ยามรุ่งอรุณของหมู่บ้านวั้งหลิน ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้น
มีคนจากทางการเข้ามาในหมู่บ้าน กำลังตรวจสอบและซักถามสถานการณ์ในหมู่บ้านกับหัวหน้าหมู่บ้าน
ชาวบ้านที่ไม่รู้เื่ราวภายใน ต่างรุมล้อมกระซิบกระซาบอยู่ไกลๆ
เมื่อเจินจูได้ยินข่าว ในใจพลันหวาดหวั่นขึ้นมา และคิดถึงการตักเตือนของกู้ฉีก่อนหน้านี้ขึ้นได้
นางรีบไปหาหูฉางกุ้ยและเข้าไปกระซิบข้างหูหนึ่งรอบ
บิดาสกุลหูของนางเป็คนซื่อ นางกลัวว่าเขาจะถูกคนข่มขู่แล้วแพร่งพรายออกมา
หูฉางกุ้ยสีหน้าอึมครึมและมีความตึงเครียดขึ้น เจินจูบอกว่าเื่ที่บ้านขายโสมคนนั้นมีเพียงไม่กี่คนในบ้านที่รู้ ขอแค่เขาสงบสติอารมณ์ เื่อะไรก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
แต่คนที่เขาต้องเผชิญหน้า อย่างไรเสียก็เป็คนที่ทางการส่งมา บอกว่าไม่กังวลคงเป็ไปไม่ได้
“ท่านพ่อ เวลานี้พวกเราต้องไม่ออกไปทำธุระข้างนอก ท่านคิดดูสิ ทำไมทางการต้องมาตรวจสอบและซักถามคนในหมู่บ้านเรา ต้องเป็เพราะครอบครัวเราไปมาหาสู่กับฝูอันถังบ่อยเกินไปแน่นอน คิดว่าครอบครัวเราอาจเป็ครอบครัวที่ขุดโสมคนก็ได้ ดังนั้นท่านต้องจำไว้ว่าครอบครัวพวกเราเพื่อนำกระต่ายไปส่งจึงต้องไปฝูอันถังอยู่บ่อยๆ ทราบแล้วใช่ไหมเ้าคะ” เจินจูกล่าวไม่หยุดอีกหนึ่งรอบอย่างเน้นหนักแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง
หูฉางกุ้ยพยักหน้าโดยมิรอช้า แต่เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขากลับแสดงความกังวลออกมาอย่างทรยศ
“ไม่ต้องกังวล ท่านผ่อนคลายหน่อย รากบัวในสระน้ำยังขุดไม่เกลี้ยงเลย ท่านพ่อ ท่านไปขุดรากบัวในสระต่อเถอะ รอตอนที่พวกเขามาก็ค่อยขึ้นมา ไม่ต้องกังวล ทำท่าทางตามปกติก็พอแล้ว เื่ต่างๆ ยังมีเ้าของร้านหลิวคอยรับผิดชอบอยู่เ้าค่ะ” เจินจูหางานให้บิดาของนางได้ทำเล็กน้อย พอยุ่งขึ้นมาก็จะไม่กังวลแล้ว
“ใช่ๆ ข้าไปขุดรากบัวแล้วกัน” หูฉางกุ้ยพยักหน้าติดต่อกัน
เจินจูวิ่งไปบอกหลี่ซื่อสองสามประโยค
แม้หลี่ซื่อจะตึงเครียด แต่ตั้งสติไว้ได้มากกว่าหูฉางกุ้ย รวมกับนางเป็สตรีมีครรภ์ ไม่เหมาะให้ออกไปต้อนรับแขก ดังนั้นเจินจูจึงไม่ได้กังวลใจกับนาง
เป็ไปตามคาด ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มีบุรุษสองคนสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูน่าเกรงขามมาเคาะประตูลานบ้านสกุลหู โดยเดินทางมาพร้อมกับเ้าหน้าที่ในศาลาว่าการอีกหนึ่งคน
