ตอนที่ 1 ฟื้นในร่างที่ไม่มีใคร้า
ความเ็ปคือสิ่งแรกที่กระชากสติของหนิงหนิงให้ตื่นขึ้น
มันไม่ใช่ความปวดเมื่อยจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป หรืออาการปวดหัวไมเกรนที่คุ้นเคย แต่เป็ความเจ็บแสบราวกับิัถูกฉีกกระชากซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนังศีรษะปวดระบมเหมือนถูกกระตุกอย่างแรงจนรากผมแทบหลุดออกจากโคนผม
กลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้งผสมกับกลิ่นอับชื้นของเสื้อผ้าเก่าและกลิ่นเหงื่อเปรี้ยวจนน่าสะอิดสะเอียนลอยเข้าจมูก ร่างกายของเธอถูกลากครูดไปกับพื้นดินแข็งๆ ที่เย็นเฉียบ รอบ ๆห้อง กรวดเล็กๆ ขูดขีดสีข้างและต้นแขนจนรู้สึกได้ถึงรอยแผลถลอก
“นังตัวซวย! เกิดมาก็มีแต่จะถลุงข้าวในไห! นังเด็กกาฝาก! อยู่แต่จะทำให้บ้านจนลง! มีแต่จะเพิ่มภาระ!”
เสียงแหลมสูงที่เกรี้ยวกราดดุจใบมีดกรีดแทงแก้วหูดังขึ้นข้างหู ตามมาด้วยแรงตบอย่างแรงที่ข้างแก้มจนหน้าสะบัด หูของเธออื้ออึงไปชั่วขณะ โลกทั้งใบหมุนคว้างราวกับลูกข่าง
หนิงหนิงพยายามจะลืมตา แต่เปลือกตากลับหนักอึ้งราวกับมีเหล็กถ่วง เธอเป็ใคร? ที่นี่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้น? คำถามนับพันถาโถมเข้ามาในหัวสมองที่สับสนอลหม่าน ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือภาพแสงไฟนีออนของเมืองใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ฝนที่โปรยปรายลงบนกระจกห้องทำงานชั้น 34 และร่างของเธอที่ฟุบลงบนคีย์บอร์ดหลังจากทำงานหนักติดต่อกันสามวันสามคืนเพื่อปิดโปรเจกต์สำคัญ
ภาพเ่าั้เลือนรางและห่างไกลราวกับเป็เื่ราวของคนอื่น
"ยังจะทำเป็สำออยอีกเหรอ!" แรงกระชากที่ศีรษะรุนแรงขึ้นอีกครั้ง บังคับให้ใบหน้าของเธอเงยขึ้น "มันเทศนั่นน่ะ แกขโมยไปใช่ไหม! ตอบมา!"
ในที่สุดหนิงหนิงก็ฝืนเปลือกตาที่บวมช้ำขึ้นได้สำเร็จ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้หัวใจของเธอแทบหยุดเต้น
นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่อพาร์ตเมนต์หรูของเธอ และยิ่งไม่ใช่โลกที่เธอคุ้นเคย
เพดานไม้สีคล้ำต่ำเตี้ยมีใยแมงมุมเกาะอยู่ตามมุม แสงสลัวๆ ที่ส่องเข้ามา มาจากประตูไม้ที่เปิดแง้มไว้ เผยให้เห็นลานดินกว้างๆ ภายนอก ผนังบ้านทำจากดินอัดผสมฟาง มีรอยแตกร้าวอยู่ทั่วทุกแห่ง เฟอร์นิเจอร์ที่พอจะเรียกว่าเฟอร์นิเจอร์ได้มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ หนึ่งตัวกับเก้าอี้โยกเยกสองสามตัววางอยู่มุมห้อง
และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือใบหน้าที่กำลังจ้องมองเธออย่างเอาเป็เอาตาย
หญิงชราผมขาวโพลนที่มัดเป็มวยต่ำ ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยลึก ดวงตาขุ่นมัวแต่แฝงไว้ด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็เส้นตรง มือข้างหนึ่งของนางกำลังขยุ้มเส้นผมของเธอไว้แน่น ส่วนอีกข้างถือไม้เรียวเล็กๆ ที่เปรอะเปื้อนคราบเืจางๆ
ข้าง ๆ หญิงชรา ยังมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนตัวสั่นเครือ รูปร่างผอมเกร็งจนเห็นกระดูกซี่โครง ผิวพรรณแห้งกร้านราวใบไม้เหี่ยว ใบหน้าซูบซีดเหมือนคนที่ไม่ได้กินอิ่มมาหลายวัน นางจับแขนเด็กสาวเอาไว้แน่น แต่แรงนั้นกลับอ่อนปวกเปียก เหมือนกลัวว่าหากคลายมือแม้เพียงนิด เด็กตรงหน้าจะถูกกระชากไปต่อหน้าต่อตา
