“เธอ....เป็ใครเหรอ?” ดวงตาของซูเฟยเฟยมีกองไฟลุกท่วม ในใจของเธอก็ยิ่งมีเปลวไฟลุกโชติ่จนอดไม่ได้ที่จะตามเย่เทียนเซี่ยไป........ ทำไมสายตาที่เขามองไปที่ผู้หญิงคนนั้นถึงได้อ่อนโยนขนาดนั้น น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนราวกับว่ากลัวจะทำให้เธอใ เขาไม่เคยทำสีหน้าและน้ำเสียงแบบนี้ต่อหน้าเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“นั่นพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเป็คนเพิ่งรู้จักล่ะมั้ง” จั้วพั่วจวินที่สายตาเหมือนคนโง่ ไม่ต้องพูดถึงซูเฟยเฟยเลย ท่าทางและสีหน้าของเย่เทียนเซี่ยในเวลานี้แม้แต่พวกเขาร้อยวันพันปีก็ไม่เคยได้เห็น ผู้หญิงคนนั้น........ ทำไมก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่เคยรับรู้การคงอยู่ของเธอเลย
“พี่สาวสกุลซู เธอต้องรู้ไว้นะ พี่รองผู้ยิ่งใหญ่ของเราไม่ใช่คนธรรมดา ดวงอาทิตย์บอกกับผมว่าเขาคือบุตรแห่งดวงอาทิตย์........ ดวงดาวก็บอกผมว่าเขาคือบุตรแห่งดวงดาว..........ดวงจันทร์ก็บอกผมว่าเขาคือบุตรแห่งดวงจันทร์.........เฮ้อ เสน่ห์ของเขาราวกับแสงแดดอันสดใส ราวกับแสงดาวอันสุกสกาว และราวกับแสงจันทร์ที่ทำให้คงหลงใหล และคนแบบนี้ข้างกายของเขา้าดวงดาวอันงดงามมากมายไปประดับ.......” มู่หรงชิวสุ่ยร่ายออกมา จั้วพั่วจวินออกห่างจากเขาสามก้าวโดยอัตโนมัติและไม่หันหน้าไปมองเขาอีกเลย
“หึ!” ซูเฟยเฟยขบฟันเบาๆ แล้วเดินกระแทกเท้าไปด้วยความโกรธ “ฉันรู้.........ว่าเขาเป็คนหื่นกามที่เที่ยวลวนลามผู้หญิงไปทุกที่อย่างไม่รู้จักพอ เป็หมาป่า เป็เพลย์บอย!!”
(@o@)!!มู่หรงชิวสุ่ย
(@o@)!!จั้วพั่วจวิน
“ขอบคุณนายมากนะ” เฉินซินเงยหน้าแล้วพูดออกมาด้วยความขอบคุณเบาๆ จริงๆแล้วเธอไม่รู้ว่าจะพูดขอบคุณอย่างไรถึงจะดี และในที่สุดผู้คนโดยรอบก็รู้ว่าการลงมือของเซี่ยเทียนก็เพื่อหญิงสาวคนนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเหลยเป้าหาเื่คนที่ไม่ควรมีเื่ด้วยมากที่สุดแล้ว
“ทำไมนายถึงได้.......ช่วยฉันแบบนี้ล่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามคำถามที่เธออยากถามมาตลอด เธออยากจะรู้ว่าทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันทำไมเขาถึงช่วยเธอครั้งแล้วครั้งเล่า........ หรือจะเป็เพราะหน้าตาของเธออย่างนั้นเหรอ?
“เพราะในอดีตฉันก็เคยผ่านเื่ราวเลวร้ายเหมือนเธอมาก่อน ดวงตาของเธอทำให้ฉันเหมือนเห็นตัวเองในอดีต หวาดกลัวสองส่วน เข้มแข็งสองส่วน เสียสละห้าส่วน และยังมีอะไรซ่อนอยู่ลึกๆอีกหนึ่งส่วน ไม่กล้าและไม่อยากััความสิ้นหวัง เพราะเคยมีความรู้สึกแบบนั้น..........และยังโหดร้ายยิ่งกว่าที่เธอเจอในตอนนี้ซะอีก ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าฉันในตอนนั้นและเธอในตอนนี้มีความ้าอะไรเหมือนกัน............”
เฉินซินมองเขาเงียบๆ ดวงตาของเธอเหม่อลอย
“ตอนที่ฉันไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ฉันอายุแค่สี่ขวบเท่านั้น ั้แ่ตอนสี่ขวบนอกจากเสื้อผ้าแล้วฉันที่ไม่มีอะไรเลยก็จำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป......... ฉันจำได้อย่างชัดเจนว่าั้แ่สี่ขวบจนถึงสิบขวบฉันเคยห่างจากความตายเพียงแค่เส้นบางๆกั้นสามสิบกว่าครั้ง ครั้งที่ห่างจากความตายน้อยที่สุดก็คือปีที่ฉันห้าขวบครึ่ง ฉันที่ไม่ได้กินอะไรเลยสามวันถูกแช่แข็งอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ จากนั้นก็ถูกหิมะทับอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ต่อมาถึงได้โชคดีได้คนกวาดหิมะช่วยชีวิตไว้โดยปลุกให้ฉันตื่น แล้วยังให้ฉันกินข้าวสามชามที่ทำให้ฉันอิ่มที่สุดใน่นั้นด้วย...... และตอนนั้นก็เป็ครั้งเดียวที่ฉันเป็หนี้คนอื่นโดยไม่เคยได้ชดใช้ ครั้งนึงที่ยาวนานที่สุดฉันเคยอดน้ำเป็เวลาติดต่อกันเจ็ดวัน แล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง เพราะฉันไม่อยากขอทาน ฉันที่ยังไร้เดียวสาก็เลยไม่รู้วิธีการหาเงิน ทำได้แค่อยู่อย่างคนจรจัดโดยไร้ความหวัง ทุกๆวันก็เอาแต่คิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง...........”