พานเสวี่ยหลันขานรับแล้วไปเปิดประตู กลับถูกคนด้านนอกประตูทำให้ใจนใบหน้าซีดขาว รีบะโเรียกหูฉางกุ้ยที่ขุดรากบัวอยู่ในสระน้ำทันที
“ฉางกุ้ยเอ๋ย ยังขุดรากบัวอยู่หรือ รีบขึ้นมาหน่อย ใต้เท้าเบื้องบนมาหาเ้าสอบถามอะไรเล็กน้อย” เป็จ้าวเหวินเฉียงที่ะโเรียกคน เขาวนเวียนอยู่เป็เพื่อนคนเหล่านี้ภายในหมู่บ้านมาโดยตลอด
“อื้ม ท่านอาจ้าว รอสักครู่ จะรีบไปเดี๋ยวนี้” หูฉางกุ้ยขานรับ
จ้าวเหวินเฉียงนำพาคนไม่กี่คนเข้าไปในห้องโถงอย่างคุ้นเคยดี
จู่ๆ หนึ่งในคนที่มาก็หยุดฝีเท้าลง
เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของจ้าวเหวินเฉียงกลิ้งลงมา หวาดกลัวว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นกะทันหัน
“เก้าอี้ชนิดนี้แปลกใหม่นัก” เสียงของคนที่พูดทุ้มต่ำ มือชี้ไปที่เก้าอี้นอนใต้ชายคาแล้วกล่าว
“อ่า... ฮ่าๆ ใต้เท้าเหอ นี่เป็เก้าอี้ที่กำลังนิยมกันในเมืองไท่ผิงขณะนี้ หลายครอบครัวล้วนสั่งทำ นั่งอยู่ข้างบนโยกขึ้นลงได้ ทั้งสบายและผ่อนคลาย ท่านลองดูสักหน่อยสิขอรับ” จ้าวเหวินเฉียงรีบยิ้มแล้วอธิบายทันที
ใต้เท้าเหอใช้มือแตะไปที่เก้าอี้ มันค่อยๆ โยกเอนขึ้นลงไปตามแรง เขาพิจารณาเก้าอี้เอนด้วยความสนใจ
“คิดไม่ถึงเลย สถานที่เล็กๆ ห่างไกลความเจริญเช่นนี้จะมีสิ่งของแปลกใหม่ไม่น้อย เก้าอี้นี้คุ้มค่าที่จะนอนเอกเขนกลงไปนัก” อีกคนหนึ่งก็มองอยู่สองสามทีอย่างสนใจมากเช่นกัน
หูฉางกุ้ยเช็ดมือเท้าแห้งแล้วจึงรีบร้อนวิ่งเข้ามา
พานเสวี่ยหลันยกน้ำชาเข้ามาอย่างมือไม้สั่นเทาและรีบถอยออกไป
หลังทำความเคารพอย่างมีมารยาทด้วยความตื่นเต้นแล้ว หูฉางกุ้ยก็ยืนอยู่ข้างหนึ่งด้วยความเคารพนบนอบ
“หูฉางกุ้ยใช่ไหม ได้ยินว่าเ้าไปมาหาสู่อย่างสนิทสนมกับฝูอันถังของเมืองไท่ผิง เป็อย่างนั้นหรือไม่?” คำถามของใต้เท้าเหอดูแล้วคล้ายกับถามเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจ แต่ดวงตากลับจ้องเขม็งต่อการแสดงออกของหูฉางกุ้ย
“เรียนใต้เท้า ปีที่แล้วที่บ้านเลี้ยงกระต่าย และได้รับความกรุณาจากเ้าของร้านหลิวของฝูอันถัง พวกเขาจึงมาซื้อกระต่ายที่บ้านเว้นสามวันห้าวัน ครอบครัวข้าน้อยล้วนซาบซึ้งในบุญคุณเ้าของร้านหลิวอย่างยิ่งขอรับ” หูฉางกุ้ยโค้งกายทำท่าทางซาบซึ้งใจไปทั่วทั้งใบหน้า
“คงไม่ใช่แค่กระต่ายกระมัง สินค้าสามเกวียนใหญ่ลากออกไปจากบ้านเ้าเมื่อวาน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็เห็นกันทั้งนั้น” เสียงเ็าของอีกคนหนึ่งถามขึ้น
