ตอนที่ซ่งตงซวี่เริ่มเคาะประตูบ้านสะใภ้ใหญ่อย่างโจวเจี๋ยก็เตรียมที่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้คนทั้งสี่แล้ว แต่กลับถูกหวังซิ่วอิงถลึงตาใส่ราวกับบอกเป็นัยว่า ให้กลับมานั่งที่เดิม
หวังซิ่วอิงหัวเราะเยาะ “จะเปิดประตูทำไมไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากกลับบ้านหรอกหรือ? งั้นก็ให้หล่อนหอบเด็กเหลือขอพวกนั้นไปตายอยู่ข้างนอกก็แล้วกัน!”
วันนี้ซ่งเป่าเถียนเข้านอนเร็ว อีกทั้งเขายังหูไม่ค่อยดีถึงเสียงเคาะประตูด้านนอกจะดังแค่ไหนเขาก็ไม่ได้มีทางได้ยินมัน ดังนั้นในบ้านตอนนี้จึงต้องฟังคำพูดของหวังซิ่วอิงแทน หากเธอบอกว่าไม่ให้เปิดประตูเช่นนั้นซย่านีกับลูกๆ ของเธอก็อย่าได้คิดที่จะเหยียบเข้าประตูมาได้เลย
ด้านซ่งตงซวี่กับซ่งวั่งซูนั้น เคาะประตูอยู่ด้านนอกราวสิบกว่านาทีแต่ในบ้านกลับก็ไม่มีใครลุกออกมาเปิดประตูให้พวกเธอเลย
ซ่งซุนซานกับลูกๆ เข้านอนกันหมดแล้ว ส่วนโจวเจี๋ยนั้นกำลังนั่งปะชุนกระเป๋านักเรียนที่ขาดของลูกสาวอยู่ข้างเตาไฟ ส่วนซ่งเหม่ยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าเธอไปได้ชุดเครื่องสำอางนั่นมาจากที่ไหน เพราะตอนนี้เธอกำลังนั่งส่องกระจกพร้อมกับทดลองแต่งหน้าเล่นๆ อยู่
ทว่าเสียงเคาะประตูของซ่งตงซวี่กับซ่งวั่งซูนั้นดังมาก พวกเขาร้องะโกันอยู่นาน หวังซิ่วอิงเดาว่าเพื่อนบ้านรอบๆ ด้านคงได้ยินกันหมดแล้ว ทุกคนล้วนพูดกันว่าเื่อื้อฉาวในบ้านไม่ควรแพร่งพรายไปสู่นอกบ้าน หวังซิ่วอิงก็แค่คิดจะสั่งสอนบทเรียนล้ำค่านี้ให้แก่ซย่านี เธอไม่ได้ตั้งใจจะไล่ซย่านีออกจากบ้านจริงๆ ปกติเธอมักจะรังแกซย่านีกับลูกๆ ของเธออยู่แล้ว ขอแค่ไม่เกินขอบเขตที่ซ่งเป่าเถียนรับได้ก็พอ หากเธอรังแกคนจนเกินไปเขาจะต้องไม่มีทางยอมแน่ๆ
แต่ตอนนี้กลับเป็เื่ขึ้นมาซะแล้ว ในบ้านไม่มีใครเตรียมทางลงไว้ให้เธอเลยสักคน เธอเองก็ไม่อาจเสียหน้าได้จะให้เธอกลืนน้ำลายตนเองก็ไม่ใช่เื่ ดังนั้นเื่นี้จึงคาราคาซังอยู่อย่างนี้
เวลานั้นเอง จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของอู๋ซูเจวียนเข้า
อู๋ซูเจวียนผู้นี้นับจากที่เธอถูกสหายแห่งสหพันธ์สตรีรับเลือกให้เข้าร่วมคณะ วันๆ ก็เอาแต่ถือขนไก่เป็ลูกศร[1] ชอบทำตัวยุ่งเื่ชาวบ้าน
ในบรรดาเพื่อนบ้านมากมายคนที่กวนใจหวังซิ่วอิงมากที่สุดก็คือหล่อนนี่แหละ
“ร้องแหกปากอะไรกัน! ดึกดื่นค่อนคืนแล้วจะร้องเรียกหาผีหรือไง!” หวังซิ่วอิงกระชากประตูให้เปิดออกอย่างเดือดดาล
“เหอะ หวังซิ่วอิงเธอก็อยู่บ้านนี่นา?” อู๋ซูเจวียนเห็นท่าทางใจร้ายของหวังซิ่วอิงที่มีต่อลูกสะใภ้เธอก็แสดงอาการเกรี้ยวโกรธขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเธอเจือแววเ็าเล็กน้อย “ฉันบอกว่าเธอน่ะ แก่มากแล้วก็เลยหูหนวกใช่ไหม? ลูกสะใภ้ของเธอยืนเคาะประตูอยู่ตั้งนานสองนานขนาดนี้ เธอไม่ได้ยินเลยหรือไง? ฉันว่าเธอคงจงใจล่ะสิท่า?!”
