...กลางดึก
บนกำแพงเมืองถงหลิน
ทหารลาดตระเวนเดินตรวจตราอยู่บนกำแพงเมืองอย่างเป็ระเบียบ
ในหอสังเกตการณ์สูงมุมกำแพงข้างหนึ่ง สองพี่น้องสกุลหลัวกำลังพูดคุยกันเสียงเบา
“เ้าไปจะเป็อันตรายเกินไป ให้ข้านำพวกเขาไปดีกว่า” หลัวรุ่ยดวงตาเย็นเยียบแข็งกร้าวขมวดคิ้วแน่น
“ไม่ได้ พรุ่งนี้ตาตาร์อาจเปิดฉากโจมตีเมืองอีกรอบ ท่านพี่ ท่านต้องบัญชาการการรบที่นี่ ไม่อาจเสี่ยงอันตรายได้” หลัวจิ่งส่ายหน้าปฏิเสธ
“เ้าก็รู้นี่ว่ามันอันตราย ยู่เซิง ข้าจะให้เ้าไปได้อย่างไร หากเ้ามีอันเป็ไป ข้าจะมีหน้าไปเจอท่านพ่อท่านแม่ได้หรือ” หลัวรุ่ยเม้มปากแน่น มือที่กุมดาบคู่กายเส้นเืปูดโปนขึ้นมา
หลัวจิ่งตบไปบนแขนของผู้เป็พี่ชายหนึ่งทีเบาๆ ั์ตามีความมั่นใจและเด็ดขาด “ท่านพี่ ข้าไม่มีทางเป็อะไร ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวข้า เวลาผลัดเปลี่ยนกองกำลังลาดตระเวนของพวกเขาในใจข้ารู้ดี ปืนใหญ่สองลำวางนิ่งอยู่ด้วยกัน สามารถจัดการได้ทั้งหมดพอดีเลย ไม่ถึงครึ่งเค่อข้าก็จัดการได้แล้ว”
หลัวรุ่ยพลิกฝ่ามือจับมือของเขามากุมไว้แน่น
ยามอิ๋นเป็เวลาที่ร่างกายหลับลึกที่สุด ส่วนคนที่ไม่นอนก็เป็เวลาที่ง่วงงุนหนักที่สุดเช่นกัน
บนกำแพงเมืองในมุมลับตาทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองถงหลิน ตะกร้าหวายขนาดใหญ่สามใบถูกส่งลงไปด้านล่างกำแพงเมืองอย่างเงียบๆ
ในตะกร้าหวายทุกใบล้วนมีคนใส่ชุดดำยืนอยู่สองคน
พอตะกร้าหวายหย่อนลงถึงบนพื้น คนด้านในก็ะโออกไปทันทีอย่างเงียบเชียบ โค้งกายวิ่งไปทางค่ายทหารกองใหญ่ของศัตรูที่ตั้งมั่นอยู่นอกเมืองอย่างว่องไว
ยามราตรีอันมืดมิดหลัวจิ่งใช้สายตาที่มองเห็นได้ดั่งตอนกลางวันเคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่ว หลบเลี่ยงทหารลาดตระเวนบริเวณค่ายใหญ่ของกองทัพศัตรูได้อย่างราบรื่น
ฝีมือกับกำลังภายในของเขาเมื่อเทียบกับหลัวรุ่ยที่ฝึกการต่อสู้มาตลอดเป็ระยะยาวนานแล้วยังห่างชั้นไปอีกนิด แต่ระดับความว่องไวของสายตาในการวิเคราะห์และประสาทััทั้งห้ากลับสูงเกินกว่าผู้เป็พี่ชายนัก นี่จึงเป็คุณสมบัติที่เขารับภารกิจสำคัญนี้ได้
ในกลางดึกที่มืดสนิท เขาใช้สายตาอันเฉียบคมและประสาทััในการได้ยินอันว่องไวให้เป็ประโยชน์ นำทหารหนึ่งหน่วยออกปฏิบัติภารกิจ หลีกเลี่ยงกองกำลังลาดตระเวน
ไม่นานก็มาถึงที่จัดวางปืนใหญ่ในค่ายของทหารศัตรู
หกคนคลานอยู่ในหลุมตื้นที่ยุบลงไปแห่งหนึ่ง ในอ้อมอกของสี่คนอุ้มถุงน้ำหนังแกะรูปร่างแคบและยาวสี่ใบ ด้านในบรรจุสิ่งของอัดแน่นจนเต็ม
กลุ่มของหลัวจิ่งไม่ไหวติง เริ่มรอคอยเวลาแลกเปลี่ยนเวรยามของทหารลาดตระเวน
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เห็นไฟสุมขึ้นกลางค่ายที่ไกลออกไปค่อยๆ มอดลง หน่วยลาดตระเวนหาวอย่างง่วงงุนเริ่มเดินไปทางกระโจมใหญ่