เอวของหูฉางกุ้ยยิ่งโค้งต่ำลงไปอีก และรีบกล่าวอธิบาย “ใต้เท้า เมื่อวานสระน้ำของบ้านข้าน้อยปล่อยน้ำขุดรากบัว เ้าของร้านหลิวจองรากบัวไว้แต่เนิ่นๆ นานแล้ว บอกว่าเป็นายท่านของพวกเขาชอบทานรากบัวในฤดูใบไม้ร่วง ด้วยเหตุนี้เมื่อวานจึงลากเกวียนไปสามเกวียนขอรับ”
เขาชี้วาดไม้วาดมือไปที่สระบัวในลานบ้านที่ขุดไปมากกว่าครึ่ง
ใต้เท้าเหอชำเลืองมองไปทางสระน้ำแวบหนึ่ง พวกเขาตรวจตราฝูอันถังมาครึ่งค่อนเดือน ย่อมรู้ว่าสิ่งที่หลิวผิงลากไปคืออะไร ไม่เพียงรากบัวเท่านั้น ไม่กี่วันก่อนยังมาเอาเมล็ดบัวและผลพุทราอีกด้วย หลังลำเลียงกลับไปเมืองไท่ผิง ยังจัดการขนส่งไปสกุลกู้ที่อยู่เมืองหลวง ล้วนเป็สินค้าที่มีเฉพาะท้องถิ่นในหมู่บ้านชนบท ม้าเร็วขนส่งไปทางเมืองหลวงจำเป็ต้องใช้เวลาประมาณสิบวันได้
ชิ... ในเมืองหลวงรากบัวและผลพุทราสดๆ อะไรที่ไม่มีบ้าง ถึงได้ต้องขนส่งจากที่ไกลเพียงนี้ไปถึงจวนสกุลกู้อย่างลำบาก ใต้เท้ากู้ไม่แน่ว่าจะชอบด้วย เพราะอย่างไรเสียก็ผ่านไปแล้วสิบกว่าวัน รากบัวเหล่านี้ต่างก็ไม่นับว่าสดแล้ว หลิวผิงชายที่ดูเหมือนท่าทางฉลาดเฉียบแหลมนั่นกลับช่างโง่เขลานัก
“ใต้เท้า ของที่สกุลหูนำไปส่งมอบคงไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พวกเขาอยู่ติดูเา อาหารป่าวัตถุดิบปรุงยามีทุกหนทุกแห่ง คาดว่าของเหล่านี้พวกเขาก็นำไปส่งไม่น้อยด้วยขอรับ” เ้าหน้าที่ทางการด้านข้างที่เดินทางมาด้วยกันกล่าวประจบขึ้นมาทันที
หูฉางกุ้ยหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้น เงยหน้ามองเ้าหน้าที่ทางการที่กล่าวออกมาแวบหนึ่ง
เฮ้อ... กลับเป็คนที่คุ้นตาอย่างมาก นี่ไม่ใช่ทหารเร็วหน้าดำผู้นั้นที่มาซักถามที่บ้านสกุลหูครั้งก่อนหรือ
หูฉางกุ้ยมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีต่อเขาเท่าไร ครั้งก่อนเหตุการณ์ที่พวกเขาทำท่าทีข่มขู่จ้าวหงยู่และหูฉางหลินยังปรากฏชัดอยู่เลย ครั้งนี้ก็มากระพือลมจุดไฟ [1] อยู่ด้านข้างอีก
“อ้อ... ครอบครัวพวกเ้ายังล่าสัตว์และเก็บสมุนไพรได้ด้วยหรือ?” ใต้เท้าเหอมองเขาด้วยสายตาหนาวเหน็บ
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเป็ครอบครัวชาวนาธรรมดา ล่าสัตว์ไม่เป็แล้วก็ไม่รู้จักยาสมุนไพรด้วย ูเาลึกป่าทึบงูแมลงและสัตว์ดุร้ายมากมาย คนในหมู่บ้านเรามีไม่กี่คนที่กล้าเข้าป่าล่าสัตว์เก็บสมุนไพรขอรับ” หูฉางกุ้ยท่าทางซื่อสัตย์และขี้ขลาด
