่ในเมื่อเ้าไม่เคยชินก็เอาตามที่ว่าก็แล้วกัน เ้าพูดว่ามาดื่มสักแก้วและที่นี่มีเพียงเหล้าเท่านั้น เ้ามีผ้าปิดหน้าอยู่คงไม่สะดวกที่จะดื่มแน่ใช่ไหม?” เฟิงจื่อจากที่ผิดหวังหงอยเหงาที่ไม่ได้ถูกเลือก ตอนนี้อารมณ์กลับมาเป็ปกติจึงพูดออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้นายน้อยหานดื่มแทนก็แล้วกันเป็อย่างไร?” หลงสุ่ยหลิวหัวเราะแหะๆ ออกมา ยิ้มอย่างเจิดจ้าและมีความสุข คิดในใจว่าวันนี้จะต้องมอมเหล้าเย่ชิงหานให้นอนหมอบไปกับพื้นให้ได้ ทั้งสนามรบและสนามรักล้วนพ่ายแพ้จึงเตรียมที่จะใช้สนามเหล้ากู้หน้าคืนมา
“ถูกต้อง ดูท่าว่าจะไม่สะดวกอย่างที่ว่าจริงๆ” ฮวาเฉ่ายิ้มอย่างชั่วร้ายมองไปยังเย่ชิงหานเพื่ออยากดูว่าเขาจะแสดงออกมาอย่างไร
“ไม่สะดวกก็ไม่ต้องดื่ม ส่วนของนางนับรวมเข้าเป็ของข้าก็แล้วกัน มา...ข้าขอดื่มไถ่โทษก่อนหนึ่งไห!” เย่ชิงหานยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน ยกไหเหล้าที่อยู่ในมือชูไปยังทุกคน จากนั้นจึงยกขึ้นดื่ม
ผู้คนในทวีปัเพลิงฝึกยุทธ์มาั้แ่เด็ก สภาพร่างกายล้วนไม่เลว การดื่มเหล้าที่ไม่ต้องพึ่งเทคนิคความสามารถอะไรเช่นนี้ใครๆ ต่างก็ดื่มเป็ เย่ชิงหานเองรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหล้าในโลกนี้ไม่มีดีกรีผสมอยู่หรืออย่างไร หรือว่าสภาพร่างกายของตนเองมีความพิเศษเฉพาะ ั้แ่เล็กก็ไม่เคยดื่มเหล้า แต่หลังจากที่ดื่มเหล้าเมื่อตอนที่อยู่เมืองหมันในครั้งนั้นถึงได้รู้ว่า หากตนเองคิดจะดื่มจริงๆ การดื่มเหล้าไม่ได้ต่างอะไรจากการดื่มน้ำเลย ดื่มลงไปเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลยแม้แต่น้อย
“มาเลย เคยกลัวใครที่ไหนกันเล่า?” เฟิงจื่อทำตาโตแสดงออกว่าไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน ฮวาเฉ่าและหลงสุ่ยหลิวต่างก็ถูหมัดถูฝ่ามือเตรียมที่จะลงสู่สนามประลองเช่นกัน แม้สนามรักสู้ไม่ได้ พวกเขาไม่เชื่อว่าอาศัยพวกเขาสามคนจะดื่มแพ้เย่ชิงหานเพียงคนเดียว
าสนามหนึ่งที่ปราศจากการเข่นฆ่าและควันไฟได้เริ่มขึ้น เนื่องจากเยว่ชิงเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ าจากที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุใดๆ เปลี่ยนเป็าตะลุมบอนขึ้น ทั้งสามเห็นได้ชัดว่ามีเจตนายืนอยู่ข้างเดียวกัน แต่เย่ชิงหานก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด เริ่มแรกดวลกับเฟิงจื่อก่อนโดยการดื่มสามไหรวด ทำเอาเฟิงจื่อเมาหลับหมดสติไป จากนั้นหันมาดวลกับฮวาเฉ่าที่มองมายังเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอีกสามไหรวด ทำเอาฮวาเฉ่าเมาพับหมดท่าไปเหมือนกัน สุดท้ายหันไปดวลกับหลงสุ่ยหลิวอีกสามไหรวดจนหลงสุ่ยหลิวเมาล้มลงไปนอนหมอบอยู่ใต้โต๊ะ
เยว่ชิงเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เบิกดวงตาคู่ไข่มุกสีดำจ้องมองเย่ชิงหาน หลังจากที่เห็นหลงสุ่ยหลิวล้มพับลงไป ส่วนเย่ชิงหานเพียงอาการหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและดวงตายังคงแจ่มใสดังเดิม นางจึงหัวเราะคิกๆ แล้วพูดขึ้น “ตระกูลเย่ของเ้ามีเคล็ดวิชาลับที่ใช้ในการดื่มเหล้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“เหอะๆ แน่นอนว่าไม่มี ทั้งหมดล้วนอาศัยสภาพร่างกายที่ค่อนข้างไม่เลวของข้าล้วนๆ!” เย่ชิงหานลูบคลำท้องที่พองโตขึ้นมาจากน้ำเหล้า จากนั้นเรอออกมาทีหนึ่งก่อนที่ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าและกำลังทำท่าจะเดินออกไป
“เ้าจะไปไหน? ้าให้ข้าไปเป็เพื่อนหรือไม่?” เยว่ชิงเฉิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“ไม่ต้อง ข้าจะไป...ชิ้งฉ่อง รู้สึกจะดื่มมากเกินไป!” เย่ชิงหานตอบกลับมาด้วยเสียงคลุมเครือพร้อมกับร่างของเขาเดินห่างออกไป เยว่ชิงเฉิงได้ยินถึงกับทำให้ใบหน้าท่อนบนที่ปราศจากผ้าปิดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในทันทีด้วยความเขินอาย นางกวักมือเรียกเย่สือซานแล้วบอกให้เขาไปดูแลเย่ชิงหาน จากนั้นจึงรีบเดินกลับไปยังรถม้าของตนเองอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความเขินอายนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้