“ละครสนุกก็ย่อมต้องเลือกสถานที่หน่อย ที่นั่นคนเยอะ ไม่มีที่นั่งในตำแหน่งที่ดีพอ เปิ่นหวางเลือกมุมสวยในที่ลับเอาไว้แล้ว รับรองว่าเ้าได้ชมอย่างสนุกสนานแน่นอน” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มเ้าเล่ห์ แล้วเอนหลังพิงหมอนใบใหญ่ในท่วงท่าผ่อนคลาย สายตาตวัดผ่านใบหน้าของโม่เสวี่ยถงเห็นชัดว่ายังคงมีความหวาดกลัวอยู่รางๆ
เพราะไป๋อี้เฮ่าหรือ?
แววตาของเขาพลันนิ่งขรึมลงหลายส่วน “เมื่อครู่เ้าเห็นไป๋อี้เฮ่า?” เขาเลิกคิ้วขึ้นถามด้วยรอยยิ้ม เบื้องลึกดวงตาวาววับ
“ใช่ คุณชายไป๋ก็ไปที่แบบนั้นด้วยหรือ” โม่เสวี่ยถงถามอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่คิดว่าไป๋อี้เฮ่าจะไปปรากฏตัวในสถานที่แบบนั้น เซียงหม่านโหลวเป็สถานที่ที่มีบรรยากาศคึกคัก ขาดความหรูหราสง่างาม แเื่มากมาย มีแต่เสียงคุยดังจอแจ ในความรู้สึกของนางไป๋อี้เฮ่าน่าจะเป็คนประเภทที่ชอบอยู่บนหอสูงอันเงียบสงบ นั่งบรรเลงพิณแล้วจิบชาทำนองนั้น จะมาอยู่ในสถานที่ครึกครื้นแบบนั้นได้อย่างไร
“ทำไมจะไปไม่ได้เล่า ห้องนั้นในหอเซียงหม่านโหลวเปิดรับรองเขาตลอดทั้งปี หรือว่าถงเอ๋อร์คิดว่าคนผู้นั้นเป็เซียนไปแล้วจริงๆ” เฟิงเจวี๋ยหร่านมองนางคล้ายยิ้มแต่ไม่ใช่ ยามนี้แสงจันทร์ทอแสงผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถม้าที่เปิดอยู่ เงาสลัวทอดผ่านบดบังมุมที่งดงามที่สุด ดวงตาสีนิลทรงเสน่ห์เปล่งประกายดูเหมือนจะมีความคิดบางอย่าง
จากมุมที่โม่เสวี่ยถงนั่งอยู่เห็นไม่ชัด แต่จากสายตาเป็ประกายระยิบระยับแบบนั้น นางกลับััได้ว่าเขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว คนผู้นี้ช่าง... เอาใจยากยิ่ง โม่เสวี่ยถงถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคไหนของตนเองไปยั่วยุให้เขาไม่พอใจอีกแล้ว ถือโอกาสเปลี่ยนเื่คุยดีกว่า!
“เมื่อครู่คนที่ขึ้นมาคือเยี่ยนอ๋อง”
นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็คำยืนยันอย่างมั่นใจ เมื่อครั้งงานเลี้ยงร้อยบุปผานางแอบมองเยี่ยนอ๋องอยู่ จึงรู้ว่าบุรุษที่ดูสูงศักดิ์ซึ่งถูกคุ้มครองให้อยู่ตรงกลางผู้นั้นคือเยี่ยนอ๋อง แต่ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องที่ดูสูงส่งสง่างามมาโดยตลอด ไฉนจึงดูกระวนกระวายใจเยี่ยงนั้น
เฟิงเจวี๋ยหร่านยังมิได้ให้คำตอบ รถม้าก็หยุดลงก่อน เขาช่วยยกหมวกขึ้นคลุมศีรษะให้โม่เสวี่ยถงอย่างใส่ใจ แล้วจึงค่อยจัดการกับตนเอง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็ะโลงจากรถม้าไปรออยู่ข้างล่าง ก่อนจะยื่นมือไปประคองนางลงมา
