คำพูดของหญิงชราทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้เชี่ยวชาญในการขายเครื่องปรุงรสโดยเฉพาะผู้หนึ่ง ตอนนี้กำลังทดสอบแม่นางน้อยที่ขายอาหารเป็ครั้งแรก ผลสุดท้ายจะเป็อย่างไรกันนะ?
แล้วก็ยังมีข้าวห่อไข่ที่ไม่เคยกินมาก่อน จะอร่อยเหมือนอย่างที่แม่นางน้อยกล่าวไว้จริงๆ หรือไม่?วันนี้ราคาเพียงยี่สิบอีแปะ พรุ่งนี้ก็จะขายในราคาสามสิบอีแปะ นี่สามารถซื้อเนื้อได้สองชั่งเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ได้อร่อยขนาดนั้น คาดว่าทุกคนคงทำลายแผงร้านของนางไปแล้วกระมัง?
เพียงแต่ว่า เมื่อครู่เถ้าแก่เนี้ยที่เปิดร้านอาหารได้ลองลิ้มรสแล้ว ก็ยืนยันแล้วว่าอาหารที่นางขายนั้นไม่เลวเลย ดังนั้น ถึงแม้ว่ารสชาติจะไม่ได้ล้ำเลิศเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ก็น่าจะพอไปวัดไปวาได้
ในใจของทุกคนมีแผนการในใจขึ้นอย่างมากมาย เดิมทีคนที่ลังเลตัดสินใจไม่ได้ล้วนแต่รั้งรออยู่ที่นี่ รอดูการประเมินของหญิงชรา
หญิงชราใช้ปลายนิ้วจิ้มไปที่เครื่องปรุงรสเล็กน้อยแล้วเอาเข้าปาก ด้านหน้ามีเครื่องปรุงรสอยู่ห้าอย่าง ในฐานะที่เป็ปรมาจารย์ด้านเครื่องปรุงรส แน่นอนว่าต้องค่อยๆ ชิมทีละอย่าง หลังจากที่นางลิ้มรสจนครบหมดแล้ว นางก็มองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยใบหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก ดูแล้วน่าเกรงขามเป็อย่างยิ่ง
เหล่าคนทั้งหลายมองไปทางหญิงชรา รออยู่เป็นานแล้วก็ไม่ได้คำตอบอันใดจากนาง จนมีคนที่ข่มอารมณ์ไม่ไหวเอ่ยถามออกมาว่า “ท่านป้า เป็อย่างไรบ้าง?”
หญิงชรากล่าวนิ่งๆ ว่า “รสชาติ… ยอดเยี่ยมมาก”
นางจงใจหยุดชะงักไปชั่วครู่ ตอนแรกแสร้งตีหน้าขรึม ทุกคนจึงคิดว่ารสชาติธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ทำให้หญิงชรารู้สึกพิเศษอะไร ทว่าพอถึงตอนสุดท้าย สีหน้าของหญิงชราก็แปรเปลี่ยนไปทันที นางหยิบเงินหนึ่งร้อยอีแปะออกมาจากอก แล้วกล่าวว่า “ข้าเอาห้าชิ้น ห่อให้ข้าด้วย แล้วก็ เ้ากล่าวว่าถ้าจะเพิ่มเครื่องปรุงรสจะต้องจ่ายเงินเพิ่มใช่หรือไม่?ข้าอยากซื้อเื่ปรุงรสทั้งหมดของเ้า เ้า้าเงินเท่าไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมรู้ราคาของเครื่องปรุงรสเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่นางไม่คิดจะขาย เพราะว่าสิ่งที่นาง้าไม่ใช่เงินค่าเครื่องปรุงรสเ่าั้
สำหรับแนวโน้มที่ดีของหญิงชรา นางไม่ได้กระวนกระวายใจ ยังคงมีรอยยิ้มอย่างสงบเยือกเย็น “ขออภัยเ้าค่ะ เครื่องปรุงรสขายพร้อมกับข้าวห่อไข่ ข้าไม่ได้ขายแยกเฉพาะเครื่องปรุงรสเพียงอย่างเดียว ขอกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบัง เครื่องปรุงรสเหล่านี้ใช้สูตรลับพิเศษ นั่นก็คือสูตรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อท่านแม่ได้รับาเ็ พี่ชายล้มป่วย ข้าต้องประคับประคองครอบครัวนี้แต่เพียงผู้เดียว ข้าก็คงไม่นำออกมาขายเ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้มีชะตาชีวิตที่ลำบากจริงๆ ” สตรีที่อยู่ด้านข้าง มองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ในเมื่อทุกคนล้วนพูดว่าข้าวห่อไข่ของเ้าอร่อย ข้าก็เอาด้วยสองชิ้น!”
