“โฮก…!”
หมาป่าแดงกรีดร้องโหยหวนออกมา ขาข้างหนึ่งของมันถูกแทงจนทะลุ และในขณะที่มันกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บนั้น มู่ขวงก็ฟันดาบลงมาอย่างรุนแรง
หมาป่าแดงรีบถอยหลังหลบรัศมีดาบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ไป๋จื่อเยว่ก็กระโจนเข้ามาพร้อมกับประกายแสงของกระบี่อันเย็นเยียบ ในพริบตานั้นได้ปรากฏเงากระบี่ขึ้นมาสามเล่ม ก่อนจะแทงลงไปยังร่างของหมาป่าแดง ทำให้มันได้รับาแเพิ่มอีกสามตำแหน่ง เสียงคร่ำครวญของหมาป่าแดงยังคงดังโหยหวนไม่หยุด มันรีบกระโจนถอยออกไปไกลกว่าเดิม ขณะที่ดวงตาของมันก็ส่องประกายด้วยความอาฆาต
เมื่อตั้งหลักได้มันก็อ้าปากพ่นลูกไฟสีแดงโจมตีไปทางไป๋จื่อเยว่ทันที เด็กหนุ่มยกกระบี่ขึ้นมาต้านทานลูกไฟที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่แรงะเิพลังของลูกไฟลูกนั้นก็ทำให้เขาต้องก้าวถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง
ตูม!
แต่ทันใดนั้นเอง มู่เฟิงก็ดีดฝ่าเท้ากระโจนร่างขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นดรรชนีนิ้วทั้งสองของเขาก็พุ่งทะลวงไปยังร่างของหมาป่าแดงอย่างฉับพลัน เป็ผลให้ร่างของหมาป่าแดงได้รับแผลจากการทะลวงเพิ่มขึ้นมาอีกสองแผล และในชั่วพริบตาต่อมาเด็กหนุ่มก็ดึงดาบที่อยู่ด้านหลังออกมาอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
ดาบนี้ฟันลงไปบนหัวของหมาป่าโดยตรง ทำให้หัวของอสูรร้ายตัวนั้นหลุดขาดกระเด็น จากนั้นเืสีแดงสดก็ไหลนองทั่วพื้น
ร่างของหมาป่าแดงเกิดการกระตุกโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่นานสัญญาณชีพของมันก็นิ่งไป หลังจากสังหารหมาป่าแดงแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสามก็มองไปยังร่างของคนเก็บสมุนไพรที่อยู่ด้านข้าง
ในความเป็จริงอีกฝ่ายควรจะตายไปแล้ว แต่เนื่องจากเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นการที่เขายังมีชีวิตจนถึงตอนนี้ได้ก็เป็เพราะมีพลังปราณหล่อเลี้ยงชีวิตในเฮือกสุดท้ายอยู่
มู่เฟิงถอนหายใจ ก่อนจะสะบัดดรรชนีนิ้วไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย แสงดรรชนีพุ่งทะลวงผ่านหัวใจในทันที แม้ชายผู้นั้นจะถูกมู่เฟิงสังหาร แต่แววตาของเขากลับมีร่องรอยของความขอบคุณและความโล่งใจ ก่อนจะเสียชีวิตลงอย่างสงบ ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยจากความเ็ปนี้เสียที
ไป๋จื่อเยว่เดินไปหยิบตะกร้าสานของอีกฝ่ายขึ้นมา และพบว่าภายในนั้นมีสมุนไพรขั้นหนึ่งและขั้นสองรวมกันเป็จำนวนมากกว่าสิบต้น นอกจากนี้ยังมีหญ้าเพลิงอัคนีอีกสองต้น
