พระราชวังแห่งแผ่นดินต้าเว่ยเป็สถานที่ที่กว้างใหญ่และน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
มันกว้างใหญ่ ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาซึ่งเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันกว้างใหญ่มโหฬารเพียงไรกันแน่
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ขันทีที่เดินนำทางอยู่หน้าขบวนโค้งตัวลงเล็กน้อยและถือโคมไฟที่มีแสงเพียงริบหรี่เอาไว้ในมือ
ซูฉางอันรู้สึกว่าท่าทีของขันทีผู้นั้นแลดูน่าขบขันยิ่งนักทั้งที่หากยืดหลังตรงก็ได้ แต่ขันทีผู้นี้กลับโค้งตัวให้หลังค่อมราวกับเต่าก็ไม่ปานแถมยังหดหัวตลอดเวลา ราวกับว่าหากยืดคอออกมาจะมีมีดเหวี่ยงลงมาตัดหัวอย่างไรอย่างนั้น
เพราะรู้สึกเบื่อเล็กน้อยซูฉางอันจึงเริ่มมองสำรวจสิ่งก่อสร้างภายในพระราชวังไปพลางๆ
ตำหนักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม
ทั้งยิ่งใหญ่และทรงพลังเหลือเกินมันสวยงามมากกว่าสิ่งก่อสร้างไหนๆ ที่ซูฉางอันเคยได้พบ
เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วจึงมีโคมไฟห้อยเรียงรายอยู่หน้าตำหนักตลอดทาง แต่หาได้ช่วยให้พื้นที่โดยรอบสว่างไสวขึ้นได้สักเท่าไรกลับทำให้บรรยากาศแลดูเคร่งขรึมและเข้มงวดมากยิ่งกว่าเดิมต่างหาก
ลมหนาวโชยพัดเข้ามา ทำให้ซูฉางอันสั่นเทาด้วยความหนาวเย็นจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าพระราชวังที่ตนฝันถึงมาโดยตลอดไม่ได้งดงามและหรูหราอย่างที่ตนคาดคิดเอาไว้เสียเท่าไรนัก แต่มันคล้ายกับิญญาร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อรอจังหวะที่จะดูดกลืนร่างของผู้คนเข้าไปต่างหาก
จู่ๆ เขาก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว ว่าสิ่งที่กดทับจนขันทีผู้นั้นยืดตัวตรงไม่ได้คือสิ่งใดกันแน่
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ เขาพลันรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งกาย และถอนสายตากลับมาในที่สุดซูฉางอันเลิกคิด แล้วเปลี่ยนมาเดินตามกลุ่มคนไปยังจุดหมายอย่างสงบแทน
แน่นอนว่าตำหนักไท่เหอซึ่งเป็สถานที่สำหรับจัดงานเฉลิมฉลองต่างๆ ของพระราชวัง เป็สถานที่ที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ
ส่วนเื่ที่ว่ามันกว้างใหญ่มากขนาดไหน ซูฉางอันก็ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรดีแต่หากเทียบกับโถงจัดงานของสำนักปาฮวงที่เขาได้ไปตอนเพิ่งมาฉางอันแรกๆ แล้ว ที่นี่ก็กว้างใหญ่มากกว่านับสิบเท่าเลย
ตำหนักไท่เหอถูกแบ่งเป็ตำหนักชั้นในและชั้นนอก
ตำหนักชั้นนอกกว้างใหญ่มโหฬาร โต๊ะและเบาะรองนั่งจำนวนมหาศาลถูกจัดวางเรียงรายอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยทั้งยังมีขันทีรวมไปถึงสาวใช้เดินขวักไขว่ไปทั่วคาดว่าพวกเขากำลังเตรียมการขั้นสุดท้ายก่อนงานจะเริ่มนั่นเอง
ทว่าตำหนักชั้นในก็กว้างใหญ่ไม่เบาแต่พื้นที่โล่งกว้างที่กลางตำหนักกลับถูกปล่อยว่างเอาไว้ที่สองข้างก็มีโต๊ะและเบาะรองนั่งอยู่เพียงบางตาเท่านั้น ณ ด้านในสุดของตำหนักมีเก้าอี้ขนาดใหญ่สร้างด้วยทองคำสลับกับหยกเนื้องามตั้งอยู่ถึงแม้ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ซูฉางอันรู้ดีว่านั่นคือบัลลังก์ัที่เคยอ่านเจอในหนังสือบ่อยๆไม่ผิดแน่!