“ข้าเอาสามชิ้น” คนที่อยู่ด้านหลังเดินเบียดเข้ามา “นี่คือเงิน จงเก็บไว้ดีๆ รีบเอามาให้ข้าเร็วเข้า ข้าหิวจะทนไม่ไหวแล้ว”
คนผู้นั้นคือบุรุษร่างใหญ่กำยำ เขาน่าจะเพิ่งทำงานเสร็จ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเหงื่อ ตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์ยื่นข้าวห่อไข่ให้เขา เขาก็เข้ารับมาจากนั้นก็กินอย่างตะกละตะกลาม
“อร่อย อร่อย เอามาอีกสิบชิ้น…” บุรุษผู้นั้นกล่าว แล้วหยิบเงินออกมาสองพวง หนึ่งพวงหนึ่งร้อยอีแปะ สองพวงก็เป็สองร้อยอีแปะ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ปฏิเสธลูกค้าพวกนี้ ถึงแม้บนกายของพวกเขาจะมีกลิ่นเหม็นไปบ้าง แต่ว่าพวกเขาคือคนทำงาน จะไม่มีกลิ่นเหงื่อได้อย่างไร?เขาไม่ได้ขโมยหรือแย่งชิง เป็คนที่ควรค่าแก่การเลื่อมใส
“ชอบกินรสเผ็ดหรือไม่เ้าคะ?เมื่อครู่ท่านทานไม่กี่คำก็หมดแล้ว ข้ายังไม่ทันได้เอ่ยถามท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ใบหน้าของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยหนวดเคราที่เชื่อมถึงจอนผมและปิดแก้มทั้งสองข้าง รูปลักษณ์หยาบกระด้าง เพียงแค่เขาปรากฏตัว ผู้คนโดยรอบก็ถอยหลังไปสองสามก้าว อีกทั้งยังปิดจมูกด้วยท่าทางรังเกียจ
บุรุษผู้นั้นทำราวกับมองไม่เห็น เขากล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “เอารสเผ็ด ขอบคุณแม่นางมาก”
หลิงมู่เอ๋อร์ราดน้ำเครื่องปรุงรสทะเลให้เขาในปริมาณมาก
บุรุษผู้นั้นนั่งยองอยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงเริ่มลงมือทานคำใหญ่ ชั่วพริบตาเดียว ข้าวห่อไข่ทั้งสิบชุดนั้นก็ได้ลงไปอยู่ในท้องของเขาแล้ว เขาตบที่ท้องแล้วเรอออกมา
“อร่อยยิ่งนัก!ข้ากินมาแล้วทั่วทุกสารทิศ ไม่เคยกินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน” ชายคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
คนด้านข้างแสดงท่าทางรังเกียจออกมา สภาพเช่นนี้กินมาแล้วทั่วทุกสารทิศ ช่างขี้โม้เอามากจริงๆ เขานึกว่าตนเองเป็ผู้ใดกัน? ก็แค่ยาจกคนหนึ่งเท่านั้น
“อร่อยมากจริงๆ ยังเหลืออีกกี่มากน้อย? พี่น้องของข้าเ่าั้ยังไม่เคยได้ลิ้มลอง ข้าซื้อทั้งหมดเลย จะนำกลับเอาไปให้พวกเขา” ชายคนนั้นมองดูข้าวห่อไข่ในหม้อของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตะกละตะกลาม
เหล่าคนทั้งหลายที่ได้ยินต่างร้อนใจกันใหญ่ บุรุษผู้นี้กินไปสิบสามชิ้นในคราเดียว เดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว เขายังคิดที่จะซื้อทั้งหมดกลับไปอีก?เช่นนั้นที่พวกเขาที่ดมกลิ่นหอมมาตั้งนาน สุดท้ายจะไม่ได้อันใดติดไม้ติดมือกลับไปเลยหรือ?
