ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากที่ฉินไท่เฟยกล่าวว่าจะอภิเษกมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ บรรยากาศดั้งเดิมที่มีชีวิตชีวาแลดูคึกครื้นในสถานที่แห่งนี้ก็มืดหม่นลงในทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้ซีิผู้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า หลังจากที่ฉินไท่เฟยกล่าวคำเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อ คิ้วหนาของเขาก็พลันขมวดแน่นเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยกับการอภิเษกครั้งนี้
มู่อวิ๋นจิ่นมองไป นางสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของฮ่องเต้ซีิชัดเจน และอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถูกต้อง เขาไม่เห็นด้วยกับการอภิเษกครั้งนี้!
“ฮ่องเต้ ทรงมีความเห็นอย่างไรกับงานมงคลครั้งนี้? ในตอนแรกอายเจียและฮูหยินมู่ได้ตกลงหมั้นหมายกันเอาไว้ คนของราชวงศ์เช่นเรารักษาสัญญาเสมอมา และไม่เคยผิดสัญญา” เมื่อเห็นว่าลูกชายของนางไม่เห็นด้วยสำหรับการอภิเษกครั้งนี้ สำนวนการพูดของนางก็เปลี่ยนไป
เมื่อเห็นว่าฉินไท่เฟยอ้าปากเอ่ยย้ำอีกคราเช่นนี้ ฮ่องเต้ซีิรู้สึกประหม่าเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
แน่นอนว่าเขารู้เกี่ยวกับการอภิเษกครั้งนี้ั้แ่แรก ก่อนที่ฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นจะเกิด ฉินไท่เฟยได้บอกเขาเกี่ยวกับเื่นี้แล้ว ในตอนนั้นเขาคิดว่าหากอีกฝ่ายเป็บุตรีคนแรกของตระกูลมู่ และเข้ากับลูกชายของเขาได้ก็คงจะดี
แต่ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านไปหลายปี บุตรีคนโตของตระกูลมู่ ได้กลายเป็ราวกับตัวตลกที่ยิ่งใหญ่ในเมือง เตี๋ยฮวา เป็เพียงหญิงสาวผู้โง่เขลา อ่อนแอและขี้ขลาดเท่านั้น
หญิงสาวเช่นนี้จะสามารถยืนอยู่เคียงคู่ กับลูกชายของเขาอย่างภาคภูมิและสมเกียรติได้เยี่ยงไรกัน
แต่ข้อตกลงระหว่างฉินไท่เฟยและฮูหยินมู่ นั้นเป็ที่ทราบกันดีสำหรับทุกคน ถ้าตอนนี้เขาล้มล้างมันแบบนี้ ผู้คนอาจจะด่าทอเขาเพราะผิดสัญญา แต่ถ้าเขาตกลง ตามความเห็นของเขามู่อวิ๋นจิ่นสามารถเป็ได้เพียงนางบำเรอของฉู่ลี่เท่านั้น และนางก็ไม่สามารถรับตำแหน่งชายาได้อยู่ดี
แต่หากบุตรีสกุลมู่ผู้นี้ต้องเป็นางบำเรอขององค์ชาย เกรงว่าจวนเสนาบดีคงไม่เห็นด้วยกับเื่นี้แน่ มู่เฉิงเซี่ยงเป็เสนาบดีมากว่าสามสิบปีและภักดีต่อเขาเสมอมา หากมีความแตกแยกระหว่างฮ่องเต้และเสนาบดีเพราะเื่นี้ สิ่งที่จะได้กลับมามันมากมายเหลือเกิน
ความคิดในหัวของฮ่องเต้ซีิก็ตีกันยุ่งเหยิง
ในขณะที่กำลังสับสน เจิ้งไทเฮาผู้ซึ่งถูกทิ้งไว้ด้านข้าง เห็นความยากลำบากของฮ่องเต้ซีิจึงคลี่ยิ้มออกมา "อันที่จริง อายเจียคิดว่าฉินไท่เฟ่ยให้ความสำคัญกับเื่คู่หมั้นคู่หมายมากจนเกินไปหน่อย"
“เมื่อสัญญาครั้งนี้เกิดขึ้น ลี่เอ๋อร์กับคุณหนูสามสกุลมู่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็เพียงเื่ตลกระหว่างผู้ใหญ่”
“ตอนนี้พวกเด็ก ๆ โตแล้ว และมีความคิดเป็ของตัวเอง ไม่จำเป็ต้องคิดว่าอีกฝ่ายเป็คู่หมายตน เหตุใดฉินไท่เฟยถึงผูกเด็กสองคนนี้ไว้ด้วยกันเล่า”
สิ่งที่เจิ้งไทเฮาพูดทำให้มู่อวิ๋นจิ่นแทบจะลุกขึ้นปรบมือ แม้ว่านางจะรู้ว่าเจิ้งไทเฮาไม่ใช่คนดี แต่นางก็รับฟังคำพูดเหล่านี้อย่างพึงพอใจ
ใครอยากจะแต่งงานกับก้อนน้ำแข็งเดินได้แบบนั้นกัน
หลังจากคิดได้ดังนั้น นางก็พลันเหลือบมองไปที่ฉู่ลี่ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าดวงตาของเขาหลุบลงเล็กน้อย ทำให้นางไม่สามารถคาดเดาการแสดงออกผ่านทางสีหน้าขององค์ชายหกได้ในขณะนี้