หลัวจิ่งคำนวณเวลาแล้วกล่าวเสียงเบา “รีบขึ้นไปเร็ว พวกเ้าสองคนสาดฝั่งซ้ายลำนั้น พวกเ้าไปฝั่งขวาลำนั้น หลังสาดเสร็จถอยกลับให้เร็วที่สุด”
เงาดำสี่คนมุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เปิดจุกถุงน้ำหนังแกะออกและเริ่มสาดน้ำมันสีดำใส่บนเกวียนที่วางปืนใหญ่
เวลาไม่กี่อึดใจก็สาดออกไปจนหมดเกลี้ยง
เงาดำถอยกลับไปเส้นทางเดิมอย่างฉับไว
หลัวจิ่งกับชายชุดดำอีกหนึ่งคนรอให้พวกเขาถอยกลับมาได้หนึ่งในสองส่วน จึงล้วงตะบันไฟออกมาจากในอกดึงฝาครอบทิ้งและเป่าทันทีทันใด ตะบันไฟเผาไหม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“โยน!”
...หานสี่กับหลัวรุ่ยยืนอยู่บนกำแพงเมืองที่มืดมิดอับแสง มองปืนใหญ่ที่ถูกคอกด้วยเปลวไฟลุกโชนขึ้นในชั่วพริบตาอยู่ตรงที่ไกลๆ สองคนต่างก็ตื่นเต้นจนร้องออกมาหนึ่งที
ปืนใหญ่ที่ลุกไหม้ทำให้กองกำลังทหารลาดตระเวนบริเวณโดยรอบใตื่น ทหารต่างมุ่งไปรวมตัวกันทางปืนใหญ่อย่างรวดเร็ว
กลุ่มหลัวจิ่งสองคนที่ยังวิ่งไปไม่ไกลถูกค้นพบในทันที
ทหารลาดตระเวนเริ่มไล่มาทางพวกเขา ขณะนี้สองฝ่ายยังมีระยะห่างต่อกันอยู่เล็กน้อย
กลางฝ่ามือของหลัวรุ่ยเริ่มชื้นเหงื่อ
หานสี่เองก็ตึงเครียดจนคิ้วผูกกันแน่น
ทันใดนั้นในค่ายใหญ่ทหารศัตรูได้มีม้าสีดำหนึ่งตัวพุ่งออกมา บนหลังอาชาคือจากานปาลาผมสยายและเท้าเปลือยเปล่า ขึ้นตบบนหลังม้าั์ตาสะท้อนแสงไฟลุกโชน ม้าดั่งลูกธนูที่ดีดออกไปด้วยความเร็วสูงเข้าประชิดกลุ่มหลัวจิ่งสองคนได้อย่างรวดเร็วน่าทึ่ง
สีหน้าของหลัวรุ่ยขาวซีดรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป “พลธนูเตรียมพร้อม”
พลธนูเตรียมรบบนกำแพงเมืองเข้าประจำที่ชิดขอบกำแพงทันที
หลัวจิ่งััได้อย่างว่องไวถึงอันตรายที่ไล่กวดอยู่ด้านหลัง เขาไม่หยุดฝีเท้าเพียงหันไปกวาดตามองจากานปาลาที่ไล่กวดมาทางพวกเขาแวบหนึ่ง
ล้วงเอาสิ่งของบางอย่างออกมาจากในอกอย่างฉับไว และหยุดฝีเท้าลงทันทีพร้อมกับหมุนกายกลับไปเล็งเป้าหมายและโยนไปกลางลำตัวม้าที่ควบเร็วเข้ามา
ทันทีหลังจากนั้นวิ่งไปทางกำแพงเมืองอย่างต่อเนื่องไม่หันหลังกลับไปอีกเลย
จากานปาลาไม่ลดความเร็วลง ฉวยดาบติดกายออกมาเตรียมรับการปะทะ
ชั่วพริบตาเดียวมีกลิ่นเหม็นเน่าหนึ่งสายตีเข้าที่ใบหน้า
จากานปาลาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ตีสะโพกม้าหนึ่งทีอย่างโงนเงนเพื่อหยุดฝีเท้า และเริ่มส่งเสียงร้องโหยหวนสุดจะทนออกมา
“โอ๊ก” จากานปาลาลงจากหลังม้าทันที หมอบอาเจียนอยู่บนพื้นไม่หยุด
หนานหม่านจื่อหน้าซื่อใจเหี้ยมและยังปลิ้นปล้อนอีก ไร้ยางอายนัก ไม่นึกเลยว่าจะใช้สิ่งของที่น่ารังเกียจมากระทำเื่เลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ แหวะ...