”หมดแล้วหมดแล้ว พวกข้าทุกคนล้วนแต่จะซื้อทั้งสิ้น เ้าคนนี้ไม่ต่อแถวไม่พอ ยังจะมาแย่งซื้ออีกหรือ?” สตรีนางหนึ่งรีบกล่าวอย่างร้อนใจ “บุรุษร่างใหญ่หนึ่งคน ยังไม่ละอายแก่ใจมาแย่งชิงของของสตรีอีกหรือ?ลูกของข้าร้องไห้อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว เ้ายังไม่อายที่จะรังแกเด็กอีก”
“ใช่แล้ว!ทั้งหมดเหลือเพียงเท่านี้เอง พรุ่งนี้ยังต้องขึ้นราคาอีก วันนี้เ้าซื้อหมดแล้ว พวกข้าจะซื้ออย่างไร?” คนข้างๆ เตือนอีกหนึ่งเื่ที่ทุกคนมองข้ามไป พรุ่งนี้ของจะแพงกว่านี้
ในเวลานี้ ทุกคนต่างไม่ลังเลกันอีกแล้ว แต่ละคนต่างพากันพุ่งเข้ามาตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ แย่งกันกล่าว “แม่นาง ข้าเอาห้าชิ้น…”
“ข้าเอาสิบชิ้น…”
“ข้าเอาสองชิ้น…”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้รีบร้อนขายแต่อย่างใด นางมองทุกคนด้วยความลำบากใจ “ท่านป้า ท่านอาสะใภ้ พี่ชาย พี่สาวทุกท่าน พวกท่านก็เห็นกันแล้ว ทั้งหมดเหลือเพียงเท่านี้แล้วเ้าค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มลอง ข้าตัดสินใจว่าจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ทุกท่านสามารถซื้อได้เพียงแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น ถ้าเยอะกว่านี้… ก็ต้องรอพรุ่งนี้แล้วเ้าค่ะ”
“ห๊ะ… นางหนูผู้นี้ ย่อมต้องเป็ผู้ใดมาก่อนได้ก่อนสิ ” ท่านป้าคนหนึ่งร้องขึ้น “พรุ่งนี้ก็เป็สามสิบอีแปะแล้ว…”
“แต่ว่า พวกท่านต่างมาพร้อมกัน ก็เรียกไม่ได้ว่าผู้ใดมาถึงก่อนมาถึงหลัง” หลิงมู่เอ๋อร์วางมือ “ไม่เช่นนั้น เพื่อความยุติธรรม ก็ให้พี่ชายท่านนั้นเอาไปทั้งหมด เช่นนี้พวกท่านทุกคนก็จะได้ไม่ลำบากใจ ข้าก็จะได้รีบกลับไปดูแลท่านพ่อท่านแม่ที่ได้รับาเ็ด้วย”
“อย่าอย่าอย่า…เช่นนั้นหนึ่งชิ้นก็ได้!” ทุกคนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอันใดอีก ถ้าหากขืนยังพูดต่อไป ข้าวหนึ่งชิ้นนั้นก็ไม่เหลือแล้ว
“เช่นนั้นทุกท่านก็ต่อแถวกันเถิดเ้าค่ะ!พี่ชาย ท่านจำเป็ต้องมาพรุ่งนี้แล้ว ขออภัยจริงๆ เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับบุรุษร่างกำยำด้านข้าง
บุรุษร่างกำยำผู้นั้นโบกมืออย่างใจกว้าง เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้!เก็บเพิ่มอีกสิบอีแปะก็ไม่แพง อาหารของเ้าคุ้มค่ากับราคาค่างวดนี้ ”
“ในเมื่อไม่มีความคิดเห็นอันใดแล้ว เช่นนั้นทุกท่านก็ต่อแถวเถิดเ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว นางยกเตาขึ้นมา แล้วหันไปอีกทิศทางหนึ่ง จากนั้นก็เติมฟืนเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวเย็นลง
ทุกคนถึงกลับสูดลมหายใจ พละกำลังของแม่นางผู้นี้… มากเกินไปแล้วกระมัง?
ชายร่างกำยำผู้นั้นใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน เขากลืนน้ำลายลง มองไปที่ทิศทางของเรือนที่อยู่ตรงหน้า สบสายตากับดวงตาที่เ็าราวกับจะเกาะตัวเป็แข็งคู่หนึ่ง
เขาคิดอยากพูดกับคนผู้นั้นว่า พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านชมชอบความงามแบบนี้นี่เอง รสนิยมดุดันไม่เบาเลยจริงๆ!
ที่บริเวณชั้นสองของเรือนฝั่งตรงข้าม มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ทอดมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังยุ่งอยู่กับงาน ด้วยั์ตาอ่อนโยน
บุรุษหยาบกระด้างสองสามคนที่อยู่ข้างๆ มองสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาของชายผู้นั้น และก็มองเงาร่างที่กำลังยุ่งง่วนกับงาน ทุกคนต่างมองหน้ากัน ท่าทางราวกับเห็นผี
ท่านพญายมยิ้มแล้ว?