แน่นอนว่านักศึกษาที่เดินทางมาร่วมงานในฐานะตัวแทนจากสำนักต่างๆไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปนั่งในตำหนักชั้นในอยู่แล้วขันทีทั้งหลายพาพวกเขาไปยังที่นั่งในมุมหนึ่งของตำหนักชั้นนอกแล้วจัดแจงให้พวกเขานั่งลงในที่ของตนเอง
ซูฉางอันเดินไปนั่งที่ของตัวเอง
“บุตรแห่งเสนาบดี มู่กุยอวิ๋น บุตรแห่งเทพนักรบเ้าของฉายาจิตแห่งต้าเว่ยตู้หงฉาง และหนานเจว๋ ซูฉางอัน! เชิญเข้าไปถวายพระพรองค์จักรพรรดิในตำหนักชั้นใน! ” เสียงแหลมๆ ของใครบางคนดังขึ้น ซูฉางอันที่กำลังย่อตัวลงนั่งจึงยืดตัวขึ้นอีกครั้งทันที
และคนที่ยืนขึ้นพร้อมกันยังรวมไปถึงคนอีกสองคนคนหนึ่งก็คือมู่กุยอวิ๋น ยอดอัจฉริยะที่เขาเพิ่งเจอที่ประตูจูเชว่ส่วนอีกคนก็คือตู้หงฉาง คนคุ้นเคยของซูฉางอันนั่นเอง
เพราะในครั้งนี้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างใกล้กันซูฉางอันจึงมองสำรวจทั้งสองด้วยความสนใจ ทางด้านมู่กุยอวิ๋นไม่ต้องสงสัยเลยเขายังคงมีท่าทางเ็าและทะนงตัวราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่เขาเห็นอยู่ในสายตาเช่นนั้นทว่าทันทีที่ได้ยินชื่อของซูฉางอัน เขากลับหันมาหา ปรายตามองมายังซูฉางอันเพียงครู่หนึ่งแต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น เขาก็ถอนสายตากลับไปอย่างเลิกสนใจเสียแล้ว
ซูฉางอันไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของมู่กุยอวิ๋นเลยแม้แต่น้อยเขาหันกลับไปมองตู้หงฉางต่อ
บัดนี้ ตู้หงฉางก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน
วินาทีที่สายตาประสานเข้ากับดวงตาของซูฉางอัน ตู้หงฉางเก็บรังสีบางอย่างที่เคยเปล่งประกายอยู่ในดวงตากลับเข้าไปทันทีและก้มหน้าลงต่ำเพื่อหลบสายตาของซูฉางอัน
แต่ซูฉางอันยังคงมองสำรวจเขาต่อไป
ตู้หงฉางอยู่ในชุดคลุมสีขาว เขาจับกระบี่ยาวเอาไว้ในมือโดยแขนข้างที่ถือกระบี่อยู่มีผ้าสีดำพันอยู่ด้วยใบหน้าของเขาแลดูอ่อนล้าเป็อย่างมาก ดวงตาดูจะบวมเล็กน้อยดูก็รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ทันใดนั้น ซูฉางอันก็นึกเื่บางอย่างขึ้นมาได้
บิดาของตู้หงฉางคือตู้เหว่ย เ้าของฉายาจิตแห่งต้าเว่ยหนึ่งในยี่สิบสี่เทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ย และเมื่อหลายวันก่อน เทพนักรบท่านนี้ก็เพิ่งสิ้นชีพที่เมืองหลานหลิง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูฉางอันก็รู้สึกเศร้าแทนตู้หงฉางแม้พวกเขาจะมีเื่ผิดใจกันมาก่อน แม้ตู้หงฉางเคยพูดิ่มั่วทิงอวี่ต่อหน้าผู้คนมากมายแต่ตอนนี้บิดาของเขาก็สิ้นชีพไปแล้ว แถมยังตายขณะที่อยู่กับตนอีก
