อันที่จริงิญญานั้นไม่จำเป็ต้องนอน แต่อวี๋มู่เป็มนุษย์จนเคยชิน ถ้าไม่ให้เขานอน เขาก็จะรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเคยชินกับการนอนหลับมาตลอด
การอยู่ที่เจดีย์เจิ้นเยามานานขนาดนี้ และใช้ชีวิตที่ไร้แสงตะวันผ่านไปหลายเดือน ตอนนี้อวี๋มู่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะขึ้นรา ไม่รู้ว่าหย่งอวี้ทนอยู่มาได้อย่างไร
เขาเดินขึ้นชั้นสิบแปดเหมือนเคย ปรากฏว่าพอเดินถึงชั้นสิบหก จู่ๆ ก็ถูกพลังบางอย่างดูดเข้าห้องไป
พอได้สติ ก็เห็นม่านพลังตรงประตูสีเขียวถูกขวางไว้ ซึ่งพลังของเขาไม่มีทางทะลวงออกไปได้
เขามองไปยังิญญาผูกคอตายรูปร่างสูงที่เป็ผู้ดึงเขาเข้ามา แววตาของอีกฝ่ายจ้องมองมาที่อวี๋มู่พร้อมกับแลบลิ้นยาว จนรู้สึกขนลุกในใจ
ต่อจากนั้น เขาก็กวาดตามองไปรอบๆ เขามองเห็นิญญาที่พลังแข็งแกร่งเต็มห้องไปหมด ก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาลง
อันที่จริงเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ เขารับรู้ได้ว่าิญญาชั้นสูงในเจดีย์เจิ้นเยามองเขาด้วยสายตาที่แปลกไป
พวกเขาเหมือนมีแผนอะไรบางอย่าง ส่วนอวี๋มู่โชคไม่ดีที่ตกเป็หนึ่งในคนที่วางแผน
“ิญญาพิศวาส ตอนนี้เ้าน่าจะได้รับความไว้ใจจากอสูรฟ้าแล้วใช่ไหม? ” ผู้ที่พูดคือิญญารูปร่างสูงราวเจ็ดเมตร มีไหล่กว้างและพุงป่องตัวหนึ่ง ิญญาตนนี้มีปานแนวนอนลึกบนใบหน้าและมีหน้าตาดุร้าย เดาว่าชาติที่แล้วคงไม่ใช่คนดีอะไร อีกทั้งบนตัวยังมีกลิ่นอายของความชั่วแผ่ซ่านอยู่ทั่วห้อง
อวี๋มู่เม้มปาก พลางสวมบทบาทท่าทางของร่างเดิม “ดูเ้าพูดเข้า ความเชื่อใจของเ้าอสูรฟ้านั่นใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เสียที่ไหน ตอนนี้เอะอะเขาก็จะกินข้า ข้ายังต้องหวาดระแวง มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน! ”
ระบบหัวเราะบนความทุกข์ของเขา [ฮ่าๆๆๆ โฮสต์ คุณสวมบทบาทได้เหมือนมากเลยครับ ฮ่าๆๆๆ]
อวี๋มู่ : …นายหุบปากไปเลย
[ได้ครับ ๆ]
ิญญาสาวอีกหนึ่งตนทำเสียงขึ้นจมูก แล้วแผดเสียง “เ้าอย่าหลอกิญญาเสียให้ยาก! หลายวันมานี้ข้าตามดูเ้าอยู่ วันๆ เอาแต่ขึ้นไปชั้นสิบแปด เหมือนิญญาไม่มีอะไรทำ”
ในภาพจำของิญญาสาว อวี๋มู่นั้นน่าจะได้ “เปิดศึกปะทะ”กับเฟิงอวี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าดูดปราณิญญาของอีกฝ่ายมาแล้วเท่าไร ทำให้นางรู้สึกอิจฉาตาร้อน
นางไม่ได้มีความคิดจะออกจากเจดีย์เจิ้นเยา นางเพียงแค่อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักบวชน้อยสักครั้งก็เท่านั้น!