เมื่อฮ่องเต้ซีิได้ยินสิ่งที่เจิ้งไทเฮาพูดก็พยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงเขารับได้ที่จะมีหญิงสาวชั้นสูงคนอื่น ๆ เป็คู่หมายกับลูกชายของเขา ตราบใดที่หญิงผู้นั้นไม่ใช่มู่อวิ๋นจิ่น
แต่ฉินไท่เฟยกลับเลือกคนที่มีชื่อเสียงแย่ที่สุดมาให้ฉู่ลี่เสียอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าทั้งเจิ้งไทเฮาและฮ่องเต้ซีิไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ฉินไท่เฟยรู้สึกขัดใจเล็กน้อยในทันที แต่เนื่องจากทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ นางจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมา
“เจิ้งไทเฮาสรุปได้อย่างไรว่าเด็กสองคนนั้นไม่้าการอภิเษกครั้งนี้ เท่าที่อายเจียรับรู้ พวกเขาพบกันเป็การส่วนตัวหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเมื่อคืนนี้ด้วย ลี่เอ๋อร์ยังได้รับเชิญจากอวิ๋นจิ่นให้ไปทานอาหารเย็นด้วยที่จวนมู่” ฉินไท่ เฟยกล่าว
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้น คำพูดของฉินไท่เฟยทำให้ทุกคนประหลาดใจเล็กน้อย
องค์ชายหกได้รับเชิญจากคุณหนูมู่ให้ไปทานอาหารเย็นที่จวนเสนาบดีอย่างนั้นหรือ?
นี่มัน…
ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับฉู่ลี่จะรู้ว่าบุคคลนี้มีความเป็ตัวเองที่ชัดเจน และไม่มีใครสามารถบังคับให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่้าจะทำได้
ฉู่ลี่ต้องไปจวนสกุลมู่เพื่อรับประทานอาหารค่ำโดยสมัครใจเป็แน่
มู่อวิ๋นจิ่นถูกจับตามองั้แ่ต้นจนจบ นางขบกัดริมฝีปากตัวเอง เมื่อรู้ไม่สามารถปิดบังอะไรจากฉินไท่เฟยได้เลยจริง ๆ
เดิมทีฉู่ลี่ถูกขอให้ไปทานอาหารค่ำที่จวน เพียงแค่เพราะนางอยากจะยั่วยุให้มู่หลิงจูโกรธเคือง แต่ตอนนี้เมื่อเื่มันแดงแล้ว และมันกลายเป็หลักฐานยืนยันถึง “การนัดพบกันส่วนตัวหลายครั้ง”ของคนทั้งสองไปโดยปริยาย
เจิ้งไทเฮาเห็นว่าฉินไท่เฟยดึงสถานการณ์กลับมาได้อย่างง่ายดาย นางอดไม่ได้ที่จะกำแขนเสื้อแน่น และมองไปที่ที่นั่งด้านซ้ายล่าง "นายพลฉินเองก็อยู่ที่นี่ อายเจียเห็นเช่นนี้ก็นึกถึงมู่เยว่ เด็กคนนั้นขึ้นมา”
ด้านล่าง ชายชราผมขาวแต่ร่างกายดูแข็งแรงกำยำโค้งคำนับเจิ้งไทเฮา และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบพระทัยไทเฮาสำหรับความรักที่นางมีต่อเยว่เอ๋อร์พะยะค่ะ”
“เด็กคนนั้น มู่เยว่ เกิดในครอบครัวของนายพล แม้ว่านางจะเป็บุตรีแต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าผู้ชายทั่วไป เมื่ออายุยังน้อยนางขอให้ได้รับคำสั่งให้ออกไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าพี่ชายของนางและชนะหลายเมือง นับเป็พรจาก์สำหรับแคว้นซีหยวนของข้ายิ่งนัก”
หลังจากที่เจิ้งไทเฮาชมเชยนางแล้ว นางก็หันไปมองที่ฉู่ลี่ซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งขององค์ชาย "ข้าจำได้ เด็กคนนั้น มู่เยว่ชอบหยอกล้อกับลี่เอ๋อร์มากที่สุด"
คำพูดของเจิ้งไทเฮาทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายของมันได้แทบจะในทันที
เจิ้งไทเฮาตั้งใจจับคู่องค์ชายหกกับแม่นางฉิน
เสียงผู้คนซุบซิบกันเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นง่วงนอนเล็กน้อยหลังจากฟังการสนทนาเหล่านี้ แต่สิ่งที่เจิ้งไทเฮาพูดยังคงทำให้นางนึกถึงมู่เยว่
ในฐานะบุตรี การไปสนามรบเป็สิ่งที่น่าทึ่งมาก
อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหญิงที่ถูกฉินไท่เฟยะโถากถางในสวนดอกท้อเมื่อครั้งที่แล้ว ในเวลานั้น สีหน้าของเจิ้งไทเฮาแปรเปลี่ยนเป็บูดบึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางคงหมายถึงฉินมู่เยว่คนนี้แน่
ในห้องโถงใหญ่ ฮ่องเต้ซีิยากที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับเจิ้งไทเฮา แต่สิ่งที่เจิ้งไทเฮาพูดในวันนี้ เกือบจะตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของเขาทั้งหมด
แน่นอน เขาตั้งใจจะหมั้นหมายมู่เยว่กับฉู่ลี่
ฉินมู่เยว่ หญิงสาวที่ปลิดชีพอริศัตรู กล้าหาญมากถึงเพียงนี้ แทบจะไม่มีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมกับฉู่ลี่เลยสักนิด
ฮ่องเต้ซีิพลันเกิดความดูถูกดูแคลนมู่อวิ๋นจิ่นมากยิ่งขึ้น เมื่อกล่าวถึงมู่เยว่
ฉินไท่เฟยเห็นว่าลูกชายของนางกำลังถูกเจิ้งไทเฮาจูงจมูก นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ และจ้องมองไทเฮาด้วยแววตาแข็งกร้าว
ไทเฮาสบตาฉินไท่เฟย เม้มริมฝีปากเล็กน้อย และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ฝ่าา ข้าคิดว่ามันไร้ประโยชน์หากเราจะเข้าไปพัวพันกับเื่นี้มากเกินไป เหตุใดไม่ถามความคิดเห็นขององค์ชายหกดูเล่าเพคะ"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มือที่ถือจอกสุราของฮ่องเต้ซีิก็หยุดชะงัก ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปทางฉู่ลี่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดว่าฉู่ลี่ในอายุเท่านี้ น่าจะมีความสามารถในการแยกแยะถูกผิดได้ดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ลี่เอ๋อร์ เ้าว่าอย่างไรเกี่ยวกับเื่นี้?”
เมื่อเห็นว่าการตัดสินใจครั้งสุดท้ายตกเป็ของฉู่ลี่ หัวใจของมู่อวิ๋นจิ่นก็กระตุบวูบทันที ก่อนนางจะสูดหายใจเฮือกใหญ่
ดีมาก นางจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีที่ฉู่ลี่เป็คนตัดสินใจ
มู่หลิงจูซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างกัดริมฝีปากของนางแน่น คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นางเข้าใจสิ่งที่ไทเฮาเจิ้งพูดเมื่อครู่อย่างชัดเจน
แม้จะไม่มีมู่อวิ๋นจิ่น แต่ก็ยังมีมู่เยว่จากจวนของนายพลฉินที่ขวางหน้านางเอาไว้อยู่
มู่หลิงจูไม่มีโอกาสจริง ๆ ?
ไม่ นางไม่เชื่อ!
…
ฉู่ลี่ซึ่งกำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้ในเวลานี้ หลังจากที่ฮ่องเต้ซีิเรียก เขาก็เหลือบมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างเฉยชา เขาสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในการแสดงออกของ มู่อวิ๋นจิ่นั้แ่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้อย่างชัดเจน
เมื่อฉินไท่เฟยเรียกชื่อนาง นางกระตุกริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าประหม่าเล็กน้อย แต่เมื่อนางได้ยินว่าพ่อของเขามอบอำนาจในการตัดสินใจให้เขา นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
ดูเหมือนว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะไม่เต็มใจที่จะแต่งงานด้วย
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จู่ ๆ ก็เห็นร่องรอยของความชั่วร้ายในดวงตาที่เ็าและลึกล้ำของเขา ภายใต้การจ้องมองที่แน่วแน่ของมู่อวิ๋นจิ่น เขาก็เปิดปากอย่างเกียจคร้าน
“ลูกขอคิดดูอีกสักสองสามวัน”
ทุกคนในที่นี้เกิดความเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาได้ยินถูกต้องหรือไม่? องค์ชายหกไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแต่กลับบอกว่าเขาจะพิจารณาเกี่ยวกับเื่นี้อีก 2-3 วัน เป็ไปได้ไหมว่าเขาตกหลุมรักมู่อวิ๋นจิ่นจริง ๆ ?
มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งนั่งอยู่มองไปที่ฉู่ลี่ด้วยความประหลาดใจ ในขณะเดียวกันก็พลางแอบสาปแช่งเขาในใจไปด้วย
โอกาสดีขนาดนี้แต่เขากลับไม่ปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนี้!
เขาบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!
มู่อวิ๋นจิ่นอยากจะรีบเข้าไปทุบฉู่ลี่ แต่เนื่องจากสถานการณ์นี้ นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยั้งเอาไว้ให้ได้มากที่สุด และทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับเขยื้อน
ฉินไท่เฟยะเิเสียงหัวเราะออกมาในเวลานี้ และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกสองเดือนสำหรับอวิ๋นจิ่นและลี่เอ๋อร์ พวกเ้าควรรีบคิดเกี่ยวกับเื่นี้”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่เจิ้งไทเฮาอีกครั้ง
…
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง มู่อวิ๋นจิ่นขอให้มู่เซี่ยโหรวกลับไปที่จวนพร้อมกับมู่เซียง ขณะที่นางเดินไปตามทิศทางที่ฉู่ลี่เดินไป
หลังจากเดินไปที่สวนอันเงียบสงบ ในที่สุดมู่อวิ๋นจิ่นก็ตามฉู่ลี่ทัน ก่อนนางจะะโว่า “องค์ชายหก โปรดรอสักเดี๋ยว”
ร่างตรงหน้าหยุดชะงักทันที
เมื่อเห็นฉู่ลี่หยุด มู่อวิ๋นจิ่นก็วิ่งเหยาะ ๆ และเมื่อนางมาถึงด้านข้างของฉู่ลี่ นางก็เอามือขวาไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“มีเื่อันใด?” ฉู่ลี่มองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างนิ่ง ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากของนางและพูดด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดท่านไม่ปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้”
“เ้า้าให้ข้าปฏิเสธงั้นหรือ?” ฉู่ลี่เลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าสงบ
“หากท่านไม่ปฏิเสธ งั้นท่าน้าแต่งงานกับหม่อมฉันจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นถามกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ไม่แยแสของเขา "แล้วถ้าหากข้า้าแต่งงานกับเ้าจริง ๆ ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?"
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่หม่อมฉันมีเงื่อนไข” มู่อวิ๋นจิ่นกอดอกและสบตากับฉู่ลี่อย่างไม่เกรงกลัว
“ถ้าท่าน้าแต่งงานกับหม่อมฉัน ท่านต้องรับประกันว่าตำแหน่งชายาจะเป็เพียงของหม่อมฉันผู้เดียว และท่านจะไม่แต่งงานกับนางสนมคนอื่นอีก ท่านทำอย่างนั้นได้หรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นพูดแกมประชดประชัน
ไม่ต้องพูดถึงสถานะองค์ชายในปัจจุบันของฉู่ลี่ หากเขาได้รับการแต่งตั้งเป็องค์รัชทายาทในอนาคต เขาจะต้องเป็ฮ่องเต้แห่งแคว้นซีหยวน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็องค์รัชทายาท แต่เขาก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ แล้วคนที่มีอำนาจเช่นนี้จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวในวังหลังได้เยี่ยงไร
ติงเสี่ยนที่อยู่ด้านข้างซึ่งถือตะเกียงอยู่ กำลังฟังการสนทนาระหว่างฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นอย่างเหนื่อยหน่าย จนกระทั่งมู่อวิ๋นจิ่นพูดคำที่กล้าหาญเหล่านี้ ติงเสี่ยนก็มีสติขึ้นเล็กน้อย
คุณหนูสามสกุลมู่ผิดปกติอีกแล้ว!
หลังจากได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นดวงตาของฉู่ลี่ซึ่งสงบอยู่เสมอ ก็พลันขยับเล็กน้อยพร้อมกับร่องรอยของความแปลกประหลาดใจที่ปรากฏบนใบหน้า จากนั้นก็เขาขยับเข้าไปใกล้มู่อวิ๋นจิ่น พลางจ้องมองมู่อวิ๋นจิ่นอย่างใจเย็น
“ดูเหมือนว่าเ้าไม่มีข้อต่อรองมากพอจะต่อรองกับข้าเื่นี้นะ”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินสิ่งนี้ ทันใดนั้นความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจของนาง จากนั้นนางก็ยื่นมือออก กางฝ่ามือออกแล้วพูดอย่างหยาบคายว่า “เอาล่ะ เนื่องจากข้าไม่มีข้อต่อรอง โปรดคืนจี้หยกให้ข้าด้วยเพคะองค์ชายหก ข้าไม่้าทำธุรกิจกับท่านแล้ว!”