จู่ๆ เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่แน่หากในตอนนั้นตนกล่อมให้ตู้เหว่ยกับฉู่ซีฟงร่วมเดินทางไปด้วยกันได้ไม่แน่ตู้เหว่ยอาจจะไม่ตายก็ได้
ความคิดเช่นนี้ ทำให้ซูฉางอันอ้าปากเตรียมจะพูดปลอบใจตู้หงฉาง
แต่ขันทีที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเร่งขึ้นเสียก่อน “ทุกท่านรีบตามข้าเข้าไปในตำหนักชั้นในเถิด งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
ซูฉางอันจำต้องล้มเลิกความตั้งใจลงในที่สุดแม้เขาจะไม่เคยเจอชายผู้ปกครองแผ่นดินต้าเว่ยมานานนับร้อยปีท่านนั้นมาก่อนแม้เขาจะเคยบอกว่าตนไม่ชอบเขา แต่อย่างไรเสีย เขาคนนั้นก็เป็ถึงองค์จักรพรรดิเป็ถึงจักรพรรดิเซวียนเต๋อหวู่เวยแห่งแผ่นดินต้าเว่ย
เหตุนี้ ซูฉางอันจึงรู้สึกเกรงขามต่อบุรุษท่านนั้นอย่างอดไม่ได้หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ในแผ่นดินต้าเว่ยแห่งนี้ นอกจากคนเพียงหยิบมือที่ไม่เกรงกลัวต่อองค์จักรพรรดิแล้วคนอื่นๆ ที่เหลือย่อมเกรงขามและเกรงกลัวต่อเขาด้วยกันทั้งสิ้น
ซูฉางอันกับคนทั้งสองเดินเข้าไปในตำหนักชั้นในภายใต้การนำทางของขันทีที่มีอายุค่อนข้างมากผู้หนึ่งจากนั้นก็ถูกจัดให้นั่งในตำแหน่งค่อนไปทางรอบนอกของตำหนักชั้นใน
ที่นั่งภายในตำหนักมีการจัดวางมาอย่างดีคือตำแหน่งที่อยู่ชิดในมากที่สุดเป็ที่นั่งขององค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายต่อมาเป็บรมวงศานุวงศ์ กับอ๋องต่างๆ จากนั้นเป็ขุนนางในพระราชสำนักแค่ซูฉางอันได้เข้ามานั่งในตำหนักชั้นในก็ถือว่าเหนือคาดมากแล้วดังนั้นตำแหน่งของเขาจึงถูกจัดให้อยู่ชิดขอบนอกเช่นนี้นั่นเอง
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับเื่นี้มากนัก เดิมทีเขาก็ไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงเช่นนี้อยู่แล้วหากให้เขาเข้าไปในนั่งในตำแหน่งที่สำคัญหรือสูงส่งเช่นตำแหน่งที่อยู่ชิดด้านในนั่นคงจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้นเสียเปล่าๆ
เพราะองค์จักรพรรดิยังไม่เสด็จมา ขุนนางภายในตำหนักจึงเดินไปมาหาสู่กันอย่างอิสระ
ซูฉางอันแอบมองสำรวจไปรอบด้าน ทำให้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย
เขาลองมองสังเกตอย่างละเอียดทำให้พบว่าคนในตำหนักถูกแบ่งออกเป็สองกลุ่มด้วยกัน ดูเผินๆอาจคล้ายว่าคนเหล่านี้เพียงยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างสบายๆ เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วพวกเขาแบ่งออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ที่จุดศูนย์กลางของคนกลุ่มหนึ่งเป็องค์ชายห้า เซี่ยโหวเซวียนกับศิษย์พี่ เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่ซูฉางอันคุ้นเคยเป็อย่างดี