รถม้าหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ซึ่งจุดโคมสว่างไสวแขวนเรียงอยู่สองด้าน ภายในเงียบสงบอย่างยิ่ง ยามนี้แเื่คงจะออกไปเดินเที่ยวชมโคมไฟกันอยู่ด้านนอก เฟิงเจวี๋ยหร่านพาโม่เสวี่ยถงขึ้นไป เสมียนที่ปรกติจะยืนคิดบัญชีอยู่หลังโต๊ะก็ยังไม่กลับ เสี่ยวเอ้อร์ซึ่งมีผ้าพาดอยู่บ่าผืนหนึ่งยืนเช็ดโต๊ะอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่เห็นพวกเขา มีเพียงเสี่ยวเอ้อร์ที่เฝ้าอยู่ตรงบันไดท่าทางคล่องแคล่วเข้ามาต้อนรับ แล้วพาพวกเขาสองคนขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม
เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นเป็ห้องใหญ่ที่ตกแต่งอย่างหรูหราเหมือนในวังหลวง ฉากกั้นคนงามเก้าบานกั้นห้องแบ่งออกเป็สองส่วนด้านนอกกับด้านใน บนโต๊ะทำงานไม้หลิวตัวใหญ่ที่ด้านหน้ามีหนังสือวางอยู่สองสามเล่ม ด้านข้างประดับด้วยแจกันดอกเหมยช่องาม ให้กลิ่นอายสูงส่งสง่างาม หากไม่ทราบมาก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน คนอาจเข้าใจว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเป็ห้องหนังสือในบ้านผู้สูงศักดิ์เป็แน่
“พวกเรามาที่นี่ทำไมหรือ” โม่เสวี่ยถงเหลือบมองพิจารณาภายในห้องอย่างเงียบๆ แล้วถามด้วยความสงสัย
“ละครสนุกใกล้จะเริ่มแล้ว มานี่... เร็วๆ” เฟิงเจวี๋ยหร่านเดินอ้อมไปด้านหลังฉากกั้น แล้วเรียกนางเข้าไป
เมื่อเดินอ้อมฉากกั้นไปแล้วก็เห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง ตั่งตัวนั้นกว้างมาก ด้านข้างยังมีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งวางอยู่ติดกัน เสี่ยวเอ้อร์ยกเชิงเทียนไปตั้งไว้บนนั้นอย่างระมัดระวัง ตามด้วยป้านชา เสร็จแล้วก็ก้มหน้าถอยออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้เรียบร้อย
“มานี่สิ” เฟิงเจวี๋ยหร่านกวักมือ
โม่เสวี่ยถงเดินไปนั่งบนตั่งอีกด้านหนึ่ง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้นานแล้ว ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง ที่นี่กับอาคารฝั่งตรงข้ามถูกกั้นด้วยแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง และผู้ที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าสายตาตนเองก็คือเฟิงเจวี๋ยเสวียนและหลิงเฟิงเยียน
ที่สำคัญที่สุดก็คือยามนี้นางเห็นชัดเจนว่าหลิงเฟิงเยียนซบอยู่ในอ้อมอกของเฟิงเจวี๋ยเสวียน ดูเหมือนว่าทั้งสองกำลังกอดกันอยู่ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม
ทันใดนั้นแสงเทียนก็ดับลง เบื้องหน้าพลันมืดสลัว เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของเฟิงเจวี๋ยหร่านดังข้างหู “โรงเตี๊ยมแห่งนี้กับหอเซียงหม่านโหลวอยู่ใกล้กันมาก แต่เพราะที่นี่มีแม่น้ำเล็กๆ กั้นกลางอยู่จึงไม่เป็ที่ดึงดูดสายตาผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดับเทียนลงแบบนี้แล้ว คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามย่อมไม่รู้ว่ามีคนแอบสอดแนมพวกเขา จุดนี้เป็ตำแหน่งที่ดีที่สุด ทั้งความสูงและขนาดห้องเรียกได้ว่าถอดกันมาเลยทีเดียว”