ท่านพญายมยิ้มให้เพียงเพราะสตรีหนึ่งคน?
คงไม่ใช่ว่าวันนี้ตะวันจะขึ้นทางทิศตะวันตกหรอกกระมัง?
“พี่ใหญ่ แม่นางท่านนั้นเป็น้องสาวบุญธรรมของท่านจริงๆ หรือขอรับ?” ชายผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างยิ้มๆ
“เ้าโง่หรืออย่างไร?ตอนนี้เป็น้องสาวบุญธรรม ต่อไปก็เป็น้องสะใภ้ แม่นางผู้นั้นเด็กเกินไปแล้ว ยังต้องบำรุงอีกหน่อย ” อีกหนึ่งคนหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าฮ่า ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง” ทุกคนหัวเราะกันดังลั่น
“หากยังพูดอีกคำ ข้าจะทำให้พวกเ้าทุกคนกลายเป็ใบ้ ก่อนโยนไปทิ้งที่หอไป่ฮวา” ชายที่อยู่ด้านข้างมองพวกเขาด้วยสายตาแหลมคม
เสียงนั้นแซ่เสียงหัวเราะของทุกคน ทุกเสียงพลันหยุดอย่างกะทันหันทันที
“กล่าวความจริง พี่ใหญ่ ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งลูบๆ ที่จมูก แล้วยิ้มอย่างประจบประแจงพลางกล่าว “เอ่อ… ให้น้องสาวบุญธรรมของท่าน น้องสาวบุญธรรมของพวกข้าส่งอาหารเ่าั้มาให้พวกข้าคนละชิ้นได้หรือไม่ขอรับ?อยู่ตั้งห่างก็ยังสามารถได้กลิ่นอันหอมฉุยน่ากินนั่นได้ พี่สามยังกินรวดเดียวหมดไปสิบสามชิ้น เขาอิ่มท้องจวนจะตายแล้วกระมัง”
“หนึ่งตำลึงเงินหนึ่งชิ้น” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างราบเรียบ “จ่ายเงินแล้วก็จะเอามาส่งให้พวกเ้า”
“เอ่อ… พวกเราเป็คนกันเอง กินข้าวหนึ่งชิ้นยังต้องพูดเื่เงินอีกหรือ?พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านกลายเป็คนตระหนี่ถี่เหนียวไปแล้วหรือ?ช่างน่ากลัวจริงๆ พี่ใหญ่ผู้ที่กล้าหาญไร้เทียมทานของข้ามาอาศัยอยู่สถานที่เล็กๆ แห่งนี้หลายปี คนก็กลายเป็คนตระหนี่ถี่เหนี่ยวไปเสียแล้ว” คนด้านข้างๆ เอ่ยอย่างไม่พอใจ
ชายผู้นั้นไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เขามองไปยังทิศทางตรงข้าม เห็นเพียงแต่แผงขายของของสาวน้อยผู้นั้นไม่มีลูกค้าอยู่แล้ว และนางกำลังเก็บกวาดทำความสะอาดแผงขายของอยู่
วันนี้เป็การทดลองขาย หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตระเตรียมโต๊ะและเก้าอี้ เพราะว่ามีเพียงแค่ห้าสิบชิ้นเท่านั้น และยังบรรจุใส่ในกระบอกไม้ไผ่อีกด้วย จึงสามารถถือติดตัวไปได้
ดูจากความนิยมของวันนี้แล้ว พรุ่งนี้นางน่าจะต้องตระเตรียมโต๊ะเก้าอี้รวมถึงชามกับตะเกียบมาด้วย
เตาที่เคยเตรียมให้นางในตอนแรกสามารถจุดไฟในสถานที่ตรงนั้นได้เลย แม้ว่านางอยากจะทำข้าวห่อไข่ที่นั่นเลยก็ย่อมทำได้ ถึงอย่างไรนางก็บอกได้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถเลียนแบบข้าวห่อไข่ของนางได้
“หลังจากนี้คอยเฝ้าจับตามองที่นี่ให้ข้า ถ้าหากมีคนมาก่อความวุ่นวาย พวกเ้าคงรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร” ชายคนนั้นไม่ได้เอ่ยระบุแน่ชัดว่าให้จับตามองผู้ใด แต่ว่าคนข้างกายเขาล้วนเข้าใจความหมายของเขาชัดเจน
ทุกคนต่างใจนพูดไม่ออก