น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว เ้าคนไร้คุณธรรมที่ค้นพบสิ่งของชั่วร้ายอำมหิตสิ่งนั้น เขาจะสาปแช่งมัน
หนึ่งคนหนึ่งอาชาล้มอยู่บนถนนสายมืดมิด จนกระทั่งหน่วยลาดตระเวนตามมาถึงด้านหลัง กลิ่นเหม็นเน่าทรงพลานุภาพนั้นยังคงแพร่กระจายอย่างน่าตกตะลึง
ทหารลาดตระเวนที่เพิ่งเข้ามาใกล้ได้ไม่กี่ก้าว ต่างสำลักกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงจนพวกเขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
จากานปาลากับม้าของเขาสำลักจนเกือบจะเป็ลมไปอยู่แล้ว
นับว่ากลุ่มของหลัวจิ่งปฏิบัติภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น
หลังจากขึ้นมาบนกำแพงเมืองและมองจากานปาลาที่อยู่ไกลออกไปล้มลงบนพื้นไม่ไหวติง หลัวจิ่งมีความสุขอย่างถึงที่สุด
ลูกเหม็นชนิดนั้น ในอกของเขายังมีอยู่อีกสองอัน นี่เป็ของที่เขาซื้อมาจากในมือของพรรคชาวยุทธผู้หนึ่งในเมืองถงหลิน
ของสิ่งนี้เขาเคยได้ยินอาจารย์ฟางเอ่ยถึง ในยุทธภพมีพรรคไม่ทราบชื่อมากมาย ในห้องที่ใช้เก็บสินค้าล้วนมียาพิษหรือยาลูกกลอนแปลกๆ ที่ทำการกลั่นหรือเก็บสะสมไว้ในพรรคไม่น้อย
อย่างเช่นผงเคลิ้มอยู่ในภวังค์ [1] ผงเส้นเอ็นอ่อนย้วย [2] ลูกกลอนรังสรรค์ [3]... แล้วยังมีลูกเหม็นที่เหม็นอย่างน่าประหลาดจนหาสิ่งใดเปรียบเทียบมิได้ ซึ่งเป็สิ่งที่เขาซื้อมา และมีผงคันที่เจินจูเอ่ยถึงในจดหมายอีกด้วย
น่าเสียดายปริมาณไม่มากพอ พรรคเล็กๆ นั้นนำยาลูกกลอนทั้งหมดออกมามอบให้ พวกเขาตั้งรกรากกันอยู่ที่เมืองถงหลิน และเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชังต่อพวกป่าเถื่อนที่ก่อาขึ้นเช่นกัน
“ฮ่าๆ หลางเจียงหลัว เ้าทำได้ดี รอาจบลงเปิ่นกงจะรายงานไปทางราชสำนัก ปูนบำเหน็จตามความดีความชอบต่อพวกเ้าอย่างแน่นอน” หานสี่เบิกบานใจจนหัวเราะเสียงดัง ไม่เสียแรงเปล่าที่เขาอยู่บนกำแพงโต้ลมหนาวครึ่งค่อนคืนในกลางดึก
“ขอบพระทัยองค์ชายสี่” หลัวจิ่งรีบแสดงความขอบคุณทันที
“เ้าโยนอะไรใส่เขากัน? เป็ผงสูญเสียจิติญญา [4] หรือลูกเหม็น?” ดวงตาของหานสี่ปรากฏความคาดหวังออกมา
“ทูลองค์ชายสี่ เป็ลูกเหม็นพ่ะย่ะค่ะ” หลัวจิ่งตอบ
“ฮ่าๆๆ” หานสี่หัวเราะจนน้ำตาเกือบเล็ด “เหม็นขนาดนั้นเลยจริงหรือ? ข้าเห็นองค์ชายสามของหว่าชื่อผู้นั้นจวนจะเป็ลมล้มไปอยู่แล้ว?”