ตำแหน่งนี้อยู่ตรงข้ามกับห้องนั้นพอดี? ความสูงก็เท่ากัน? เขารู้ชัดเจนถึงเพียงนี้เชียว ตกลงเซวียนอ๋องผู้นี้เป็แค่นักเที่ยวจอมเสเพลที่ชอบวางโตไม่รู้จักสงบเสงี่ยมจริงๆ หรือ
ดูเหมือนว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านจะััได้ถึงความตกตะลึงและความฉงนสงสัยของโม่เสวี่ยถง จึงเอ่ยปากเสียงเนิบ “ทั้งหอเซียงหม่านโหลวและโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็ของข้าทั้งสิ้น ดังนั้นย่อมรู้ว่าเสด็จพี่ใหญ่จองห้องรับรองไว้ จึงตั้งใจมอบห้องนั้นให้เขาเป็พิเศษ มิเช่นนั้นข้าจะพาเ้ามาดูละครฉากเด็ดที่นี่ได้อย่างไร”
เขามาบอกเื่พวกนี้กับนางทำไม ไม่เกี่ยวข้องกับนางสักนิด นั่นมันไพ่ตายใบสุดท้ายของเขาต่างหาก
โม่เสวี่ยถงรู้สึกมานานแล้วว่าเซวียนอ๋องผู้นี้มิได้เรียบง่ายอย่างที่ตาเห็น ดูจากสีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่งยามที่ผจญกับมือสังหารเ่าั้ก็รู้ได้ หากมิใช่เพราะนาง เขาคงจัดการทุกอย่างได้สะดวกกว่านี้ และไม่ต้องาเ็อีกด้วย
ตัวตนของเขาที่เป็แบบนี้อันตรายที่สุด โม่เสวี่ยถงรู้ดีว่าหากเฟิงเจวี๋ยหร่านเป็เพียงอ๋องเ้าสำราญ ตนเองก็จะไม่มีภัยอันตรายมากนัก แต่ยามนี้แม้เขาไม่พูดนางก็รู้สึกได้ เพื่อ่ชิงตำแหน่งรัชทายาท เขาจำเป็ต้องเข้าไปสู่วังวนแห่งอำนาจ หนทางก้าวไปสู่ราชบัลลังก์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้น ต้องข้ามกองกระดูกและความตายไปเท่าไร แค่คิดก็หนาวสะท้านไปทั้งหัวใจแล้ว
นับั้แ่ได้กลับมาเกิดใหม่ าการชิงบัลลังก์คือสิ่งที่นางพยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองต้องเข้าไปพัวพันด้วยวิธีนี้ นางบีบชายเสื้อด้านหนึ่งของตนเองแน่น ขบริมฝีปากในความมืด ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของตนเอง “เพราะเหตุใด?”
เพราะเหตุใดจึงต้องบอกนาง ไยจึงกล้าและทำไปเพื่ออะไร...
เื่ใหญ่ของบ้านเมืองเยี่ยงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยสักนิด หากเป็เมื่อก่อนป่านนี้คงไม่พูดไม่จาหมุนตัวเดินออกไปให้ไกลจากคนผู้นี้ แล้วอยู่ให้ห่างจากอันตรายที่อาจทำลายวงศ์ตระกูล แต่ยามนี้นางยังคงนั่งอยู่ที่นี่อย่างสงบและถามต่อองค์ชายที่เข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ผู้หนึ่ง
โม่เสวี่ยถงรู้สึกว่าชีวิตของตนเองคล้ายกำลังจะพังทลาย ในค่ำคืนที่บรรยากาศงดงาม พลุไฟถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า ฝั่งตรงข้ามก็เป็บรรยากาศที่แสนละมุนละไม แล้วนางจะมาซักไซ้ไล่เลียงกับผู้อื่นไปเพื่ออะไร แม้แต่นางก็ยังถามตนเองว่าเพราะอะไร นั่นมีโทษใหญ่ถึงตัดหัวเชียวนะ นางควรจะหนีสิ มิใช่มานั่งถามคำถาม
คิดว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามเป็พวกไม่มีพิษมีภัยหรืออย่างไร?
