“นางตัวบัดซบ เมื่อครู่เ้าว่าอย่างไรนะ?”
สตรีนางนั้นมองมาทางข่งเซวียนเอ๋อร์ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“อินลี่ มีเื่อันใดอย่างนั้นหรือ?”
คนที่กำลังแบกโลงไว้บนหลังที่เหลือต่างก็หยุดชะงักและเอ่ยถามนางทันที
มุมปากของมู่เฟิงกระตุก เกรงว่าข่งเซวียนเอ๋อร์คงล่วงเกินสตรีผู้นี้เข้าแล้ว แต่ทันใดนั้นซือถูคงกับข่งย่วนก็ขยับเข้ามารวมกลุ่มในทันที
“เมื่อครู่สตรีนางนี้กล่าวว่าเราน่าเกลียด”
สตรีนางนั้นจ้องมองไปทางข่งเซวียนเอ๋อร์และกล่าวออกมาอย่างเ็า เมื่อคนอื่นได้ยินดังนั้นสายตาของพวกเขาก็เหลือบมองมาอย่างเ็าเช่นกัน
เนื่องจากเคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึกฝนทำให้รูปลักษณ์ของพวกเขาดูน่าสะพรึงกลัวจนผู้คนหวาดหวั่นเช่นนี้ ดังนั้นการถูกผู้อื่นกล่าวหาว่าน่าเกลียดจึงเป็เหมือนเื่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา
“พี่หู่ ข้า้าดวงตาของสตรีนางนั้น”
อินลี่ชี้นิ้วไปทางข่งเซวียนเอ๋อร์ พลางกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“หึๆ พี่หู่จะไปคว้ามันมาให้เ้าเอง”
ชายร่างกำยำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน และเพียงแค่ดีดฝ่าเท้าร่างกายของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหาข่งเซวียนเอ๋อร์ราวกับลูกธนูทันที เมื่อเขากางฝ่ามือ กรงเล็บสีดำอันแหลมคมก็พลันงอกออกมา กรงเล็บที่ถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังปราณพุ่งเป้าไปที่ดวงตาของข่งเซวียนเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว
เห็นดังนั้นข่งเซวียนเอ๋อร์ก็พลันหวีดเสียงร้องและก้าวถอยออกไปสองก้าวด้วยความใ และในขณะเดียวกัน มู่เฟิงก็เข้ามายืนขวางหน้าข่งเซวียนเอ๋อร์และปล่อยหมัดออกไปทันที หมัดนี้ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง ทั้งยังมีอานุภาพพลังอันรุนแรง
เปรี้ยง…!
เมื่อหมัดนี้กระแทกเข้ากับกรงเล็บของอีกฝ่าย ความแข็งแกร่งของมันก็ทำให้กระดูกมือของชายผู้นั้นแตกร้าวจนเขาต้องหวีดร้องออกมาด้วยความเ็ป อีกฝ่ายก้าวถอยออกไปทันที พร้อมจ้องมองมู่เฟิงด้วยความโกรธ
วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าเช่นกัน แต่ความแข็งแกร่งกลับห่างไกลจากมู่เฟิงเป็อย่างมาก
“เ้า! เ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
ชายผู้นั้นตวาดออกมาด้วยความเดือดดาล และกลุ่มคนของเขาก็เข้ามาล้อมมู่เฟิงกับคนอื่นๆ เอาไว้ทันที
แต่ข่งย่วนและซือถูคงก็พลันะเิคลื่นพลังกังหยวนออกมาเสียก่อน ทำให้กลุ่มคนเ่าั้ต้องถอยออกไปสองก้าว พร้อมกับมองข่งย่วนและซือถูคงด้วยความใ
“ยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นเก้า!”
ในกลุ่มของพวกเขา บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดมีวรยุทธ์ไม่ถึงระดับหนิงกังขั้นหกด้วยซ้ำ ส่วนคนที่เหลือล้วนมีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นแปดขั้นเก้าไปจนถึงระดับหนิงกังขั้นสามเท่านั้น
“เหมือนว่าทุกท่านคงจะเป็คนของตระกูลอินแห่งเมืองจิ่วซาน นี่เป็ครั้งแรกที่น้องสาวข้ามายังเมืองจิ่วซาน นางจึงไม่รู้จักชื่อเสียงของตระกูลอินมาก่อน ดังนั้นอย่าได้ถือสากันเลย”
ข่งย่วนประสานหมัดไปทางคนกลุ่มนั้น
“หึ ในเมื่อเ้าเองก็รู้จักชื่อเสียงตระกูลอินเรา เ้ายังกล้าดีคิดจะต่อต้านพวกเราทั้งที่อยู่กลางเมืองเช่นนี้อีกหรือ?”