“เอ่อ... นี่... น่าจะเหม็นมากกระมังพ่ะย่ะค่ะ?” หลัวจิ่งก็ไม่ทราบเช่นกัน เขาไม่เคยลองเองมาก่อน
แต่ได้ยินผู้นำกลุ่มพรรคเล็กล่าวว่าหากโดนลูกเหม็นบนกายตรงๆ สามารถทำให้คนเหม็นจนเป็ลมไปได้จริงๆ อีกอย่างหนึ่งหากััโดนบนิั สิบวันหรือครึ่งเดือนก็ยังมีกลิ่นติดอยู่
หานสี่เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาเพราะเขาหัวเราะไม่หยุด และถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเ้าไม่โยนผงสูญเสียจิติญญากันนะ? นั่นไม่ใช่ว่ามีประโยชน์กว่าหน่อยหรือ?”
“ทูลองค์ชายสี่ ผงสูญเสียจิติญญาเม็ดใหญ่ง่ายต่อการถูกปัดปลิว ส่วนลูกเหม็นมีพื้นที่ในการกระจายกลิ่นกว้าง ต่อให้ถูกปัดปลิวมากน้อยอย่างไรก็ต้องได้รับผลกระทบไปบ้างพ่ะย่ะค่ะ” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ผู้นำผู้นั้นบอกแก่เขา หากสองชนิดเทียบกันการใช้ลูกเหม็นย่อมค่อนข้างเหมาะสมมากกว่า
“อื้มๆ หลางเจียงหลัวมีไหวพริบนัก ขอแค่เขาได้รับผลกระทบก็สามารถ่ชิงเอาเวลามาได้” หานสี่มีสีหน้าเคารพอย่างสุดซึ้ง ชื่นชมหลัวจิ่งอย่างจริงจัง
“ขอบพระทัยองค์ชายสี่” หลัวจิ่งยังคงโค้งกายแสดงความขอบคุณเช่นเดิม
หานสี่พยักหน้า “เอาล่ะ ยุ่งมาทั้งคืนแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้งดงามยิ่งนัก กลับไปพักผ่อนได้ องค์ชายสามของชาวหว่าชื่อมีกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งกาย คาดว่าพรุ่งนี้คงไม่สนใจโจมตีเมืองขึ้นแล้วล่ะ”
กล่าวจบสีหน้าของเขาก็เริ่มกลั้นหัวเราะขึ้นมาไม่ได้อีกครั้ง
...สองพี่น้องกลับไปลานบ้านที่พักชั่วคราวของตนเอง หลัวรุ่ยจึงตบลงไปบนกายของเขาสองทีอย่างแรง “ยอดเยี่ยมนัก ภารกิจวันนี้สำเร็จได้อย่างล้ำเลิศมาก ความคิดเห็นก็เป็เ้าที่คิดออกมา เ้าเด็กนี่โตแล้ว พี่ปลื้มใจยิ่งนัก”
ใบหน้าหลัวจิ่งแข็งทื่อลง อยากบอกกับผู้เป็พี่ชายอย่างมากว่าความคิดเห็นไม่ใช่เขาที่เป็คนคิดออกมา แต่เป็แม่นางน้อยผู้หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไกลพันลี้เป็ผู้คิดออกมาต่างหาก
ในจดหมายของเจินจู เขียนแผนการและอุบายเกี่ยวกับามากมายหลากหลายไม่น้อย นางเขียนได้ไม่มีลำดับขั้นตอนเท่าไร ราวกับคิดถึงสิ่งใดก็เขียนสิ่งนั้น เช่น อ้อมไปด้านหลังของศัตรู เผาเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าของพวกเขาทิ้ง ไม่มีเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าก็กลายเป็เสือไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่เพียงพอให้น่าหวาดกลัว...