“ถ้าไม่อยากตายก็มองไปข้างหน้าอย่างเดียว จะถามเหตุผลให้มากมายไปทำไม หัวเล็กๆ ของเ้าคิดอะไรนักหนา รีบมาดูเร็ว นั่น! มาแล้วๆ” ดวงตานิ่งลึกในความมืดของเฟิงเจวี๋ยหร่านจ้องมองที่โม่เสวี่ยถง รู้สึกว่าคำถามของผู้ที่อยู่ข้างกายยากที่จะตอบได้จริงๆ จึงยื่นมือไปลูบศีรษะนาง ริมฝีปากผลิยิ้มอ่อนโยน แล้วชี้ไปที่ห้องฝั่งตรงข้าม
เขาไม่ได้อธิบายอันใด แต่รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
…
เฟิงเจวี๋ยเสวียนกับหลิงเฟิงเยียนมาถึงหอเซียงหม่านโหลวได้ครึ่งชั่วยามแล้ว หลังจากชมพลุไฟก็ไปเดินชมตลาดอีกครู่หนึ่ง หลิงเฟิงเยียนรู้สึกปวดขา ปรกตินางประตูใหญ่ไม่ย่าง ประตูข้างไม่กราย เป็กุลสตรีที่เก็บตัวอยู่แต่ในเหย้าเรือน งานเลี้ยงน้ำชาอันใดก็น้อยครั้งนักที่จะเข้าร่วม เป็คุณหนูที่จวนติ้งกั๋วกงฟูมฟักประคบประหงมยิ่ง
แม้ว่าหลิงิเยี่ยนจะครองฐานะธิดาคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก แต่ด้วยนิสัยและหน้าตานางกลับไม่อาจข่มหลิงเฟิงเยียนได้ ในทางกลับกัน เมื่อในจวนมีอาหาร หรือมีสิ่งของดีๆ ก็มักจะตกเป็ของหลิงเฟิงเยียนก่อนเสมอ มิใช่หลิงิเยี่ยนธิดาคนโตที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งที่สุด
เนื่องจากมีฮองเฮาเป็ผู้เชื่อมสัมพันธ์ องค์ชายสามเฟิงเจวี๋ยเหล่ยซึ่งบัดนี้มีบรรดาศักดิ์เป็เยี่ยนอ๋องจึงมีมิตรภาพที่ดีกับจวนติ้งกั๋วกง เยี่ยนอ๋องเฟิงเจวี๋ยเหล่ยสูญเสียพระมารดาั้แ่ยังเล็ก ด้วยมารดาของเขาเป็หญิงสาวจากตระกูลเดียวกับฮองเฮา จึงถูกเลี้ยงอยู่ข้างพระยุคลบาทของพระนาง แม้จะมิได้ชื่อว่าเป็พระโอรสสายตรงอย่างแท้จริง แต่เพราะฮองเฮาทรงไร้พระโอรส จึงสนับสนุนเยี่ยนอ๋องทุกอย่างรวมถึงผูกสัมพันธ์กับตระกูลของตนเองด้วย
หลิงเฟิงเยียนกับเฟิงเจวี๋ยเหล่ยเติบโตมาด้วยกัน นับได้ว่าเป็คู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ แม้ว่าภายนอกหลิงเฟิงเยียนจะดูเป็สตรีอ่อนโยนใจกว้าง แต่แท้ที่จริงแล้วนางเป็คนเย่อหยิ่งทะนงตนเป็อย่างยิ่ง มิเช่นนั้นแล้วทั่วทั้งเมืองหลวงคงไม่มีข่าวลือแพร่ออกไปว่านางเป็หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง หากมิใช่ว่านางคอยชักใยอยู่เื้ั สตรีที่แทบจะมิได้ย่างกรายออกจากบ้านจะมีชื่อเสียงดีงามเยี่ยงนั้นได้อย่างไร
เื่งานแต่งงานของนาง ฮองเฮาเป็ผู้กำหนดให้แต่งเข้าราชวงศ์ไว้นานแล้ว เพียงแต่ยังมิได้กำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้นางแต่งเป็ชายาขององค์ชายพระองค์ไหน หลิงเฟิงเยียนย่อมมั่นใจในความงามและความสามารถของตนเอง จึงมีความมักใหญ่ใฝ่สูงไม่น้อย นางมองดูองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามอยู่เงียบๆ ทั้งสองพระองค์คือผู้มีโอกาสสูงสุดที่จะเป็ผู้สืบทอดราชบัลลังก์
ผู้ที่ฮองเฮาทรงหมายมั่นย่อมเป็องค์ชายสาม แต่นางย่อมมีแผนการของตนเอง ฉู่อ๋องเฟิงเจวี๋ยเสวียนสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม มีชื่อเสียงดีงามยิ่ง เขาทำให้นางรู้สึกใจเต้นได้มากกว่าเยี่ยนอ๋องเฟิงเจวี๋ยเหล่ย มิใช่ว่าเพราะฉู่อ๋องมีเสน่ห์มากมาย แต่เป็เพราะเหตุผลด้านความเหมาะสม นางรู้สึกว่าฉู่อ๋องมีโอกาสได้ชัยชนะมากกว่าเยี่ยนอ๋อง แต่ก็ย่อมทราบดีว่าเื่งานแต่งงานของตนเองอยู่ในมือของฮองเฮา แม้แต่บิดามารดาของตนก็ไม่มีอำนาจจัดการ