ชายวัยกลางผู้หนึ่งตวาดอย่างเ็า
“พวกเราล้วนเป็บัณฑิตจากสำนักศึกษาเทียนอวิ่น หากว่าท่านคิดจะทำให้พวกเราต้องอับอาย เกรงว่าพวกท่านคงต้องคำนึงถึงสถานะของพวกเราให้ชัดเจนกว่านี้ด้วย”
ซือถูคงกล่าวอย่างเ็าเช่นกัน
“บัณฑิตจากสำนักศึกษาเทียนอวิ่น!”
คนกลุ่มนั้นต่างมีท่าทีใเล็กน้อยหลังได้ยินดังนั้น แววตาของพวกเขามีร่องรอยของความหวาดกลัวฉายออกมา
ในดินแดนเป่ยหยวนแห่งนี้ กองกำลังของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นถือเป็กองกำลังระดับแนวหน้า แน่นอนว่าชื่อเสียงของพวกเขาย่อมสามารถเขย่าขวัญของผู้คนได้เป็อย่างดี แม้ว่าตระกูลอินของพวกเขาจะเป็ตระกูลใหญ่ในเมืองจิ่วซาน และยังมีผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะท้าทายอำนาจของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอย่างเปิดเผย
“เหอะๆ ในเมื่อเป็สหายจากสำนักศึกษาเทียนอวิ่น เช่นนั้นเมื่อครู่ก็ถือว่าเป็เื่เข้าใจผิดกันก็แล้วกัน”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นประสานหมัดพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ท่าทีของเขาพลันเปลี่ยนไปในทันที เพียงแต่ชายที่กระดูกมือแตกหักจากหมัดของมู่เฟิงยังคงมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาชิงชัง
“เมื่อครู่ล่วงเกินแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
ถึงอย่างไรัก็ไม่อาจกดงูประจำถิ่นได้ ฉะนั้นข่งย่วนจึงไม่้าสร้างปัญหาและทำให้กองกำลังในท้องถิ่นต้องขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ นางจึงประสานหมัดก่อนจะกล่าวลาทันที จากนั้นก็พาพวกมู่เฟิงและคนอื่นๆ จากไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ เื่เมื่อครู่ขอบใจเ้ามาก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของมู่เฟิง ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำขึ้นมา นางรีบกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงพึมพำราวกับกระซิบทันที
ในขณะมู่เฟิงเพียงพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรมาท่านั้น
“พี่หญิง ตระกูลอินมีความเป็มาอย่างไรกัน? เหตุใดพวกเขาจึงแบกโลงศพเอาไว้บนหลังเช่นนั้น? แต่ละคนก็ดูน่ากลัวยิ่งนัก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ทั้งหมดล้วนเป็เพราะเ้า คำพูดเมื่อครู่ของเ้าเกือบจะสร้างปัญหาแล้ว”
ข่งย่วนเขกมือลงบนหัวของข่งเซวียนเอ๋อร์
“ข้าเพียงพูดไปตามจริงเท่านั้น คนปกติที่ไหนจะมาเดินแบกโลงศพเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาของพวกเขาก็ยังดูน่ากลัวเป็อย่างมาก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์แลบลิ้น ก่อนจะจีบปากจีบคอพูด
“ฮะๆ เซวียนเอ๋อร์ไม่รู้เื่ ดังนั้นไม่อาจตำหนินางได้ ตระกูลอินเป็หนึ่งในไม่กี่ตระกูลที่ฝึกฝนเคล็ดวิถีบัญชาภูตผี และยังเป็กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองจิ่วซานด้วย พวกเขาสามารถใช้ร่างศพเป็หุ่นเชิดในการต่อสู้ได้ และสิ่งที่พวกเขาแบกเอาไว้บนหลังก็คือโลงของหุ่นเชิดนั่นแหละ”
ซือถูคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของเขาดูอ่อนโยนเป็อย่างยิ่ง แตกต่างจากท่าทีที่มีต่อมู่เฟิงโดยสิ้นเชิง
“นำศพมาเป็หุ่นเชิด...ช่างน่าขยะแขยงนัก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กล่าวอย่างรังเกียจ
สีหน้าของมู่เฟิงดูประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ยินเื่เกี่ยวกับวิธีการฝึกและการต่อสู้แบบนี้
“แม้ว่าจะฟังดูชั่วร้ายไปหน่อย แต่วิธีการฝึกเช่นนี้ก็ถือว่าทรงพลังมาก ไม่อาจประมาทได้เลย”
ข่งย่วนกล่าว ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็เดินมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งพอดี แต่ละคนต่างก็จ่ายค่าห้องของตัวเอง ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ภายในห้องพักบนชั้นสามของโรงเตี๊ยม มู่เฟิงกำลังแช่กายอยู่ภายในอ่างน้ำร้อนอย่างสบายตัว หลังจากแช่น้ำแล้วเขาก็นำแผ่นยันต์สำเร็จรูปออกมาเพื่อทำการลงลายเส้น