ส่วนผู้ที่เป็จุดศูนย์กลางของคนอีกกลุ่มเป็ชายที่น่าจะมีอายุประมาณสามสิบห้าหรือสามสิบหกปีเห็นจะได้เขาอยู่ในชุดคลุมสีเหลือง รูปร่างธรรมดา ไม่ได้แลดูโดดเด่นอะไร หน้าตาเป็มิตรกิริยานับว่าสง่างามพอตัว แต่กลับไม่ได้ดูโดดเด่น หรือน่าสะดุดตาเลยแม้แต่น้อยแลดูซื่อตรง ไม่มีพิษมีภัย ที่ข้างกันมีชายชราอีกท่านยืนอยู่ เนื่องจากอายุมากแล้วเส้นผมและหนวดเคราจึงเปลี่ยนเป็สีขาวไปจนหมด ชายชรายืนนิ่งอยู่ข้างๆโดยหรี่ตาลงเล็กน้อย และแม้ชายในชุดสีเหลืองจะยืนเด่นออกมาด้านหน้าเป็การแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าใครเป็นายใครเป็บ่าว แต่ทุกครั้งที่มีคำถามหรือสงสัยในเื่ใด ชายผู้นั้นมักส่งสายตาเป็เชิงถามไปยังชายชราอยู่เสมอทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายคนนี้เชื่อใจและต้องพึ่งพาคนชราผู้นั้นมากเพียงใด
และนี่ก็เป็อีกครั้งที่ซูฉางอันรู้ทันทีที่เห็นว่าชายในชุดสีเหลืองคนนั้นเป็รัชทายาทแห่งแผ่นดินต้าเว่ยส่วนเหตุผลนั้นช่างง่าย เพราะในตำหนักแห่งนี้ นอกจากมหาจักรพรรดิแล้วคนที่กล้าสวมชุดคลุมสีเหลืองทองที่ทำมาจากผ้าชั้นดีเช่นนี้ ก็คงจะมีแค่องค์รัชทายาทเท่านั้น
เดิมที เขาคิดจะเดินเข้าไปทักทายศิษย์พี่เสียหน่อยแต่เพราะเห็นว่านางกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือกับกลุ่มคนตรงหน้า ซูฉางอันจึงล้มเลิกความคิดลงในที่สุด
เขากวาดตามองไปยังฝูงชนรอบด้านอีกครั้งทำให้พบกับร่างที่แสนคุ้นเคยของใครอีกคน
เป็กู่เซี่ยนจวินนั่นเอง นางถูกเชิญมาร่วมงานในฐานะตัวแทนของตระกูลกู่แห่งแผ่นดินทางเหนือ
นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับซูฉางอันกำลังก้มหน้าก้มตารินเหล้าลงไปในแก้ว แล้วกระดกเหล้าเข้าปากอย่างต่อเนื่องดูเหมือนนางกำลังหงุดหงิดใจเพราะเื่บางอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าเป็เื่อะไรกันแน่ที่ทำให้นางเคร่งเครียดเช่นนี้
“เซี่ยนจวิน” ซูฉางอันเรียกชื่อนางเบาๆอย่างไรเสียนี่ก็เป็ตำหนักไท่เหอ คงไม่ดีหากเขาทำตัวเสียมารยาทจนเกินไป
แต่ดูเหมือนกู่เซี่ยนจวินจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางทำราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกของซูฉางอันทว่าในตอนที่เขาเตรียมจะเรียกชื่อของนางอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังยิ่งขึ้น เสียงแหลมๆของขันทีคนเดิมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“หลงเซี่ยงจวินมาถึงแล้ว!”