พระทัยของฮองเฮานางไม่อยากเข้าใจ นางรักษาความสัมพันธ์กับเยี่ยนอ๋องเอาไว้ แม้ไม่ชิดใกล้แต่ก็มิได้ห่างเหิน ไม่ว่าอนาคตจะเป็เช่นไร หากได้รับความรักจากอ๋องพระองค์หนึ่ง ย่อมเป็การเหลือหนทางให้ตนเองในภายภาคหน้าและถือว่าเป็เื่ดีอีกเื่หนึ่ง นางไม่อยากกลายเป็หมากในแผน่ชิงบัลลังก์ จึงจำเป็ต้องวางแผนไว้สำหรับตนเอง พระประสงค์ของฮองเฮานางมิอาจขัดขืนได้ แต่ก็ต้องแอบลงมือบางอย่างไว้บ้าง เพื่อให้ตนเองได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
เื่อะไรนางจะต้องให้สตรีอื่นมา่ชิงสิ่งที่ตนเองควรจะได้รับ
ครั้งนี้ฮองเฮาทรงจัดฉากให้นางได้พบกับเฟิงเจวี๋ยเสวียนครั้งแรกในวัง คุยกันสองสามประโยคก็ทรงอนุญาตให้นางกับเขาออกมาเที่ยวข้างนอกด้วยกัน ไม่ดูเป็เหตุการณ์ที่บังเอิญจนเกินไป หลิงเฟิงเยียนเป็คนฉลาด ฮองเฮาทรงมีรับสั่งบางอย่างกับนางไว้ชัดเจนแล้ว เมื่อครู่จึงเปรยว่าเมื่อยขาและฉวยโอกาสให้ฉู่อ๋องพากลับไปพักที่หอเซียงหม่านโหลว
ใครจะคาดคิดว่าพอเข้ามาถึงจะถูกคนเดินชน เป็เหตุให้เสื้อผ้าของนางเปรอะเปื้อน โชคดีที่คนผู้นั้นมีความเกรงใจ จึงให้คนออกไปซื้อชุดใหม่มามอบให้ อาภรณ์ที่คนผู้นั้นส่งมาเป็ชุดกระโปรงผ้าสีเขียวปักดิ้นทองลายขนนกยูง ตัวเสื้อใช้ไหมห้าสีปักลายดอกจวี๋ฮวา กุ๊นชายอาภรณ์ด้วยไหมทอง ถักรังดุมด้วยไหมเงิน อาภรณ์แบบนี้แค่ดูก็รู้ว่าราคาสูงลิบลิ่ว
เมื่อมาอยู่บนเรือนร่างของหลิงเฟิงเยียนก็ยิ่งขับราศีให้นางดูงดงามอ่อนช้อยปานบุปผา ยามเยื้องย่างดูมีเสน่ห์เย้ายวนเป็ธรรมชาติ
“เฟิงเยียนเสียมารยาท ทำให้ท่านอ๋องเห็นเื่ชวนหัวแล้ว” คนงามในกิริยาสะเทิ้นอายภายใต้แสงเทียนชวนให้คนหัวใจหวั่นไหว น้ำเสียงแม้จะเจือไปด้วยความเขินอาย แต่กลับฟังดูอ่อนหวานกว่าปรกติ
“คุณหนูรองหลิงเสียมารยาทที่ไหนกัน เปิ่นหวางต่างหากที่ไม่ถูกต้อง พาคุณหนูออกมาแต่กลับไม่ดูแลให้ดี นับว่าเป็ความเลินเล่อของตนเอง เปิ่นหวางไม่ทราบว่าคุณหนูรองหลิงชอบอะไร จึงขอให้สิ่งนี้แทนคำขอโทษ หวังว่าคุณหนูรองหลิงจะชอบ”
เฟิงเจวี๋ยเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางหยิบกล่องไม้แกะสลักงามวิจิตรออกมาใบหนึ่ง แล้วเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าหลิงเฟิงเยียน
“ท่านอ๋อง?” พวงแก้มของหลิงเฟิงเยียนแดงปลั่งราวกับลูกตำลึกสุก อ้ำอึ้งคล้ายไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด
“ลองเปิดดูสิ ดูว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบ พรุ่งนี้เปิ่นหวางจะเตรียมมาอีกชิ้นให้คุณหนูหลิงเป็การไถ่โทษ” เฟิงเจวี๋ยเสวียนยิ้มละมุน เอื้อมมือมาประคองหลิงเฟิงเยียนให้นั่งลง ปลายนิ้วไม่หนักไม่เบาััข้อมือของนาง วางตัวสุภาพเปี่ยมไปด้วยมารยาทสมคำเล่าลือ
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” หลิงเฟิงเยียนหน้าแดงซ่าน นั่งลงบนเก้าอี้ไม้หลิวที่วางอยู่ด้านข้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้