เช้าวันที่สอง หลิงมู่เอ๋อร์ยืมเกวียนวัวมาจากบ้านของหลิงฉี่ไห่ นำเตาอันหนักอึ้ง ข้าวห่อไข่ที่ทำไว้เสร็จแล้ว และเครื่องปรุงรสที่นางได้ปรุงรสเรียบร้อยไว้ล่วงหน้ายกขึ้นบนเกวียนวัว หลังจากนั้นก็รีบขับเกวียนวัวออกจากบ้าน ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดที่จะติดตามไปกับนางด้วย แต่นางไม่ยินยอม
นางไม่รู้ว่าสถานะตัวตนที่แท้จริงของซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นเป็อย่างไร แต่ว่านางดูออกว่าเขามีเื่ของตนเองที่ต้องจัดการ ระหว่างเขากับนางมีช่องว่างระยะห่างที่ห่างชั้นกันมากๆ นางไม่อยากผูกมัดเขาไว้ข้างกาย ยิ่งผูกพันยิ่งนานวันก็จะไม่สามารถแยกห่างจากกันได้ ่ระยะนี้เขาช่วยนางดูแลเื่ภายในบ้าน แค่นี้ก็ซาบซึ้งในบุญคุณของเขามากแล้ว ดังนั้น ชีวิตจากนี้ไป ขอให้นางได้ก้าวเดินต่อไปด้วยตัวคนเดียวเถิด
ซั่งกวนเซ่าเฉินคือผู้มีพระคุณของนาง ช่วยให้นางก้าวผ่าน่เวลาที่มืดมนที่สุดได้ นางไม่สามารถทำกับเขาเหมือนเป็ตู้กดเงินได้ สิ่งใดล้วนพึ่งพิงอาศัยเขาไปเสียหมด สุดท้ายก็ไปจากเขาไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่รำคาญ แต่นางรำคาญ
นางใช้เวลาสองวันในการฝึกบังคับเกวียนวัว เกวียนวัวเล่มนี้นางยืมมาจากหลิงฉี่ไห่ รับปากว่าจะให้เงินค่าเช่าหนึ่งวันสิบอีแปะ หลิงฉี่ไห่ไม่รับเงิน แต่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ยืนกรานที่จะให้
นางขับเกวียนวัวมาถึงในตัวเมือง มองหาที่กว้างขวางเพื่อที่จะจอดเกวียน ขณะที่นางขนย้ายเตาก่อไฟลงมานั้น สีหน้าท่าทางของผู้คนที่สัญจรไปมาด้านข้างก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ ถึงอย่างไรเตาใบนั้นก็หนักอึ้งเอาการ แม้ว่าจะเป็บุรุษร่างใหญ่กำยำก็ต้องเสียแรงมากมายในการขนย้าย คาดไม่ถึงเลยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะยกลงมาได้อย่างสบายๆ นี่มันพละกำลังอันใดกัน? ช่างผิดแปลกจริงๆ
หลังจากรอให้นางขนย้ายของลงมาแล้ว นางกลับหาที่จอดเกวียนวัวเล่มนั้นไม่ได้ นั่นจึงทำให้นางลำบากขึ้นมา นางทอดถอนหายใจพลางเอ่ย “รู้อย่างนี้ให้หลิงฉี่ไห่ขับมา แล้วก็นำเกวียนกลับไปด้วยเสียก็คงจะดี”
ขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังรู้สึกลำบากใจอยู่นั้น ทันใดนั้นหลิงฉี่ไห่ก็รีบวิ่งเข้ามา กล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มว่า “ฮา น้องสาวมู่เอ๋อร์ บังเอิญจริงเชียว! ”
หลิงมู่เอ๋อร์กลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านตามข้ามา? ”