หวังซิ่วอิงยืนเท้าสะเอว “ใครจงใจกันฮะ! เธอก็ไม่แหกตาดูหน่อยล่ะ ว่าตอนนี้มันปาเข้าไปกี่โมงกี่ยามเข้าแล้วดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้คนในบ้านก็นอนอยู่บนเตียงกันแล้ว! คิดว่าฉันไม่ต้องใช้เวลาใส่เสื้อผ้าเลยหรือไง! จะให้ฉันเปลือยมาเปิดประตูให้เธอหรือ?” จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองไปทางซย่านี “แล้วดึกดื่นขนาดนี้เธอไปทำอะไรมา? เธอก็เป็แม่ลูกสามเข้าไปแล้วทำไมไม่สงบเสงี่ยมอยู่บ้านให้มันดีๆ? เธอดูสินี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว? ถ้าเธอไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้ งั้นก็ไสหัวออกไปซะ!”
การที่ผู้หญิงแต่งงานแล้วยังไม่กลับบ้านหลังสองทุ่มถือว่าเป็เื่ที่ใช้ไม่ได้จริงๆ
หากหวังซิ่วอิงจะไม่พอใจลูกสะใภ้เพราะเหตุนี้ก็ถือว่าเป็เื่ที่สมเหตุสมผลแล้ว อู๋ซูเจวียนถอนหายใจเบาๆ เธอขมวดคิ้วพลางไต่ถามซย่านี “ดึกดื่นเช่นนี้ เธอไปทำอะไรมา?”
เซี่ยงเหมยคิดจะออกหน้าพูดแทนซย่านีแต่เธอกลับถูกซย่านีจับแขนไว้ก่อน ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดทั้งหมดลงท้อง
ซย่านีถอนหายใจคล้ายกับลมหายใจหอบนี้จะทำให้ความข่มขื่นนับไม่ถ้วนสลายไป ก่อนเธอจะกล่าวต่อว่า “ฉันพาลูกๆ ไปกินข้าวที่บ้านพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยมาค่ะ พี่สะใภ้เซี่ยงเหมยใจดีรู้ว่าฉันกับลูกๆ อยู่ที่บ้านตระกูลซ่งแล้วไม่ค่อยได้กินข้าวกัน เธอก็เลยให้ฉันกับลูกรั้งอยู่กินข้าวเย็นด้วย พอกินเสร็จพวกเด็กๆ ก็ทำการบ้านที่บ้านพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยต่อ หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้วฉันถึงได้พาพวกเขากลับมาบ้านเป็ฉันเองที่โลภมากเกินไป ฉันแค่รู้สึกว่าบ้านของพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยนั้นดูอบอุ่นมาก พวกฉันถึงได้อยากรั้งอยู่บ้านของเธอให้นานขึ้นอีกนิด ฉัน...ความจริงแล้ว ฉันทนไม่ไหวจริงๆ ที่ต้องมาเห็นลูกๆ ยืนทนความหนาวแบบนี้...ป้าอู๋ ท่านดูมือของลูกชายคนรองของฉันสิ นี่ก็เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่อาการาเ็ที่ได้รับจากความเย็นตอนนั้นยังไม่หายดีเลย!”