“ใช่แล้ว ใต้เท้า หมู่บ้านวั้งหลินนอกจากครอบครัวเกษตรกรแล้วก็จะมีครอบครัวหรือสองครอบครัวที่ไม่มีที่นาและกล้าเข้าูเาลึก คนธรรมดาไม่มีทางเข้าป่าลึกได้ตามอำเภอใจ ตัวอย่างของผู้าุโรุ่นก่อนที่เข้าูเาไปแล้วไม่สามารถออกมาได้มีมากเกินไป แม้การหารายได้เป็สิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้ด้วยไม่ใช่หรือขอรับ” จ้าวเหวินเฉียงกล่าวเสริม เขาไม่รู้ว่าจุดประสงค์การมาตรวจสอบในหมู่บ้านของคนเหล่านี้คืออะไร แต่ตอนนี้สกุลหูเป็ครอบครัวมีหน้ามีตาที่สุดในหมู่บ้านวั้งหลิน ช่วยพูดคำดีๆ มากหน่อยก็ไม่ผิดแปลก
“แต่ได้ยินชาวบ้านกล่าวกันว่าครอบครัวพวกเ้ามักทานอาหารป่าอยู่บ่อยๆ นี่?”
“เรียนใต้เท้า พี่ชายของท่านแม่ข้าน้อยเป็นายพรานของหมู่บ้านสกุลหวัง อาหารป่าของที่บ้านส่วนใหญ่เป็ท่านลุงส่งมาให้ขอรับ”
“ได้ยินว่า เดิมครอบครัวเ้าเป็ครอบครัวเกษตรกรธรรมดาในหมู่บ้าน ปีที่แล้วประสบมหาโชค เริ่มเกิดความร่ำรวยขึ้น?”
“เรียนใต้เท้า ปีที่แล้วข้าน้อยเริ่มเลี้ยงกระต่ายกับขายเห็ดแห้งหาเงินสำรองเล็กน้อย ต่อมาอาศัยฝีมือครัวของท่านแม่ข้าทำกุนเชียงและเนื้อตากแห้งขายให้กับเ้าของร้านเหนียนของสือหลี่เซียง สิ่งเหล่านี้ถึงทำให้หาเงินได้เพียงบางส่วนเท่านั้นขอรับ”
“…”
ซักถามอย่างต่อเนื่องอยู่หนึ่งเค่อ หูฉางกุ้ยใจเต้นดั่งกลองที่ถูกตี แต่ยังฝืนทำอารมณ์สงบไว้ได้
เมื่อถามข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรไม่ออกแล้ว ใต้เท้าสองท่านจึงมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วจึงออกไปดูกระท่อมกระต่ายของสกุลหู
หูฉางกุ้ยนำทางไปข้างหน้าโดยทันที
หลังคนหนึ่งกลุ่มออกไปจากประตู เจินจูก็เดินออกมาจากมุมกำแพง
ข้างกายมีเสี่ยวหวงท่าทางซื่อๆ ไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาติดตามอยู่ด้วย
“เจินจู ทหารทางการเ่าั้มาทำอะไรหรือ? ไม่ใช่เพราะพวกเราดึงดูดมาใช่ไหม?” พานเสวี่ยหลันใบหน้าซีดขาว วิ่งออกมาถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เจินจูตบมือของนางเบาๆ และกล่าวปลอบ “ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน เป็เพียงผู้ส่งข่าวของเบื้องบน มาถามคำถามที่มีตามปกติ ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร”
นางเดินไปที่ประตูลานบ้าน มองคนหนึ่งกลุ่มเดินไปทางด้านหลังูเา
ในนั้นมีเ้าหน้าที่ทางการคุ้นหน้าคุ้นตาหนึ่งคน เป็ทหารเร็วหน้าดำที่บ่นว่าไม่สามารถรับสินบนกลับไปได้ในครั้งก่อน
“คนเหล่านี้มาทำอะไร?”