“พี่เฟิง หญ้าเพลิงอัคนีขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่ส่งมันให้กับมู่เฟิง หลังจากเขารับมันมาตรวจสอบดูแล้ว ไม่นานใบหน้าเขาก็ปรากฏร่องรอยของความยินดี จากนั้นเด็กหนุ่มก็เก็บมันลงไปในกล่องไม้ ก่อนจะนำหยกเทพชูร่าออกมาดูดซับพลังเืของหมาป่าแดงและนักเก็บสมุนไพรผู้นั้น
เด็กหนุ่มทั้งสามช่วยกันขุดหลุมขึ้นมา ก่อนจะนำร่างไร้ิญญาของนักเก็บสมุนไพรลงไปในหลุม สร้างหลุมศพไร้ชื่อให้กับอีกฝ่าย จากนั้นจึงมุ่งหน้าตามหาสมุนไพรต่อไป
หลังจากค้นหาเป็เวลานาน ในที่สุดพวกเขาก็พบหญ้าเพลิงอัคนีอีกสองต้น ทั้งสามคนยังคงเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาอัคนีต่อ โดยย่างก้าวอย่างระมัดระวัง
เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรร้ายที่อ่อนแอ ไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงจะรับหน้าที่สังหารมัน จากนั้นมู่ขวงก็จะดูดซับพลังเืจากอสูรร้ายจำนวนสองตัวเพื่อทำการฝึกกายา
ในขณะที่ไป๋จื่อเยว่จะทำการดูดซับพลังปราณจากผลึกอสูรที่อยู่ภายในร่างของอสูรร้ายโดยตรง ซึ่งการกระทำนี้เป็สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้
เพียงไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงยามค่ำคืน พวกเขาค้นพบถ้ำหินแห่งหนึ่งจึงอาศัยเป็ที่พัก จากนั้นก็ก่อกองไฟ ทานอาหารและพากันพักผ่อน
ไป๋จื่อเยว่นั่งพักตรงทางเข้าถ้ำขณะกอดกระบี่เล่มยาวของตนเอาไว้เพื่อคอยเฝ้าระวังในยามค่ำคืน เด็กหนุ่มกลืนยาโลหิตเข้าไปหนึ่งเม็ด ก่อนจะเริ่มทำการกลั่นมันให้กลายเป็พลังปราณอย่างเงียบๆ
ส่วนมู่เฟิงที่อยู่ในถ้ำนั้น เขานำเตาหลอมโอสถออกมาเพื่อทำการหลอม วันนี้เขาได้รับหญ้าเพลิงอัคนีมาสามต้น จึง้ากลั่นพวกมันให้มันกลายเป็เม็ดยา
ส่วนทางด้านมู่ขวงก็นั่งบ่มเพาะพลังปราณอยู่ด้านข้าง
เวลาสี่วันผ่านพ้นไปในพริบตา เด็กหนุ่มทั้งสามยังคงค้นหาสมุนไพรอยู่ภายในหุบเขาอัคคีด้วยความระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็คอยบ่มเพาะพลังเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเองไปด้วย
การฝึกของมู่ขวงก้าวหน้าไปไม่น้อย ตอนนี้วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ของเขาได้ทะลวงขึ้นสู่ขั้นสองแล้ว
ใน่เวลาสี่วันนี้ พวกเขาทั้งสามคนค้นพบหญ้าเพลิงอัคนีทั้งหมดแปดต้นและสังหารอสูรร้ายตายไปหลายตัว ส่วนตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ก็อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาอัคนี ซึ่งเป็พื้นที่สีเหลืองตามแผนที่
หากพวกเขายังมุ่งหน้าลึกเข้าไปอีก มีโอกาสที่พวกเขาจะได้พบอสูรร้ายระดับหนิงกังที่ทรงพลังกว่าเหล่าอสูรร้ายที่เขาเคยพบกันมาก่อน ดังนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามจึงเดินไปตามขอบของพื้นที่สีเหลืองแทน