แล้วยังกล่าวว่า แสดงการตั้งรับการโจมตีจากศัตรูภายนอกแล้วลับหลังส่งทหารม้าออกไป อ้อมไปด้านหลังทหารศัตรู สังหารโดยไม่ให้ไหวตัวหรือรับมือได้ทัน
หรือกลางดึกเที่ยงคืนส่งผู้มีฝีมือสูงแทรกซึมเข้าไปในค่ายศัตรู จุดไฟเผากระโจมและจับกุมผู้บัญชาการกองทัพมา
สรุปแล้วเป็การเสนอที่ไร้เดียงสาไม่รู้จักความหวาดหวั่นใดๆ และยังมีความคิดเห็นอย่างเหนือชั้นของข้อมูลเชิงลึกที่ยอดเยี่ยมชัดเจนอีกด้วย
หลัวจิ่งเลือกคำแนะนำที่ดูแล้วดีจากในนั้น นำมารวมกับสถานการณ์สู้รบจริงๆ คอยสังเกตหน่วยลาดตระเวนกองทัพศัตรูอยู่สองคืนอย่างละเอียด ด้วยเหตุนี้จึงได้มีปฏิบัติการอย่างในวันนี้ขึ้น
ผลลัพธ์ที่ออกมาได้รับการยืนยันแล้วว่า มีผลเป็ที่น่าพึงพอใจอย่างมาก
พูดคุยกับหลัวรุ่ยอยู่สองสามประโยค สองคนก็เร่งรีบไปล้างหน้าบ้วนปากหนึ่งรอบ และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน
นอกประตูท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาเล็กน้อย หลัวจิ่งยุ่งอยู่ตลอดทั้งคืน ขณะนี้เขานอนหงายอยู่บนเตียงแต่ไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทรา
เป็เวลาสามปีเต็มๆ แล้วที่เขาออกมาจากบ้านสกุลหู แค่คิดเขาก็รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่ข้างในอย่างยิ่ง
ต้นหงเฟิงทั่วทั้งูเาน่าจะแดงเต็มูเาซิ่วซีแล้วกระมัง? ต้นหวายม่วงกับกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยตรงกำแพงบ้านจะยังผลิบานไปทั่วอยู่หรือไม่? ผลไม้ข้างทางปีนี้จะเก็บเกี่ยวผลได้มากอีกหรือเปล่า? …
ในหัวของเขาปรากฏสรรพสิ่งที่เกี่ยวกับบ้านสกุลหูแวบเข้ามานับไม่ถ้วน สุดท้ายความคิดได้หยุดชะงักอยู่ที่ใบหน้างดงามน่ารัก หัวเราะอย่างมีความสุขสนุกสนานมีชีวิตชีวาไปทั้งดวง
เขา... คิดถึงนางมากเลย
จริงๆ
...ในตอนที่โหยวอวี่เวยไปจากบ้านสกุลหู ไม่ได้เอาเล่อเล่อไปด้วย
ความเห็นของเจินจูคือ รอให้นางเตรียมจะกลับเมืองหลวงก่อน ค่อยพาเล่อเล่อกลับไป
ไม่กี่วันนี้ปล่อยให้มันได้อยู่กับเสี่ยวหวงสักหน่อย ไม่แน่ว่าการจากลาครั้งนี้ อาจเป็การจากไปตลอดกาล
พอกล่าวออกไปเช่นนี้ โหยวอวี่เวยเกือบน้ำตาร่วงหล่น
กล่าวอย่างเซื่องซึมกับเจินจูด้วยความลังเลว่า นางไม่เอามันไปเมืองหลวงแล้วจะดีกว่า ให้พวกมันแม่ลูกแยกจากกัน นางแข็งใจทำไม่ได้
เจินจูหัวเราะ รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้จิตใจงดงามและไร้เดียงสาจริงๆ เด็กน้อยเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องยืนด้วยตัวเอง ลูกสุนัขก็เช่นกัน ลูกสุนัขสามตัวล้วนต้องตกไปเป็ของผู้อื่น แม้ไม่ใช่นางเอาเล่อเล่อไปก็ต้องมีคนอื่นมาเอามันไป