“จะเป็ไปได้อย่างไร? เ้าขับเกวียนเร็วขนาดนั้นก็ถึงแล้ว ข้าจะไปเดินเร็วกว่าเกวียนวัวได้อย่างไรกัน? ” หลิงฉี่ไห่เอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้ามาถึงก่อนหน้านี้แล้ว”
“ในเมื่อมาแล้วก็นำเกวียนไปจอดไว้ที่อื่นเถิด! เป็ข้าที่ไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง ไม่คิดว่ามันจะกีดขวางการค้าขายของข้า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“ได้ ข้าเป็เสี่ยวเอ้อร์อยู่ที่นี่ ข้าจะนำเกวียนไปจอดพักไว้ที่ลานของเ้านายให้ก่อน รอเ้าทำงานจนเสร็จแล้ว ข้าค่อยขับมาให้เ้าอีกที” หลิงฉี่ไห่เอ่ย “น้องสาวหลิงเอ๋อร์ เ้ามีสิ่งใด้าให้ช่วยอีกหรือไม่ ข้าสามารถช่วยเ้าได้หมดเลย พวกเราเป็คนหมู่บ้านเดียวกัน ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเอ่ยคำว่าเกรงใจ อย่าได้เกรงใจกับข้าอย่างเด็ดขาด”
หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับอย่างเ็าเพียงหนึ่งเสียง
หลิงฉี่ไห่พยายามเอาใจอย่างสุดความสามารถแล้ว ถึงแม้นางจะไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ขับไล่ ขอเพียงแค่เขาไม่ได้เข้าไปกีดขวางนาง เจตนาของคนธรรมดาๆ เหล่านี้ นางยังคงยอมรับได้อยู่
หลิงฉี่ไห่นำเกวียนวัวขับออกไป หลิงมู่เอ๋อร์จัดเตรียมเตาเรียบร้อยแล้ว นางก็วางหม้อใบใหญ่ ก่อนนำข้าวห่อไข่มาอุ่นบนเตา
ในยุคโบราณไม่มีกล่องอาหารจานด่วน นางจึงใช้ไม้ไผ่ลำใหญ่ผ่าครึ่งเป็สองส่วน ทำมาเป็ชามไม้ไผ่ นำข้าวห่อไข่วางลงใส่ข้างในได้อย่างพอดี ไม้ไผ่หนึ่งข้อข้าวห่อไข่หนึ่งชิ้น ตอนนี้กำหนดราคายี่สิบอีแปะต่อหนึ่งชิ้น
ไข่ไก่หนึ่งใบหนึ่งอีแปะ ข้าวสารหนึ่งชั่งสิบอีแปะ วันนี้นางเตรียมข้าวห่อไข่มาห้าสิบชิ้น อยากที่ลองจะสำรวจตลาดเสียก่อน ถ้าหากการค้าไม่เลว พรุ่งนี้ค่อยทำมากหน่อย ข้าวห่อไข่ห้าสิบชิ้นเหล่านี้รวมต้นทุนแล้วอยู่ที่แปดสิบอีแปะ ถ้าหากสามารถขายออกไปได้ หักต้นทุน ค่าฟืน ค่าน้ำมันค่าเกลือ กำไรสุทธิจะอยู่ที่เก้าร้อยอีแปะ
ฟังดูแล้ว หนึ่งวันได้หนึ่งตำลึงเงินดูเหมือนจะไม่มาก แต่ว่าราคาตลาดในตอนนี้ ในครึ่งปีสามัญชนคนธรรมดาก็เก็บเงินได้ไม่ถึงหนึ่งตำลึงเงินเลยด้วยซ้ำ
หลิงมู่เอ๋อร์อุ่นข้าวห่อไข่เสร็จแล้ว นำขวดเครื่องปรุงรสจัดวางให้เรียบร้อย นางเตรียมเครื่องปรุงรสมาทั้งหมดห้าอย่าง ในนั้นมีเครื่องปรุงรสอาหารทะเลสามแบบ เพียงแต่จะแตกต่างกันแค่ระดับของความเผ็ดเท่านั้น อีกสองชนิดจะเป็เครื่องปรุงรสผลไม้ที่มีรสหวาน ผลไม้ในมิติมีเป็จำนวนมาก นางไม่สามารถหยิบออกมาทานได้ ก็เลยนำมาทำเป็เครื่องปรุงรส
เมื่อวานตอนเย็นทุกคนในบ้านล้วนกินข้าวห่อไข่ หลิงจื่ออวี้กินเครื่องปรุงรสผลไม้ กินไปทั้งหมดสองชุดเต็มๆ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ให้เขากินอีก เขายังทำสีหน้าน้อยอกน้อยใจด้วย