วันนี้พวกเขาสามคนได้เดินมาถึงตีนูเาไฟที่ร้อนระอุ และในบริเวณใกล้เคียงก็มีแอ่งหินหนืดอยู่
แอ่งหินหนืดที่อยู่บริเวณตีนูเาไฟนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากหินหนืดที่ไหลทะลักออกมาตามรอยแตกของพื้นดิน มันไหลมารวมกันจนกลายเป็แอ่งหินหนืดที่มีรัศมีวงกลมหลายสิบเมตร
คนทั้งสามมองไปยังหินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางแอ่งหินหนืด ดวงตาของพวกเขาลุกวาวขึ้นมาในทันที
เนื่องจากตรงรอยแตกของหินมีต้นสมุนไพรสีแดงที่มีความสูงเท่ามนุษย์สองคนงอกออกมาหนึ่งต้น
ใบของสมุนไพรต้นนั้นมีสีแดงเข้มขนาดเท่าฝ่ามือและมีลักษณะคล้ายกับเปลวเพลิง นอกจากนี้บนต้นของมันยังมีผลไม้สีแดงสดอยู่อีกหกลูก
ผลไม้ที่มีขนาดเกือบจะเท่ากำปั้นนี้มีสีแดงอร่าม ทั้งยังมีกลิ่นหอมแปลกประหลาดโชยออกมา
“นะ นั่นคือ ผลิญญาสีแดง ผลิญญาขั้นสี่!”
เมื่อมู่เฟิงเห็นผลไม้เ่าั้ สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความยินดี
ผลิญญาสีแดง คือผลิญญาธาตุไฟ และเป็ผลิญญาขั้นสี่ แค่หนึ่งลูกก็มีมูลค่าหลายพันเหรียญตำลึงทอง ซึ่งมันจะถือกำเนิดขึ้นทุกๆ หนึ่งร้อยปี
“พี่เฟิง ท่านบอกว่าผลไม้นี้เป็ผลิญญาขั้นสี่งั้นหรือขอรับ?”
มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ต่างไม่รู้จักสิ่งนี้ แต่พวกเขายังคงเข้าใจถึงความล้ำค่าของผลิญญา
ผลิญญานั้นมีมูลค่าสูงและเป็ที่้ามาก กล่าวกันว่าผลิญญาหนึ่งลูกมีมูลค่าหลายพันเหรียญตำลึงทอง แต่หากอยู่ในการประมูล ย่อมมีคนยินดีจ่ายเงินออกมาหลายหมื่นเหรียญตำลึงทองเพื่อแลกมันมา
ด้วยเหตุนี้จึงมีการแบ่งแยกบรรดาสมุนไพรล้ำค่าเหล่านี้ออกเป็หลายระดับ ทั้งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับปริมาณของพลังฟ้าดินและขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของมัน
“ช่างยอดเยี่ยมนัก เมื่อมีผลิญญาสีแดงนี้แล้ว วิชาะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยาของข้าจะต้องก้าวขึ้นสู่ระดับสัมฤทธิ์อย่างแน่นอน”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ว่าแต่ท่านจะเอาผลิญญาสีแดงนี้มาได้อย่างไรกัน ท่านดูสิ โขดหินก้อนนั้นอยู่ห่างออกไปราวยี่สิบเมตร เราะโในระยะที่ไกลขนาดนั้นไม่ได้นะขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่มองไปยังหินหนืดตรงหน้าพลางขมวดคิ้วมุ่น
ต้นผลิญญาสีแดงต้นนั้นอยู่บนซอกหินขนาดใหญ่ที่ถูกกั้นด้วยหินหนืดที่กินรัศมีถึงยี่สิบเมตร ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่พวกเขาจะข้ามมันไปได้อย่างไร
“ไม่อย่างนั้น ถ้าให้พวกท่านโยนข้าไปตรงนั้นอาจจะไปได้ไกลก็ได้นะขอรับ”
มู่ขวงเสนอ
“เ้าโง่ ต่อให้โยนเ้าออกไปได้แล้ว แล้วเ้าจะกลับมาอย่างไร?”