เซี่ยงเหมยสบตากับเฝิงหย่ง พวกเขารู้ว่าซย่านีไม่อยากเปิดเผยเื่ที่ตนเองขายยางรัดผมเพื่อหาเงิน ดังนั้นคนทั้งสองจึงร่วมมือด้วย “ใช่แล้ว ฉันเองก็เห็นว่าพวกเด็กๆ น่าสงสารยิ่งนักถึงได้เรียกให้ซย่านีพาพวกเด็กๆ มากินข้าวที่บ้าน”
ป้าอู๋เข้าใจแล้ว นี่คงเป็เพราะหวังซิ่วอิงไม่ให้ลูกสะใภ้กินข้าวจนลูกสะใภ้ต้องพาลูกน้อยบากหน้าไปขอข้าวเพื่อนบ้านกิน!
นี่มันเื่อะไรกัน! ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนมาตั้งกี่ปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังมีเื่แม่สามีทำร้ายลูกสะใภ้อยู่อีก!
และสิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือหวังซิ่วอิงไม่เพียงแต่จะทำร้ายลูกสะใภ้ของตนเท่านั้น แต่เธอยังทำร้ายหลานแท้ๆ อีกด้วย!
“หวังซิ่วอิง เธอทำอะไรกันเนี่ย? เพื่อนบ้านในละแวกนี้ต่างก็รู้ว่าบ้านของเธอสถานการณ์ตอนนี้เป็เช่นไร เธอกำลังทำร้ายลูกๆ ของหานเจียงอยู่นะ ไม่ให้ลูกของหานเจียงกินข้าวแบบนี้มันเกินไปหน่อยไหม?” ครั้งนี้ป้าอู๋ทนมองข้ามเื่นี้ไปไม่ได้จริงๆ
ทันใดนั้นหวังซิ่วอิงก็รู้สึกผิดขึ้นมาแต่เธอก็ยังไม่ยอมรับ แถมยังเถียงข้างๆ คูๆ “ใครมันจะปล่อยให้ลูกหลานหิวกันเล่า พวกเราเก็บอาหารไว้ให้แล้วต่างหาก แต่ลูกสะใภ้กลับไม่ได้พาเด็กๆ มาบ้านเลยด้วยซ้ำไยจึงรู้ว่าที่บ้านไม่ได้ทำอาหารให้เธอ?”
ซย่านีเงยหน้ามองไปทางหวังซิ่วอิงแล้วทำท่าอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอเธอสบตาเข้ากับั์ตาดุร้ายของหวังซิ่วอิงแล้ว เธอก็หดตัวลงพร้อมกับกัดริมฝีปากของตนเบาๆ แล้วก้มหน้ามองพื้นอีกครั้ง
ตอนนี้เธอดูเหมือนลูกสะใภ้ที่ถูกรังแกและต้องยอมจำนนต่ออำนาจของแม่สามีโดยไม่กล้าพูดอะไรสักอย่าง
ภาพนี้ฉายชัดอยู่ในสายตาของอู๋ซูเจวียนทันที ยิ่งเป็การยืนยันว่าความจริงแล้วหวังซิ่วอิงนั่นแหละที่รังแกผู้อื่น
“เอาล่ะ นี่มันก็ดึกมากแล้ว อย่ามายืนดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ[2] อยู่ที่หน้าประตูบ้านอีกเลย ซย่านีเธอรีบพาเด็กๆ เข้าบ้านไปก่อนเถอะ” อู๋ซูเจวียนถลึงตามองหวังซิ่วอิงพลางชี้หน้าอีกฝ่ายว่า “ไม่ว่าเธอจะทำหรือไม่ได้ทำอาหารให้พวกเด็กๆ แต่ความจริงก็คือพวกเด็กๆ ยืนเคาะประตูมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เธอไม่ยอมเปิดประตูให้พวกเขาสักที ฉันไม่เชื่อหรอกนะมือเท้าของเธอไม่ได้เป็ง่อยสักหน่อย ยังมีหน้ามาบอกว่าใช้เวลาแต่งตัวเกือบครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะ? หวังซิ่วอิงเอ๋ยคนเราทำอะไร์ย่อมมองดูอยู่เกิดเป็คนหัดมีจิตสำนึกบ้างก็ดี ตอนปีนั้น...”