ตำหนักไท่เหอจมเข้าสู่ความเงียบงันไปชั่วขณะ จากนั้น ชายรูปงามทว่ากิริยาอ่อนช้อยราวกับสตรีเดินเข้ามาพร้อมกับพัดคู่ใจ โดยที่เื้ัยังมีหญิงที่น่าจะมีอายุประมาณสามสิบกว่าๆ เดินตามเข้ามาด้วย
ซูฉางอันมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนทั้งสองก็คือประมุขแห่งหอหมู่ตันหลงเซี่ยงจวินและหรูเยี่ยนนั่นเอง
หลงเซี่ยงจวินเดินอย่างใจเย็น ไม่ได้เร็วและช้าจนเกินไปใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นเห็นได้ชัดว่าแม้ที่นี่จะเป็พระราชวังแห่งแผ่นดินต้าเว่ย แต่เขาก็หาได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนคนปกติเลยสักนิด
ผิดกับหญิงที่เดินตามมาอย่างสิ้นเชิงเพราะนางไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
นางอยู่ในชุดกระโปรงแขนยาว ทั้งทรงผมและใบหน้าต่างถูกจัดแต่งมาอย่างดีแต่อย่างไรเสีย เพราะนางเริ่มมีอายุมากแล้ว ดังนั้นแม้ว่าแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางชั้นเลิศที่สุดในเมืองฉางอันแต่นั่นก็ยังปกปิดริ้วรอยที่หางตาไม่มิดอยู่ดี
นอกจากนั้น สีหน้าของนางในตอนนี้ก็แลดูย่ำแย่เหลือทน
นางตื่นเต้นมาก คิ้วคมขมวดมุ่น แม้นางจะแสร้งเดินให้ดูเหมือนใจเย็นอย่างสุดความสามารถแต่คนที่พอจะฉลาดอยู่บ้างย่อมดูออกว่าฝีเท้าของนางบ้างก็เร็ว บ้างก็ช้าสลับกันไป ทั้งลมหายใจก็ไม่สม่ำเสมอเลยสักนิด
อย่างไรเสีย นางก็เป็เพียงหญิงโคมเขียวคนหนึ่งเท่านั้น
หากจะว่ากันด้วยเื่ของตำแหน่งและฐานะ แม้แต่สาวใช้ผู้มีหน้าที่ล้างสิ่งปฏิกูลในวังก็ยังสูงส่งกว่านางหลายเท่านัก
แต่นางก็ยังมาที่นี่ เพียงเพราะ้าพบเจอชายที่นางรอคอยมานานถึงสิบปีให้เร็วขึ้นเท่านั้นสำหรับหญิงโคมเขียวเช่นนาง นับเป็สิ่งที่ต้องอาศัยความกล้าอย่างมหาศาลเลยทีเดียวแต่ในบัดนี้ นางกลับรู้สึกตื่นเต้นและเป็กังวลเหลือเกิน หาใช่เพราะพระราชวังต้าเว่ยที่แสนยิ่งใหญ่แห่งนี้ไม่แต่เพราะนางไม่รู้ว่าชายที่ตนรอมานานถึงสิบปี จะยังเป็เหมือนเดิมหรือเปล่าต่างหาก
เขาจะยอมต่อต้านฝูงชนเพื่อเปิดม่านฉากของโลกที่แสนแปดเปื้อนนี้ออก และส่งยิ้มมาให้นางเหมือนที่ชายหนุ่มคนนั้นเคยทำเมื่อสิบปีก่อนหรือเปล่า
เพราะเหตุนี้ นางจึงยกมือขึ้นไปแตะที่หน้าอกของตัวเองอย่างลืมตัวนางซ่อนหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ในนั้น เป็หนังสือที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งให้มา ซึ่งนางเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆเพื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ช่างเป็เื่ราวที่งดงามเสียจริงราวกับว่าเื่ราวในนั้นถูกเขียนขึ้นเพื่อนางอย่างไรอย่างนั้นเมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกกล้าหาญมากขึ้นกว่าเดิมฝีเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าจึงมั่นคงมากขึ้นไปด้วย
ในเมื่อข้าเป็ซุ่ยอวี้เขาคนนั้นก็ต้องเป็เหมือนหนานเยวียนในหนังสืออย่างแน่นอน
หญิงสาวไม่ผิดต่อความรักที่มี ชายหนุ่มย่อมไม่ผิดต่อสัญญาที่มีต่อหญิงคนรักเช่นกัน
เื่ราวของนางน่าจะมีจุดจบแบบนั้น
นางคิดเช่นนั้นในใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้