พอโหยวอวี่เวยได้ฟังก็รีบแสดงออกทันที ถ้าเช่นนั้นก็ให้นางพามันไปแล้วกัน
ดังนั้นสองวันมานี้ โหยวอวี่เวยจึงมาบ้านสกุลหูั้แ่เช้าตรู่ทุกวัน รอจนบ่ายแล้วค่อยกลับเข้าไปในเมือง
เจินจูค่อนข้างประทับใจในตัวโหยวอวี่เวยอย่างมาก จึงยินดีที่จะอยู่บริเวณโดยรอบเป็เพื่อนเล่นกับนางพักหนึ่ง
ไปดูกระต่ายท้ายหมู่บ้าน และถือโอกาสปีนขึ้นหลังเขา
ไปชมทัศนียภาพบนเขาซิ่วซี และไปบึงมรกตสักรอบ
เวลาสองวันโหยวอวี่เวยเหน็ดเหนื่อยจนเจ็บเอวและปวดหลังไปหมด แต่ในระหว่างนั้นก็มีความสนุกเพลิดเพลินไปด้วย
คุณหนูตระกูลขุนนางครอบครัวร่ำรวยที่มีฐานะเหมือนเช่นนางนี้ จะได้ปีนเขาลงน้ำเก็บดอกไม้และงมปลาด้วยตัวเองสักเท่าไรกัน
อยู่ที่หมู่บ้านวั้งหลิน นางได้ลองััมาทั้งหมดแล้วและยังลองได้อย่างมีความสุขมากอีกด้วย
โหยวอวี่เวยจึงตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตก็สามารถใช้ได้ตามอำเภอใจเช่นกัน
น้องสาวเจินจูบอกว่า ชื่นชอบชีวิตอิสระเสรีไร้ข้อบังคับ ที่แท้แล้วเป็ความสบายใจมากจริงๆ ด้วย
ตรงกันข้ามกับสุขจนลืมจ๊ก [5] ของนาง เป็เมอเมอหวังกับจื่อยู่กลับใบหน้าอมทุกข์
เมื่อคุณหนูปีนเขา พวกนางย่อมต้องตามไป แตู่เาบริเวณโดยรอบนี้ไม่ใชู่เาเล็กธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็ูเาซิ่วซีที่มีต้นหงเฟิงเต็มไปทั่วทั้งูเาเป็พิเศษ ชัยภูมิูเาสูงและชัน แม้สกุลหูจะปรับแก้และสร้างถนนบนูเาแล้ว แต่ก็ยังคงเดินทางได้ยากลำบากอยู่
เดินกันทั้งวัน สองคนเหน็ดเหนื่อยจนขาสั่นระริก
สายตาที่มองไปทางเจินจูต่างคับแค้นใจบางอย่างที่กล่าวออกมาไม่ได้
เจินจูแสดงออกอย่างจนปัญญา นางไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย
เชิงอรรถ
[1] ผงเคลิ้มอยู่ในภวังค์ หรือ 迷魂散 คือ ผงที่มีฤทธิ์ทำให้สมองงุนงง เบลอ สับสน
[2] ผงเส้นเอ็นอ่อนย้วย หรือ 软筋散 คือ ผงที่มีฤทธิ์ทำให้เส้นเอ็นอ่อนแรง
[3] ลูกกลอนรังสรรค์ หรือ 造化丹 คือ เม็ดยาทรงกลม เป็ยาอายุวัฒนะชั้นดี ที่เมื่อการฝึกปรือพลังยุทธ์ถึงระดับคอขวดจะสามารถฝึกได้อย่างก้าวะโ
[4] ผงสูญเสียจิติญญา หรือ 失魂散 มีฤทธิ์คล้ายกับผงเคลิ้มอยู่ในภวังค์ โดยจะทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
[5] สุขจนลืมจ๊ก หรือ 乐不思蜀 หมายถึง การอุปมาเปรียบเปรยถึงคนที่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในที่ใหม่จนลืมบ้านเกิดหรือรากเหง้าของตนเอง ความหมายอาจลดระดับลงมาเป็การพูดเล่นโดยทั่วไปว่า สนุกจนลืมกลับบ้าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้