หลัวจิ่งเดินออกมาจากมุมลานบ้าน บนใบหน้างามสง่าเต็มไปด้วยเหงื่อ ส่วนบนของเสื้อคลุมเปียกโชก เห็นได้ชัดว่าวิ่งออกมาระหว่างการฝึกซ้อม
“แค่มาถามอะไรนิดหน่อย พวกคำถามทั่วไปเรื่อยเปื่อยตามหน้าที่กระมัง” เจินจูมองเหงื่อที่กำลังจะหยดตรงคางของเขา อดแบ่งความสนใจไปไม่ได้
คำตอบอย่างขอไปทีเช่นนี้ หลัวจิ่งชำเลืองมองนางแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ
“แค่กๆ เ้าดูสิ ก็ไม่ใช่ทหารเร็วหน้าดำครั้งก่อนหรือ ต้องเป็เพราะครั้งก่อนเขาไม่ได้รับเงินสินบนไปแน่นอน เลยโกรธแค้นอยู่ในใจ จากนั้นครั้งนี้เบื้องบนส่งคนมาก็เลยเพ่งเล็งครอบครัวพวกข้าขึ้นมาอีก ช่างเป็คนต่ำทรามไร้ยางอายจริงๆ น่าชังนัก!” เจินจูชี้ทหารเร็วหน้าดำที่ไกลออกไป เมื่อครู่ตอนอยู่ที่มุมกำแพง นางได้ยินอย่างชัดเจน เ้าคนต่ำทรามนี่กล่าวยุยงอยู่ด้านข้างตลอด หากเกิดเื่ผิดพลาดอะไรขึ้นล้วนเป็ความผิดของเขานั่นแหละ
อันที่จริง... นางเดาได้ไม่ผิดเลย
คนที่มาจากเมืองหลวง ต้องไปสอบถามสถานการณ์ที่จวนศาลาว่าการก่อน พอทหารเร็วหน้าดำได้ยินข่าว เขา้าประจบสองคนเบื้องบน ย่อมทำตามความเห็นของพวกเขาพาไปตรวจสอบคนเก็บยาสมุนไพรบริเวณเมืองไท่ผิงทั้งหมดหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่เบื้องบน้า
ครั้งก่อนมายังหมู่บ้านวั้งหลิน เพราะเส้นสายของสกุลหู ทหารเร็วหน้าดำจึงถูกหัวหน้าสายตรวจตำหนิอย่างรุนแรงหนึ่งรอบ ต่อมาเขาได้ตรวจสอบลึกลงไป พบว่าเป็เ้าของร้านหลิวของฝูอันถังออกหน้าให้สกุลหู ตอนนั้นเขาข่มกลั้นความโมโหเอาไว้ข้างใน รอบนี้ใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวงมาถึงก็ไปฝูอันถัง แม้เขาไม่มีคุณสมบัติให้มีส่วนร่วมในการสืบถาม แต่มองสีหน้าจากพวกใต้เท้าออกว่าขั้นตอนไม่ราบรื่นเท่าไร
ต่อมาพวกใต้เท้าให้เขานำทางในหมู่บ้านที่อยู่บริเวณโดยรอบ สำรวจชาวบ้านบางคนที่ดำรงชีพด้วยการเก็บสมุนไพร ทหารเร็วหน้าดำจึงถือโอกาสพาใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านวั้งหลิน สกุลหูมักไปมาหาสู่กับฝูอันถัง ต่อให้ไม่ใช่คนที่ใต้เท้า้าหา แต่ถือเป็การยืมชื่อเสียงของพวกใต้เท้ามาขู่ขวัญคนครอบครัวนี้เสียหน่อย เช่นนี้ก็สามารถทำให้เขาแอบสบายใจได้บ้างแล้ว
คิ้วยาวเฉียงของหลัวจิ่งขมวดทันที สายตากวาดไปทางคนหนึ่งกลุ่มอย่างอึมครึม
หลังตรวจสอบกระท่อมกระต่ายของบ้านเก่าครอบครัวหูหนึ่งรอบแล้ว กลุ่มใต้เท้าเหอก็ออกมาและขี่ม้าตรงออกจากหมู่บ้านไป
ทหารเร็วหน้าดำเห็นสีหน้าของพวกเขาไม่มีความสุข วันนี้ต้องกลับไปอย่างไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรแน่นอน
“ใต้เท้า สกุลหูไปมาหาสู่กับฝูอันถังสนิทสนมเป็อย่างมาก ไม่ซักถามให้มากกว่านี้อีกสักรอบหรือขอรับ?” เขาอดถามไม่ได้
ใต้เท้าเหอชำเลืองมองเขาอย่างเ็าแวบหนึ่ง เ้านี่เอาแต่พาดพิงไปทางสกุลหูไม่หยุด เห็นพวกเขาโง่จริงๆ หรือ?