ดวงตาของนางหลุบต่ำ สั่นระริก และแดงก่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาผู้เป็แม่สามี สตรีผู้กุมชะตาชีวิตของทั้งนางและลูกชายแท้ๆ ของนางไว้ในกำมือ จ้าวหลันรู้ดีว่าความเกลียดชังที่ท่านย่ามีต่อเด็กคนนี้ คือมรดกตกทอดมาจากความชิงชังที่มีต่อแม่ผู้ให้กำเนิด ภรรยาคนแรกที่ท่านย่าไม่เคยยอมรับ
ริมฝีปากแห้งแตกของนางขยับราวกับจะวิงวอน แต่ท้ายที่สุดก็จำต้องกลืนทุกถ้อยคำลงลำคอ เหลือเพียงเสียงสะอื้นที่แ่เบาจนแทบไม่ได้ยินภายใต้สายตาอันเ็าของย่าหวัง หยาดน้ำตาที่รื้นขอบตามิอาจหลั่งริน ได้แต่แข็งค้างอยู่ด้วยกำแพงน้ำแข็งแห่งความเกรงกลัว
ความเ็ปนั้นสะท้อนออกมาผ่านมือที่สั่นเทา มือที่ปรารถนาจะโอบกอด แต่กลับทำได้เพียงเกาะกุมไว้อย่างสิ้นหวัง เป็ััสุดท้ายแห่งความปรานี ที่นางพอจะมอบให้แก่ลูกเลี้ยงผู้โชคร้ายคนนี้ได้ในนรกขุมนี้
"ท่านแม่ พอเถอะค่ะ เดี๋ยวหนิงหนิงก็ตายกันพอดี" เสียงของจ้าวหลันสั่นเทา แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะขัดขืนอย่างจริงจัง
"ตายสิยิ่งดี! บ้านจะได้ประหยัดข้าวไปอีกปาก!" หญิงชราตวาดลั่น "นังเด็กนี่มันดื้อด้านขึ้นทุกวัน ขนาดโดนตีขนาดนี้ยังไม่ยอมรับผิดอีก!"
ทันทีที่คำพูดเ่าั้จบลง ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอก็ทะลักเข้ามาในหัวของหนิง หนิงราวกับเขื่อนแตก
ภาพของเด็กสาวร่างผอมบางคนหนึ่งปรากฏขึ้นในมโนสำนึก
ชื่อของเธอคือ สวีหนิง เป็เด็กสาววัยสิบห้าปีแห่งหมู่บ้านชิงเหอ ในปี ค.ศ. 1975
นี่คือยุคสมัยแห่งความแร้นแค้นหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม ทุกครัวเรือนได้รับส่วนแบ่งอาหารตามระบบคอมมูนอย่างจำกัดจำเขี่ย ความอดอยากคือเงาที่ติดตามทุกคนไปทุกย่างก้าว
ร่างนี้เป็ลูกสาวคนโตของบ้านตระกูลสวี มีพ่อชื่อสวีเจี้ยนจวิน เป็คนเงียบขรึมและไม่เคยใส่ใจไยดี มีแม่เลี้ยงชื่อจ้าวหลัน คือหญิงวัยกลางคนที่กำลังจับแขนเธออยู่ เป็คนอ่อนแอและขี้ขลาด ไม่เคยปกป้องลูกสาวได้เลย และมีน้องชายตัวอ้วนท้วนคนหนึ่งชื่อสวี่กัง ซึ่งเป็ที่รักของทุกคนในบ้าน
แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านหลังนี้คือย่าของเธอ หวังซิ่วอิง หญิงชราผู้เกรี้ยวกราดที่กำลังทุบตีเธออยู่
สวีหนิงในความทรงจำ เป็เด็กสาวขี้โรค อ่อนแอ และถูกกดขี่มาั้แ่เกิด ในยุคที่ให้ความสำคัญกับแรงงานชาย เด็กผู้หญิงที่ร่างกายไม่แข็งแรงจึงเปรียบเสมือนภาระชิ้นใหญ่ เธอทำงานหนักที่สุดในบ้าน แต่ได้กินน้อยที่สุด เสื้อผ้าเก่าที่สุด และเป็ที่รองรับอารมณ์ของทุกคนเสมอ
สาเหตุของการทุบตีในครั้งนี้ คือมันเทศหัวเล็กๆ เพียงหัวเดียว
สวีหนิงคนเดิมหิวโซมาหลายวันจนทนไม่ไหว เธอแอบหยิบมันเทศดิบที่ซ่อนไว้ใต้กองฟืนมากิน แต่โชคร้ายที่ย่าของเธอมาเห็นเข้าพอดี โทษฐานของการเป็ขโมย คือการทุบตีอย่างทารุณจนแทบสิ้นใจ
และความจริงอันน่าเ็ปก็คือ สวีหนิงคนเดิมได้สิ้นใจไปแล้วจริงๆ จากการทุบตีและความหิวโหยครั้งนี้
หนิงหนิง หญิงสาวแกร่งจากศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน
"บ้าชะมัด" เธอสบถในใจ ลมหายใจติดขัด ความเ็ปทางกายยังไม่เท่าความตกตะลึงที่ถาโถมเข้ามา เธอย้อนเวลา? ทะลุมิติ? ไม่ว่าจะเป็อะไรก็ตาม สถานการณ์ตรงหน้าคือความเป็จริงที่โหดร้ายที่สุด
"ยังจะกล้าเหม่ออีกเหรอ!" ย่าหวังเงื้อไม้เรียวขึ้นสูง เตรียมจะฟาดลงมาอีกครั้ง
วินาทีนั้นเอง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของหนิงหนิงจากยุคใหม่ก็ทำงานเต็มกำลัง เธอไม่ใช่สวีหนิงคนเดิมที่ได้แต่ยอมทนรับการทุบตีจนตาย!