หากอวี๋มู่รู้ว่านางคิดเช่นนี้ เดาว่าอีกฝ่ายคงอยากจะรีบจัดการห่อิญญาไปส่งให้เฟิงอวี้ถึงที่
“เยียนเอ๋อร์พูดถูก เ้าอย่ามาเ้าเล่ห์เพทุบาย!” ิญญาร่างั์เข้าข้างิญญาสาว แล้วกล่าวเสียงทุ้ม “ที่พวกข้าเรียกเ้ามาวันนี้ ก็เพื่ออยากจะเจรจากับเ้าสักหน่อย”
อวี๋มู่รับรู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามชัดเจนและคิดว่าเขาโกหก เขาขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถาม “เจรจาเื่อะไร? ”
“พวกเรา้าให้เ้าฆ่าเขาเสีย” ิญญาร่างั์ลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าอวี๋มู่ แล้วก้มมองมาที่เขา “จากนั้นก็เอาศพลงมาข้างล่าง แล้วแบ่งกัน”
ระบบใ [ว้าว~ิญญาพวกนี้รู้จักการแบ่งปันกันด้วย~]
อวี๋มู่เลียนแบบเขา : ว้าว~เ้าระบบ นายควรจะใกับเื่ที่พวกเขาให้เกียรติฉันมากกว่าไม่ใช่เหรอ?
เฟิงอวี้สามารถฆ่าเขาได้ง่ายดายเหมือนกับเหยียบมดตัวหนึ่ง ิญญาพวกนี้ ช่างมัวเมากับกิเลสในใจดังที่คนเขากล่าวขาน
หัวสมองถูกลาเตะเข้าให้หรืออย่างไรกันนะ?
“ฮ่าๆ ท่านิญญาทั้งหลาย นับว่าให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว” เขาถอนใจอย่างระอา “อย่างข้าจะไปมีปัญญาฆ่าเขาได้อย่างไร? เขาเป็ถึงอสูรฟ้าเชียวนะ! หลายปีมานี้กินิญญาไปตั้งมากมาย จนใกล้จะเป็ราชันแห่งภูตแล้ว เดาว่าแค่จะคิดสังหารเขา ข้าก็คงถูกจัดการไปแล้ว~ ”
“เลิกพูดไร้สาระ! ” ิญญาร่างั์เข้ามาบีบคอเขาและยกตัวเขาขึ้นกลางอากาศ อวี๋มู่รับรู้ถึงอาการลอยเคว้งอีกครั้ง แม้จะไม่เจ็บ แต่ก็อึดอัดอยู่ไม่น้อย
“วันนี้หากเ้าไม่รับปาก อย่าได้คิดจะออกจากที่นี่ไปแบบมีชีวิต! ”
ิญญาสาวดึงแขนเสื้อเขา แล้วกล่าวแก้ไข “พี่ชาย แต่พวกเราตายไปแล้วนา”
“ฮ่า ข้ารู้น่า! ” ิญญาร่างั์หน้ามุ่ย แล้วตะคอกใส่อวี๋มู่ “หากเ้าไม่รับปาก ข้าจะทำให้ิญญาเ้าแหลกสลาย! ”
สุดท้ายอวี๋มู่ก็ตอบตกลง จึงถูกปล่อยออกมาจากม่านพลัง
พอยืนอยู่นอกม่านพลัง เขาก็ทนไม่ไหวจนต้องเอามือกุมหน้าผาก
เขาประเมินิญญาพวกนี้สูงเกินไป ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอย่างไรถึงมาหลงอยู่ในระดับสูงนี้ได้
จากที่เขาดู พวกนี้ก็เป็แค่พวกิญญาโง่กลุ่มหนึ่งเท่านั้นกระมัง?