ภายในวังโบราณจิ่วซานนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นเขาจึง้าเตรียมแผ่นยันต์เอาไว้ให้มากเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
มู่เฟิงนำมีดแกะสลักลายเทวะออกมา ก่อนจะเริ่มสลักลายเส้นลงไปบนแผ่นยันต์ที่ทำมาจากหนังสัตว์ โครงร่างของลายเส้นถูดวาดออกมาอย่างไหลลื่นราวกับธารน้ำไหล
เมื่อเด็กหนุ่มวางมีดแกะสลัก แผ่นยันต์ลายเส้นสีน้ำเงินก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากที่เขาลงลายเส้นเสร็จเรียบร้อยก็ราวกับว่ามีพลังธาตุน้ำแข็งมารวมตัวกัน ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบเย็นะเืลงทันที
มู่เฟิงหยิบแผ่นยันต์ขั้นสองระดับกลางขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มด้วยความพึงพอใจ เวลานี้ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นจนถึงขั้นสองระดับกลางแล้ว เขาสามารถสลักลายเส้นเครื่องรางขั้นสองระดับกลางออกมาได้ และแผ่นยันต์นี้ก็มีชื่อว่าแผ่นยันต์ดาบน้ำแข็ง สามารถะเิพลังโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นหกออกมาได้
หลังจากมู่เฟิงทำแผ่นยันต์นี้ออกมาสำเร็จแล้ว เขาก็ลงมือสลักแผ่นยันต์ดาบน้ำแข็งแผ่นอื่นต่อ
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึง่ดึกสงัด มู่เฟิงยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ จากนั้นเขาก็กลืนเม็ดยาโลหิตลงไปหนึ่งเม็ด เวลานี้เขาสามารถสลักลายเส้นแผ่นยันต์ดาบน้ำแข็งออกมาได้สิบแผ่นแล้ว แม้จะทำล้มเหลวไปสองแผ่นก็ตาม
ในตอนที่มู่เฟิงกำลังเก็บแผ่นยันต์และปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อพักผ่อน เงาร่างหนึ่งก็ะโขึ้นมาบนระเบียงห้องของเขาอย่างเงียบงัน คนผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีดำที่ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด นอกจากนี้เขายังแบกโลงศพสีดำเอาไว้บนหลัง เขาจิ้มท่อไม้ผ่านช่องตรงหน้าต่างก่อนจะพ่นควันดำเข้าไปในห้อง
ควันดำนี้ลอยอบอวลเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว และกลิ่นหอมอันเจือจางนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถตรวจพบได้โดยง่าย
หลังจากรอให้เวลาผ่านไปสิบ่ลมหายใจ ในที่สุดเงาดำที่ซุ่มอยู่ด้านนอกก็เปิดประตูเข้ามาจากทางระเบียงและเดินวางท่าเข้ามาในห้อง
เขามองไปทางมู่เฟิงที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง สีหน้าแสดงออกถึงความชั่วร้าย
“ในเมื่อเ้ากล้าทำข้าจนาเ็ เช่นนั้นข้าจะหลอมร่างกายของเ้าให้กลายเป็หุ่นเชิดของข้าเสีย สามารถบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับนี้ได้ั้แ่อายุยังน้อย คิดว่าพร์ของเ้าคงไม่เลว หากถูกหลอมออกมาเป็หุ่นเชิดย่อมต้องเป็หุ่นเชิดที่ไม่ธรรมดาแน่”
ชายชุดดำพึมพำกับตัวเองขณะยิ้มเย็นออกมา ทันใดนั้นตะปูยาวสามนิ้วงอกก็ออกมาจากนิ้วมือของเขา จากนั้นเขาก็พุ่งตัวออกไปหมายจะแทงมันเข้าที่ลำคอของมู่เฟิงอย่างแรง
มู่เฟิงที่กำลังหลับอยู่พลันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาคว้ามือของชายชุดดำเอาไว้และชกหมัดไปยังท้องน้องของอีกฝ่าย
ปัง...!
ชายชุดดำถูกหมัดกระแทกอย่างแรงจนลอยกระเด็นไปชนกับโต๊ะ เขาเงยหน้ามองมู่เฟิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาสยดสยอง
“เ้า เ้าไม่ได้ถูกข้าวางยาหรอกรึ!”
ชายชุดดำกล่าวขึ้นด้วยความใ เขาไม่รู้เลยว่าประสาทััของมู่เฟิงนั้นฉับไวมาก และเด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นเขาั้แ่ตอนที่เขาะโขึ้นมาบนระเบียงแล้ว
เมื่อมู่เฟิงจ้องมองอีกฝ่ายพลางหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “เ้าเป็ใคร?”
เนื่องจากชายผู้นี้สวมผ้าคลุมปิดหน้าเอาไว้ ดังนั้นตอนแรกมู่เฟิงจึงจำเขาไม่ได้
“ข้ารู้แล้ว เป็เ้านี่เอง”
แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นโลงศพข้างหลังอีกฝ่าย เขาก็ทราบทันทีว่าคนผู้นี้เป็ใคร จะเป็ใครไปได้อีกหากไม่ใช่ศิษย์จากตระกูลอินที่ได้รับาเ็จากหมัดของเขาก่อนหน้านี้