ไม่นึกเลยว่าพี่ใหญ่จะให้พวกเขาจับตามองสาวชาวบ้านตัวน้อยคนนี้?พวกเขาทุกคนล้วนเคยผ่านงานใหญ่ ทว่าตอนนี้กลับต้องมาเสียเวลาจับตามองสาวชาวบ้านตัวน้อยคนหนึ่ง?งานนี้ของพี่ใหญ่โเี้เกินไปแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ทำความสะอาดเตาเรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะเก็บเสร็จ สตรีออกเรือนที่ซื้ออาหารไปคนแรกก็วิ่งกลับมา นางเช็ดเหงื่อพลางเอ่ยว่า “ไม่มีแล้วหรือ?ข้ารีบร้อนกลับมา นึกไม่ถึงว่าก็ยังมาทัน แม่นาง พรุ่งนี้เ้ายังขายอีกหรือไม่?บุตรชายที่จวนข้าชอบกินสิ่งนี้ยิ่งนัก เมื่อครู่ซื้อกลับไปห้าชิ้น เขากินคนเดียวหมดเลย”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางรีบร้อนของนางก็พยักหน้าอย่างขอโทษ “ขายหมดแล้วจริงๆ เ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าก็ยังจะมาอีก เพียงแต่ว่าราคาของพรุ่งนี้จะเปลี่ยนเป็สามสิบอีแปะเ้าค่ะ”
“เื่นี้ข้ารู้ เมื่อสักครู่เ้าเคยพูดไปแล้ว อาหารของเ้ารสเลิศ เงินแค่นี้ไม่นับเป็อันใด ขอกล่าวแบบไม่ปิดบังเ้า บุตรชายผู้นั้นของข้าเลือกกินมากเหลือเกิน เขาเป็ลูกชายคนเดียวในบ้าน ทุกคนในตระกูลจึงล้วนตามใจเขา ยามปกติเขากินข้าวเชื่องช้าเป็อย่างยิ่ง ทว่าวันนี้กินอย่างว่องไวมาก ทุกคนในตระกูลล้วนดีใจเป็อย่างยิ่ง”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าเก็บไว้ให้ท่านหนึ่งชิ้นเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มแล้วมองไปที่สตรีออกเรือนที่กำลังบ่นอยู่ ถึงปากของนางจะบ่นอยู่ แต่ว่าดวงตาของนางเต็มไปรอยยิ้ม มารดาผู้ให้กำเนิดนั้นช่างแตกต่างกันนัก
สตรีนางนั้นส่ายหัว “หนึ่งชิ้นไม่พอ พรุ่งนี้เ้าเตรียมให้ข้าสิบชิ้นเถิด”
“ตกลงเ้าค่ะ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะทำให้มากขึ้นอีกหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ถ้าท่านอาสะใภ้ไม่มีเื่อันใดแล้ว ข้าขอกลับบ้านก่อนนะเ้าคะ”
“เ้ากลับเถิด!” สตรีนางนั้นหลีกทางให้หลิงมู่เอ๋อร์
ในเวลานี้เอง หลิงฉี่ไห่ก็ขับเกวียนวัวเข้ามาพอดี เขาตีลังกาะโลงมา ช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ยกของ ปากเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “น้องสาว เมื่อครู่มีขอทานมาบอกว่าเ้าขายของที่นี่หมดแล้ว ข้ายังไม่คิดอยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็ความจริง การค้าของเ้าดีจริงๆ พรุ่งนี้ก็ทำให้มากขึ้นหน่อยเถิด!”
“ขอทาน?” หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้ว “เหตุใดถึงมีขอทานมารายงานท่านเล่าเ้าคะ?เป็คำสั่งของท่านหรือ?”
“ไม่ใช่นะ!ข้าจะกล้ามาจับตามองเ้าได้ที่ใดกัน!” หลิงฉี่ไห่ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าว “น้องสาวเ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้ามิได้ทำอย่างนั้นแน่นอน”
“อืม ไม่ใช่ท่านก็ดีแล้ว ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ขอเพียงแค่ไม่ได้หาเื่ข้ากับครอบครัวข้า ข้าก็ไม่ได้ป่าเถื่อนชอบใช้ความรุนแรงขนาดนั้น” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยนิ่งๆ
หลิงฉี่ไห่ตำหนินางในใจ อย่างเ้ายังเรียกว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรง?เช่นนั้นข้าก็คงถูกเรียกว่านักปราชญ์แล้ว