เสียแรงที่อยู่มายาวนานขนาดนี้ แต่สมองกลับกลวงโบ๋ทุกตน
*
หลังจากเจอกับปัญหานี้ก็ผ่านล่วงเลยไปถึง่บ่าย นี่เป็ครั้งแรกที่อวี๋มู่มาฟังธรรมสาย
ตอนที่เขาขึ้นไป กระจกน้ำยังคงเปิดอยู่ ได้ยินเสียงของเ้าอาวาสวัดหนานหลัวดังออกมา หย่งอวี้กำลังฟังอย่างไม่ค่อยตั้งใจ พลางส่องไปทางบันไดเป็พักๆ
พอศีรษะของอวี๋มู่โผล่ออกมาให้เขาสังเกตเห็น พลันใบหน้าก็ยิ้มแย้มอย่างปกปิดไม่อยู่ แต่เขาก็พยายามสะกดไว้ แล้วโบกมือให้อวี๋มู่ ให้เขามานั่งข้างกัน โดยไม่กล้าพูดอะไร
อย่างไรก็ตาม เื่ที่เขากับอวี๋มู่ฟังธรรมด้วยกันนั้นเป็ความลับ เขารับรู้ได้ว่าเื่นี้ไม่ควรบอกให้เ้าอาวาสทราบ
อวี๋มู่พยักหน้า แล้วนั่งยังที่ที่เคยนั่งเป็ประจำ ก่อนจะเริ่มครุ่นคิดว่าตนเองจะรับมือกับพวกิญญาโง่พวกนั้นอย่างไร
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ฝ่ายนักบวชน้อยก็ััได้ว่าจิตใจของอวี๋มู่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงรู้สึกเป็กังวล
บทสวดที่เคยทำให้เขานิ่งสงบในก่อนหน้านี้เริ่มไม่เข้าหู จนสวดมนต์ต่อไปไม่ได้
เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็อะไร แต่ก่อนนั้นอวี๋มู่ไม่เคยมาสาย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าการที่อวี๋มู่มาหาเขานั้นเป็เื่เคยชิน
แต่พอมาวันนี้ ในระยะเวลาแค่สั้นๆ ที่เขารอนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกกลัว
เขากลัวว่าอวี๋มู่จะหายไป
กลัวว่าจะต้องอยู่ชั้นสิบแปดเพียงลำพังอีกครั้ง ต้องนั่งเหี่ยวเฉาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นี้ โดยมองไม่เห็นตะวัน
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์เช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกเ็ปใจ กระทั่งอวี๋มู่ปรากฏตัว อาการแบบนี้จึงค่อยๆ ดีขึ้น
แต่กลับสงบใจไม่ลง
เขามองไปทางอวี๋มู่ด้วยท่าทางเหม่อลอย โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
“หย่งอวี้” เสียงของเ้าอาวาสเหมือนดาบเสียบทะลุเมฆหมอกที่ เข้ามาในสมองของหย่งอวี้
ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาได้สติ
ผู้เฒ่าหนวดขาวในกระจกน้ำทำลายท่าทีของเขาด้วยคำพูดคำเดียว
เขาเอ่ย “หัวใจเ้ากำลังว้าวุ่น”
*
อวี๋มู่ถูกคำพูดนี้ดึงดูดสายตา มองไปทางหย่งอวี้ จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างเป็มิตรให้กับเขา
หย่งอวี้สบตาอีกฝ่ายนิ่งๆ เขารู้สึกเพียงว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลันใบหน้าขาวใสก็เกิดเป็สีแดงเืฝาดในชั่วพริบตา แต่เขารีบก้มหน้าจึงทำให้คนตรงหน้าไม่ทันเห็นสิ่งผิดปกติ
หลังจากผ่านพ้น เขาก็เพิ่งรู้สึกถึงความหมายของคำพูดที่เ้าอาวาสกล่าวเมื่อครู่
เขารีบกำลูกประคำในมือ แล้วทาบไว้บนหน้าอก รับรู้ได้ถึงจังหวะที่เต้นอยู่ เขาเม้มปาก พร้อมกับมีสีหน้าหยุดชะงัก
หัวใจของเขากำลังว้าวุ่น
ว้าวุ่น เพราะอวี๋มู่
ขณะเดียวกัน สายตาของอวี๋มู่ก็จับจ้องไปบนศีรษะของนักบวชน้อยที่เริ่มมีแถบหัวใจสองแถวแสดงขึ้นมา
แถวแรกเต็มสี่ดวง ส่วนแถวที่สองก็เหมือนได้รับอิทธิพล จนเพิ่มขึ้นมาเต็มสองดวงอย่างน่าแปลกใจ
อวี๋มู่ตกตะลึงอยู่ในใจ ก่อนจะรีบเอ่ยถามระบบ : ระบบ นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