หยางซื่อ หลิงต้าจื้อและหลิงจื่อเซวียนกินเครื่องปรุงรสอาหารทะเล ความชอบของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกเครื่องปรุงรสจึงไม่เหมือนกัน แต่ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินและนางชอบเหมือนกัน เลือกเครื่องปรุงรสอาหารทะเลที่เผ็ดที่สุด
สิ่งของภายในมิตินั้นมีคุณภาพสูงมาก หลิงมู่เอ๋อร์ทานด้วยความเบิกบานใจยิ่ง คนในครอบครัวสกุลหลิงได้รับการบำบัดรักษาโดยน้ำพุิญญา สุขภาพนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งผิวพรรณของหยางซื่อก็ยิ่งอ่อนนุ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“กลิ่นหอมยิ่งนัก! ” หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะยกฝาหม้อเปิดขึ้น กลิ่นหอมกรุ่นพลันแผ่กระจายออกไป
น้ำที่หลิงมู่เอ๋อร์ใช้ทำอาหารก็เป็น้ำในมิติ ผักที่อยู่ในข้าวห่อไข่ก็เอามาจากในมิติเช่นเดียวกัน ส่วนเครื่องปรุงรสก็ใช้ผลไม้และอาหารทะเลในมิติมาทำ แน่นอนว่ารสชาติย่อมไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามา ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นหอมของข้าวห่อไข่ของนาง นางจึงแย้มรอยยิ้มพลางเอ่ย “ท่านอาสะใภ้ ้าลองชิมดูสักหน่อยหรือไม่เ้าคะ? อร่อยมากทีเดียวเ้าค่ะ”
ขณะพูด นางหยิบข้าวผัดขึ้นมาหนึ่งห่อ นำมันออกมาแบ่งเป็ส่วนเล็กๆ สิบส่วน ก่อนจะใช้ไม้ไผ่สิบท่อนนั้นเป็ภาชนะรอง
“ข้าวที่ห่ออยู่ในนี้ก็คือสิ่งนี้เ้าค่ะ สิ่งนี้เรียกว่าข้าวห่อไข่ ข้างนอกคือไข่ไก่ ข้างในคือข้าว ของอาจจะดูธรรมดา แต่ว่าข้าปรุงด้วยสูตรลับที่สืบทอดมาจากตระกูล รสชาติหอมอร่อยไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าท่านไม่เชื่อ ก็ลองชิมดูก่อนได้เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นข้าวผัดส่วนหนึ่งให้กับสตรีนางนั้น
สตรีผู้นั้นแต่งตัวไม่เลว ผิวพรรณบอบบางนุ่มนวล บนข้อมือยังสวมกำไลทองอยู่หนึ่งวง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็คนที่มีฐานะทางครอบครัวไม่เลว
คนเช่นนี้ใช้จ่ายมือหนัก ขอเพียงแค่ได้พบเจอสิ่งของที่ชอบ นางก็จะซื้อโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่นิด ดังนั้นหลิงมู่เอ๋อร์จึงใจกว้างกับนางเช่นนี้ ยินดีนำข้าวขาวที่แสนแพงส่งให้นางชิม
สตรีนางนั้นได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ จึงรับมาด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย นางหยิบตะเกียบไม้ไผ่ที่ใช้หนึ่งครั้งแล้วทิ้งขึ้นมา คีบข้าวเข้าไปในปาก
“หืม...” สตรีนางนั้นมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อย่างประหลาดใจ “อร่อย”