พวกเขาได้รับคำสั่งลงมาให้ค้นหาเบาะแสของโสมคน ไม่ใช่เพื่อเป็ศัตรูกับจวนสกุลกู้ ต่อให้สกุลหูไปมาหาสู่กับฝูอันถังอย่างใกล้ชิดก็ไม่ใช่คนเก็บโสมคนและนำมาขาย เช่นนั้นแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ทหารเร็วหน้าดำถูกเขาวาดสายตาเ็าผ่านก็ตัวสั่น ไม่กล้ากล่าวมากความอีก
ยามราตรีหนึ่งในสองวันต่อมา หมู่บ้านใกล้เคียงข้างเมืองไท่ผิง หมู่บ้านหลูฮวา
ทหารเร็วหน้าดำเดินไปทางบ้านตนเองอย่างดื่มจนเมามายไม่ได้สติ ปากก็บ่นไปด่าไป “…มารดามันเถอะ ใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวงอะไรกัน เพ้ยๆ… เสียเวลาเหล่าจื่อนัก ผลสุดท้ายผายลมยังไม่ทันปล่อยก็หนีไปแล้ว เื่อะไรก็ล้วนทำไม่สำเร็จ เหล่าจื่อพาไปบ้านสกุลหูนั่น ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักหน่อยเลย ใต้เท้า… ผายลมสุนัขอะไรกัน ไม่มีประโยชน์สักนิดเลย เอิ้ก”
เขาเดินผ่านหัวโค้งหนึ่งอย่างเซไปเซมา ในปากพึมพำไม่หยุด “…เปลืองเวลาเหล่าจื่อมากมายเพียงนั้น แม้แต่รางวัลก็ไม่มอบให้ เพ้ย! เหล่าจื่อขอให้พวกเ้าเลื่อนลำดับขั้นขุนนางไม่ขึ้นไปชั่วชีวิต โอ๊ย”
“อ๊าก” เท้าซ้ายของเขาได้รับการปะทะอย่างหนักเต็มแรงหนึ่งที เ็ปจนเขาร้องโอดครวญขึ้น เสียงดังชัดเจนก้องกังวานไปทั่วค่ำคืนที่เงียบสงัด
“ตูม” กลิ้งตกลงไปยังคลองท่อระบายน้ำด้านข้าง
ในทันทีเขาก็ตกลงไปในท่อน้ำเน่าความสูงครึ่งตัวคน กว่าจะเกาะข้างคลองไว้ได้ไม่ง่ายเลย เท้าซ้ายรู้สึกเ็ปอย่างรุนแรงจนทำให้เขาได้สติกลับมา เขาเงยหน้ามองขึ้นไปคิดจะหาผู้ร้ายที่จู่โจม แต่ในยามค่ำคืนที่มืดมิดสนิท นอกจากเสียงร้องโหยหวนของเขาแล้ว เงาผีล้วนไม่มีให้เห็นเลยสักเงา
เชิงอรรถ
[1] กระพือลมจุดไฟ คือ ปลุกปั่นก่อความไม่สงบให้คนอื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้