ไป๋จื่อเยว่กลอกตาและสบถด่าในความซื่อบื้อของอีกฝ่าย
“เอ่อ... นั่นก็จริง”
มู่ขวงยิ้มแห้ง
มู่เฟิงกวาดตามองโดยรอบ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังส่วนที่นูนออกมาจากหินหนืด เหมือนว่านั่นจะเป็โขดหิน
โขดหินนั้นอยู่ห่างจากริมฝั่งราวเจ็ดถึงแปดเมตร หากใช้แรงออกมาอย่างเต็มที่คงเพียงพอที่จะะโขึ้นไปยังตรงกลางโขดหินได้สำเร็จ
มู่เฟิงมองหาก้อนหินที่อยู่ใกล้ตัว ก่อนจะโยนก้อนหินไปยังโขดหินก้อนนั้น มองจากแรงกระทบพบว่าโขดหินก้อนนั้นมีความมั่นคงอย่างยิ่ง
“มีโขดหินอยู่ตรงนั้น เราะโข้ามมันไปได้”
มู่เฟิงหัวเราะ
“ฮ่าๆ พี่ใหญ่ ท่านรีบดูนั่นเร็วเข้า นั่นคืออะไร”
“นะ นั่น นั่นคือผลิญญาสีแดง!”
แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงกลุ่มคนดังแทรกขึ้นมา เป็เสียงของกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนสามคนที่อยู่ไม่ไกลนัก เพียงเดินเข้ามาพวกเขาก็สังเกตเห็นต้นผลิญญาสีแดงที่อยู่ตรงกลางแอ่งหินหนืดทันที
ดูจากรูปลักษณ์แล้ว เหมือนว่าพวกเขาทั้งสามคนจะอยู่ในวัยสามสิบถึงสี่สิบปี พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะหนังและมีท่าทางที่ดุร้าย
หลังจากชายฉกรรจ์ทั้งสามคนมาถึง พวกเขาก็สังเกตเห็นผลิญญาสีแดงตรงกลางแอ่งหินหนืดอย่างรวดเร็ว ดวงตาของพวกเขาลุกวาวขึ้นมาในทันที
“ผลิญญาสีแดง มันคือผลิญญาสีแดงจริงๆ รวยแล้ว พวกเราจะรวยกันแล้ว ฮ่าๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีผลิญญาสีแดงอยู่ที่นี่”
หนึ่งในนั้นคือชายร่างกำยำ ดวงตาของเขารีเล็กและมีจมูกแบน เป็รูปลักษณ์ที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าไรนัก สายตาของเขาจับจ้องไปยังต้นผลิญญาสีแดงและกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น
พวกมู่เฟิงต่างมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เวลานี้เขารู้สึกหวั่นในใจขึ้นมา
เนื่องจากซีเยว่ได้บอกเขาว่าวรยุทธ์ของชายฉกรรจ์กลุ่มนี้คือระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด ในขณะที่อีกสองคนคือระดับจื่อฝู่ขั้นสี่และขั้นห้า
วรยุทธ์ของชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้สูงกว่าพวกมู่เฟิงมาก
ไม่นานชายฉกรรจ์ทั้งสามก็เหลือบมองมาทางเด็กหนุ่มทั้งสาม ชายหน้าตาอัปลักษณ์กล่าวเย้ยหยันขึ้นมาในทันทีว่า “ไอ้หนู ผลิญญาสีแดงนี้เป็พวกเ้าที่ค้นพบรึ?”
“ถูกต้อง”
มู่เฟิงกล่าวเสียงเรียบ
“เอาละ ตอนนี้พวกเ้าไสหัวไปได้แล้ว”
ชายอัปลักษณ์กล่าวด้วยฎเสียงเ็า ทันใดนั้นเขาก็โคจรพลังปราณในร่าง ก่อนจะปลดปล่อยคลื่นพลังสะกดข่มของวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดออกมา
และสหายทั้งสองของเขาก็ทำเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขา้าจะผลิญญาสีแดงเหล่านี้เอาไว้เองทั้งหมด