“ยิ่งถ้าหากกินคู่กับไข่ไก่ และเครื่องปรุงรสสูตรพิเศษของข้า เช่นนั้นก็จะยิ่งอร่อยขึ้นไปอีกเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยด้วยท่าทียิ้มแย้ม
หญิงออกเรือนมองข้าวห่อไข่ที่อยู่ในหม้อของหลิงมู่เอ๋อร์ ทุกชิ้นล้วนห่อด้วยไข่เป็อย่างดี มองดูแล้วสวยงามยิ่งนัก ไข่ทุกๆ ใบทอดออกมาเป็สีเหลืองทองนวลอร่าม งดงามเป็อย่างยิ่ง
“ราคาเท่าไร? ” เป็อย่างที่หลิงมู่เอ๋อร์คาดคิด สตรีท่านนี้ฐานะมั่งคั่งร่ำรวย ไม่เคยให้ตนเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม ประกอบกับข้าวผัดของหลิงมู่เอ๋อร์อร่อยอย่างที่ว่าไว้จริง จึงทำให้นางมีความคาดหวัง
“ยี่สิบอีแปะเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินสามารถลองชิมตอนนี้ได้เลย ถ้าเกิดว่าไม่อร่อยข้าขอไม่รับเงินจากท่าน ข้าพอจะดูออกว่าฮูหยินคงกินแต่อาหารอันโอชะรสเลิศ จะต้องรู้จักคุณภาพสินค้าอย่างดีเป็แน่”
“ข้าวผัดของเ้าไม่เลว ข้าขอลองสักหน่อย! เ้าบอกว่าเครื่องปรุงรสของเ้าเป็สูตรลับไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ให้ข้าดูสักหน่อยว่ามันเลิศรสเพียงใด” สตรีผู้นั้นแลบลิ้นเลียปากก่อนกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์ตักข้าวห่อไข่หนึ่งชิ้นยื่นไปให้สตรีผู้นั้น นางแนะนำเครื่องปรุงรสเหล่านี้ พลางเอ่ยถาม “ท่านอาสะใภ้ ชอบรสหวานหรือว่ารสเผ็ดเ้าคะ? ”
“รสหวานแล้วกัน! ข้าชอบรสชาติอ่อนๆ ” สตรีผู้นั้นกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์เลือกเครื่องปรุงรสผลไม้รสชาติอ่อนที่สุดให้หญิงผู้นั้นไป เครื่องปรุงรสผลไม้นั้นมีสีแดงๆ ดูแล้วงดงามเป็อย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์บีบเครื่องปรุงรสผลไม้ให้สตรีท่านนี้ลิ้มรส หลังจากนั้นั์ตาของนางก็เปลี่ยนไปในทันที “อร่อย! อร่อยเหลือเกิน! บีบให้เพิ่มอีกสักนิดได้หรือไม่? ”
“ท่านอาสะใภ้คือลูกค้าคนแรกของข้า ข้าจะให้สิทธิพิเศษแก่ท่านเ้าค่ะ ที่จริงแล้วส่วนประกอบของเครื่องปรุงผลไม้นี้พิเศษมาก ราคาก็ยิ่งไม่น้อย ถ้าหากอยากเพิ่มปริมาณ ต้องเพิ่มราคาเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์บีบเครื่องปรุงรสให้กับหญิงคนนั้นอีกครั้ง “ท่านอาสะใภ้ ท่านชิมดูเป็อย่างไรบ้าง? ถ้าหากว่าอร่อย ก็สามารถให้คำติชมกับข้าได้เ้าค่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว นางหนูอย่างเ้าผู้นี้ไม่ตระหนี่ถี่เหนี่ยว ข้าก็ไม่อาจตระหนี่ได้เช่นกัน” สตรีผู้นั้นกินข้าวห่อไข่ รสชาติที่หอมกรุ่นฟุ้งกระจายออกมาจากปากจนทำให้นางเกือบกัดลิ้นตนเอง “อร่อย อร่อย