“ฉันทำไมฮะ ฉันไม่มีจิตสำนึกตรงไหน! อู๋ซูเจวียน แกหุบปากไปซะ! แกคิดว่าตัวเองเป็เปาบุ้นจิ้นจริงๆ งั้นหรือ แกมันจะไปรู้อะไรฮะ!” หวังซิ่วอิงใช้ฝ่ามือปัดมือของอู๋ซูเจวียนที่กำลังชี้หน้าตนออกแล้วหันไปตะคอกใส่ซย่านีอย่างโกรธเคือง “ยังไม่รีบเข้าบ้านไปอีก!”
ตอนปีนั้นอะไรกันนะ? ป้าอู๋รู้เื่อะไรมางั้นหรือ? เหตุใดหวังซิ่วอิงถึงได้ร้อนรนมากขนาดรีบตัดบทป๋าอู๋เช่นนั้น?
ซย่านีเต็มไปด้วยความสงสัย เธอมองไปทางอู๋ซูเจวียนแต่เห็นได้ชัดว่าอู๋ซูเจวียนไม่มีท่าทีว่าจะอธิบายความหมายในคำพูดนั้นเลย ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม เพื่อคลายความสงสัยของซย่านีสักนิด ทว่าป้าอู๋กลับมองไปทางหวังซิ่วอิงด้วยสายตามีนัยยะแอบแฝง จากนั้นก็หันไปเรียกเพื่อนร่วมงานของตนแล้วหมุนกายเดินจากไปทันที
หลังจากปิดประตูใหญ่ลง หวังซิ่วอิงที่เก็บกดโทสะไว้ก็พุ่งเป้าไปที่ซย่านีทันที เธอด่าทอซย่านีจนลามไปถึงบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรกันเลยทีเดียว
หวังซิ่วอิงไม่สามารถควบคุมเสียงของตนเองได้แล้ว ยิ่งด่าทอซย่านีมากเท่าไหร่เสียงก็ยิ่งดังขึ้นมากเท่านั้น ส่วนซย่านีก็เห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนดั่งหมาปล่อยอุจาระจึงไม่ได้ตอบโต้อะไรแม้แต่คำเดียว
เหล่าเพื่อนบ้านที่ยืนฟังอยู่ตรงมุมกำแพงมาตลอด ก็พากันส่ายหน้าเบะปาก
“่นี้หวังซิ่วอิงเป็อะไรไป? เข้าวัยทองแล้วงั้นหรือ? หรือติดนิสัยชอบทารุณลูกสะใภ้กันนะ”
“คำด่านั้นกระดากหูเสียจริง ซย่านีก็ช่างทนได้เนอะ”
“ถ้าหล่อนไม่ทนแล้วจะทำอะไรได้หล่อนก็แค่ลูกสะใภ้จากชนบท หากถูกแม่สามีไล่ออกจากบ้านจริงๆ ยังจะมีที่ไหนให้ไปได้อีก?”
“ซ่งหานเจียงนั่นก็ไม่ได้เื่ เขาไม่รู้เลยหรือไงนะ? ว่าเมียกับลูกตัวเองต้องมาเจออะไรแบบนี้ตอนอยู่ที่บ้าน หน้าตาก็ดี การศึกษาก็ดี แต่ช่างเป็ตัวไร้ประโยชน์ยิ่งนัก!”
[1] ถือขนไก่เป็ลูกศร 拿着鸡毛当令箭 คือสุภาษิตการหาเหตุผลในการใช้กำลังของผู้ที่มีอำนาจ
[2] ดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ 口喝冷风 มีความหมายแฝงว่าอดยากหรือไม่มีอันจะกิน