"หยุดนะ!"
หนิงหนิงเปล่งเสียงออกไปสุดแรงเท่าที่ปอดที่บอบช้ำของเธอจะทำได้ มันเป็เสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ แต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้ทุกคนในห้องชะงักงัน
ย่าหวังหยุดค้างกลางอากาศ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แม่จ้าวหลันเองก็ใจนเผลอปล่อยแขนที่จับเธอไว้
หนิงหนิงใช้จังหวะนั้นพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ร่างกายปวดร้าวไปทุกส่วน แต่ดวงตาของเธอกลับจับจ้องไปที่หญิงชราอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป แววตาที่เคยหวาดกลัวและว่างเปล่า บัดนี้กลับฉายแววเ็า คมกริบ และเด็ดเดี่ยวราวกับเป็คนละคน
"มองอะไร! คิดว่าทำตาแข็งแล้วฉันจะกลัวรึ!" ย่าหวังคำราม แต่ในน้ำเสียงกลับมีความลังเลปนอยู่เล็กน้อย
"หนูไม่ได้ขโมย" หนิงหนิงพูดช้าๆ ชัดๆ แต่ละคำหนักแน่นราวกับค้อนทุบ "มันเทศหัวนั้นเป็ส่วนแบ่งของหนูเมื่อสามวันก่อน แต่ท่านย่าเก็บมันไปให้น้องเล็ก หนูแค่เอามันคืนมาเท่านั้น"
"เหลวไหล! ของทุกอย่างในบ้านนี้เป็ของฉัน ฉันจะให้ใครกินหรือไม่ให้กินก็ได้!"
"ตามกฎของคอมมูน ทุกคนมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งอาหารของตัวเอง" หนิงหนิงสวนกลับทันที เธอใช้ความรู้ที่พอมีอยู่เกี่ยวกับยุคสมัยนี้ "ถ้าท่านย่ายืนยันว่าหนูเป็ขโมย งั้นเราก็ไปหาผู้ใหญ่บ้านกัน ให้ผู้ใหญ่บ้านเป็คนตัดสินว่าการเอาอาหารส่วนแบ่งของตัวเองมากิน ถือเป็การขโมยหรือไม่"
คำว่าผู้ใหญ่บ้าน ทำให้สีหน้าของย่าหวังเปลี่ยนไปทันที การทะเลาะวิวาทในครอบครัวเป็เื่หนึ่ง แต่การลากคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องเป็อีกเื่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทุกอย่างต้องรายงานต่อส่วนรวม หากเื่นี้ไปถึงหูผู้ใหญ่บ้านจริงๆ ชื่อเสียงของตระกูลสวีต้องป่นปี้แน่ พวกเขาอาจถูกตำหนิว่าเป็ครอบครัวที่กดขี่ลูกหลานจนต้องขโมยอาหารกิน
"แก แกกล้าขู่ฉันงั้นรึ!"
"หนูไม่ได้ขู่" หนิงหนิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงชรา "หนูแค่พูดความจริง ถ้าต้องตายเพราะความหิว หนูขอตายโดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็พยาน ดีกว่าตายเงียบๆ ในบ้านหลังนี้เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง"
ประโยคสุดท้ายของเธอเฉียบคมและเย็นเยียบจนน่าขนลุก มันไม่เหมือนคำพูดของเด็กสาวอายุสิบห้าที่ควรจะหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่เหมือนคำประกาศของคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและไม่กลัวความตายอีกต่อไป
บรรยากาศในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของย่าหวัง แม่จ้าวหลันยืนตัวแข็งทื่อ มองลูกเลี้ยงที่รักดั่งลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองด้วยสายตาที่ไม่คุ้นเคย เด็กสาวที่อ่อนแอและเอาแต่ร้องไห้อยู่เสมอคนนั้นหายไปไหน? คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือใครกัน?
ย่าหวังจ้องหนิงหนิงเขม็งราวกับจะกินเืกินเนื้อ ในใจของนางทั้งโกรธและสับสน นางไม่เคยเห็นหลานสาวคนนี้อยู่ในสายตา แต่แววตาที่ท้าทายคู่นั้นทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างประหลาด ราวกับว่าคนที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่ เป็ิญญาที่ไม่คุ้นเคย
"ดี ดีมาก!" ในที่สุดย่าหวังก็เค้นเสียงลอดไรฟัน "ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ! ได้! วันนี้ฉันจะยังไม่ตีแกให้ตาย แต่แกไม่ต้องหวังว่าจะได้กินข้าวเย็น! ออกไป! ไปสำนึกผิดในห้องเก็บฟืน