ลูกชายที่เรือนของข้าเลือกกินเป็อย่างยิ่ง ทุกวันเพียงแค่คิดว่าจะต้องทำสิ่งใดให้เขากินก็กลัดกลุ้มจนผมจะขาวหมดแล้ว สิ่งนี้ของเ้า… คือข้าวห่อไข่ใช่หรือไม่? ไม่เลว ไม่เลว เอาให้ข้าอีกสองชิ้น ไม่... ห้าชิ้น ข้าจะเอาไปให้ท่านปู่ท่านย่าของเขาด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มแย้มพลางเอ่ย “ได้เ้าค่ะ ข้าจะห่อให้ท่านอาสะใภ้เดี๋ยวนี้เลย ตอนที่ท่านอาสะใภ้กลับไปก็อุ่นอีกเล็กน้อย ถึงแม้ว่ารสชาติจะไม่เป็เหมือนตอนนี้ แต่ก็ยังคงอร่อยมากเหมือนเดิมเ้าค่ะ”
“นี่คือหนึ่งร้อยอีแปะ จงเก็บไว้ดีๆ ” สตรีผู้นั้นจ่ายเงินอย่างใจกว้าง
“ท่านอาสะใภ้ สิ่งที่เรียกว่าข้าวห่อไข่นี่… อร่อยจริงๆ หรือ? ยี่สิบอีแปะก็แพงเกินไปแล้วกระมัง? ” หญิงชราที่ห้อมล้อมชมดูอยู่ข้างๆ เอ่ยถามอย่างสงสัย
“บ้านของข้าเปิดร้านอาหาร อาหารของนางอร่อยหรือไม่อร่อย ข้ายังไม่มีสิทธิ์พูดอันใดอีกหรือ? ” สตรีนางนั้นไม่พอใจที่ผู้อื่นสงสัยในรสปากของนาง “ถ้าหากว่าเ้าไม่เชื่อ อย่างนั้นก็ลองชิมดู ถ้าเกิดว่ามีอาหารในนี่ที่อร่อยกว่าข้าวห่อไข่ของร้านนาง ข้าก็จะใช้แซ่ตามเ้า ไม่เสียเวลาคุยกับเ้าแล้ว ข้าจะต้องรีบนำอาหารไปให้ลูกที่จวน หากเย็นไปก็จะไม่อร่อยขนาดนี้แล้ว”
“ฮา… นี่คือ… ” หญิงชราที่อยู่ด้านข้างเองก็รู้จักสตรีนางนั้น ดังนั้นจึงถามออกไปเช่นนี้ ได้ยินนางพูดอย่างนี้แล้ว หญิงชราก็ยิ่งเชื่อมั่นขึ้นมาอีกหลายส่วน
ผู้คนเหล่านี้ล้วนอาศัยอยู่ในเมือง ปกติแล้วผู้คนแถวชนบทจะเข้ามาในเมืองด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือมาขายของ สองคือมาซื้อของ คนส่วนมากมักจะมาขายของแล้วค่อยนำเงินที่ได้ไปซื้อของอีกที
ข้าวห่อไข่ที่หลิงมู่เอ๋อร์ขายแพงถึงขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีคนคุยโวจนน่าสนใจ ทว่าพวกเขาได้ยินราคานั้นก็ถึงกับต้องก้าวถอยสักเก้าสิบลี้ [1] เพราะฉะนั้น ผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่ตรงนี้ล้วนเป็คนในเมืองเกือบทั้งสิ้น มีเพียงส่วนน้อยที่เป็คนในชนบทที่ทางบ้านมีฐานะไม่เลว ครั้นได้กลิ่นหอมกรุ่นนั้นก็ให้รู้สึกปวดใจกับราคาไม่น้อย เหล่าผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่ที่นั่นไม่ยอมไปไหนแต่ก็ไม่ยอมซื้อ จึงทำให้บริเวณรอบๆ ที่แห่งนี้แออัดขึ้นมา
“ท่านป้าท่านอาทุกท่าน วันนี้ข้านำสินค้ามาเพียงเล็กน้อย ทั้งหมดมีเพียงห้าสิบชิ้นเท่านั้น เมื่อสักครู่ขายไปแล้วห้าชิ้น ตอนนี้เหลืออีกแค่สี่สิบห้าชิ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าทุกท่านสนใจ สามารถต่อแถวซื้อได้เลย และเพราะวันนี้เป็การทำการค้าครั้งแรกของข้า ข้าอยากให้ทุกคนได้คุ้นเคยกับสินค้าของบ้านพวกเรา ดังนั้นจึงปรับราคาลดลง พรุ่งนี้ก็จะไม่ใช่ราคานี้แล้ว พรุ่งนี้ราคาจะอยู่ที่สามสิบอีแปะต่อหนึ่งชิ้นเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงดัง
“อันใดนะ? พรุ่งนี้เ้ายังจะปรับราคาขึ้นอีก? สิ่งนี้ของเ้าเป็อาหารให้เทพเซียนกินหรืออย่างไรกัน? ถึงแพงขนาดนี้? ” สตรีที่อยู่ข้างๆ ผู้นั้นกล่าววาจาด้วยถ้อยคำเจ็บแสบเสียงดัง
“ท่านอาสะใภ้ท่านนี้ ในตอนนี้ท่านไม่คิดที่จะซื้อ พรุ่งนี้ข้าจะปรับราคาหรือไม่ก็ดูเหมือนว่ามันเกี่ยวอันใดกับท่าน” ขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวนางก็ยิ้มตาหยี แต่ว่าในดวงตาคู่นั้นกลับทอแสงเย็นเยียบออกมา
สตรีนางนั้นเป็คนที่ยากจะรับมือด้วย นางขายขนมเปี๊ยะอยู่ด้านข้าง ขนมเปี๊ยะของนางหนึ่งอันราคาหนึ่งอีแปะ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดมาซื้อ กลับกันแล้วข้าวอันใดนั่นของนางหนูคนนั้นขายหนึ่งชิ้นยี่สิบอีแปะ กลับขายออกไปแล้วห้าชิ้น ในใจนางเกิดความริษยา คิดที่จะหาเื่ลำบากให้นาง ดังนั้นจึงเกิดเื่ราวเช่นนี้ขึ้น
ตอนนี้ได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวแบบนั้น นางคิดที่จะโต้กลับตามสัญชาตญาณ เื่ทะเลาะวิวาทในหมู่บ้านหากนางคือที่สอง ไม่มีผู้ใดกล้าเป็ที่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม แววตาของหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านหน้า ทำให้สตรีนางนั้นถึงกับใกลัว นางตบไปที่อกของตนเอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเบาว่า “์ทรงโปรด นางหนูนี่ช่างน่ากลัวเสียจริง ดูแล้วเป็คนไม่น่าหาเื่ด้วยเลย”
สตรีคนนั้นสงบปากลง หลิงมู่เอ๋อร์จึงกลับมาให้ความสนใจกับลูกค้าที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง นางคุยโม้เกี่ยวกับเครื่องปรุงรสที่ตนเองทำขึ้นมาเป็พิเศษไปพักใหญ่ ทำให้ในใจของคนเ่าั้ว้าวุ่นสับสนไปหมด
“ช่างเถิด หญิงชราอายุมากถึงขนาดนี้แล้ว มีอันใดที่ไม่เคยกินมาก่อนกัน? ข้าวห่อไข่อันใดสิ่งนี้ เพิ่งจะได้ยินเป็ครั้งแรก เ้ายังกล่าวอีกว่าเครื่องปรุงรสของบ้านเ้าฝีมือเป็หนึ่งไม่มีสอง เช่นนั้นข้าคงต้องขอลองสักหน่อยแล้ว กล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ยายแก่เชี่ยวชาญด้านการขายเครื่องปรุงรสทุกชนิดโดยเฉพาะ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเห็นเครื่องปรุงรสที่ดีกว่าของบ้านยายแก่เลย ข้าจะดูสักหน่อยว่าจะเป็อย่างที่เ้ากล่าวมาทั้งหมดจริงหรือไม่”
เชิงอรรถ
[1] ถอยให้เก้าสิบลี้ หมายถึง ไม่สู้รบตบมือกับผู้อื่น หรือยอมถอยให้อีกฝ่ายด้วยความสมัครใจ