ดวงตาของเฉินซินเปลี่ยนจากความขอบคุณเป็ตกตะลึง เธอมองเย่เทียนเซี่ยนิ่งงัน ในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างสงบสมองของเธอก็ค่อยๆวาดภาพอันอ้างว้างและสิ้นหวังออกมา........
เขาที่เป็อย่างนี้กลับมีอดีตเช่นนั้น.............
เย่เทียนเซี่ยส่ายหน้าแล้วยกยิ้มก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ที่ฉันเล่าเื่นี้ก็เพราะฉันอยากบอกเธอว่าต่อให้ตอนแรกจะสิ้นหวังขนาดไหน ฉันในตอนนี้ก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้แล้ว แล้วก็ดีมากกว่าหลายๆคนด้วยซ้ำ เื่ในตอนนี้จะกลายเป็อดีต สิ่งที่เธอ้าไม่ใช่ความทุกข์ในวันนี้ แต่เป็ความหวังที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด ใช้หัวใจที่เป็สุขมองไปยังอนาคต ต่อให้ตอนนี้จะน่ากลัวแค่ไหนก็อย่าสิ้นหวังและล้มลง โอเคไหม?”
เธอเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาจากหางตาตอนไหนก็ไม่รู้ออกไปแล้วพยักหน้าเบาๆ “ฉันรู้แล้ว........ ฉันจะจำคำพูดของนายไว้ทุกประโยคเลย ขอแค่ฉันไม่ยอมแพ้ เสว่เอ๋อร์จะต้องดีขึ้นมาแน่นอน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น.........ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น.....”
เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามออกมาเบาๆ “นายจะ.......... บอกชื่อของนายมาได้ไหม?”
คำพูดของเย่เทียนเซี่ยและเฉินซินมีเพียงแค่เขาสองคนที่ได้ยินเท่านั้น แต่กลุ่มคนโดยรอบก็ยังไม่ได้สลายตัวไปไหน และก็ไม่มีใครคิดจะรบกวนการสนทนาของคนสองคนด้วย แต่คนทั้งหมดก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่ก็เป็เหตุผลว่าหลังจากที่เย่เทียนเซี่ยจัดการเหลยเป้าแล้วทำไมเขาถึงยังไม่จากไปทันที
ฝูงชนถูกบีบให้แหวกออกเหลยเป้าที่มีใบหน้ามืดมนเหมือนถ่านเดินเข้ามาด้วยใบหน้าชั่วร้าย ทันทีที่เห็นเย่เทียนเซี่ยเขาก็ะโออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับเห็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขา “ไอหมอนี่แหละ....... ไปเลย! ไปจัดการมันเดี่ยวนี้!!”
จุดเกิดของเมืองเทียนเฉินห่างจากตรงนี้ไม่ไกลนัก เมื่อถูกฆ่าต่อหน้าคนหมู่มากใจกลางเมืองเทียนเฉิน เหลยเป้าที่ไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้ก็ะโออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จากนั้นเขาก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาแล้วติดต่อไปหาสมาชิกโบสถ์จิติญญาแห่งาที่อยู่ใกล้ๆด้วยเสียงอันดังก้องให้มารวมพลในตำแหน่งก่อนหน้านั้นภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุดทันที เขายังไม่รู้ว่าคนที่ฆ่าเขาคือเซี่ยเทียนซึ่งอยู่ในอันดับที่หนึ่งของรายการจัดอันดับเลเวลและชื่อเสียง เหลยเป้ายังไม่ทันจะได้คิดให้ดีว่าเขาถูกทหารประจำเมืองจับไปแล้วหรือไม่ และยังไม่ได้คิดเลยว่าคนที่สามารถฆ่าเขาได้ภายในเสี้ยววินาทีมีพลังโจมตีน่ากลัวขนาดไหน แม้กระทั่งว่าที่นี่เป็ใจกลางเมืองก็ยังไม่ได้คิดทบทวนเลยด้วยซ้ำ เขาที่ถูกทำให้ตกอยู่ภายใต้ความอับอายจนดูเหมือนจะเสียสติไปแล้วคิดเพียงแค่ว่าทันทีที่หาคนที่ฆ่าเขาเจอเขาจะฆ่ามันเป็ร้อยเป็พันครั้ง
คนที่เหลยเป้าพามามีทั้งหมดสามสิบกว่าคน พวกเขามีอาชีพแตกต่างกันไป ทั้งหมดนั้นล้วนยืนอยู่ข้างกายของเหลยเป้า ผู้คนโดยรอบมีสีหน้าแปลกประหลาดและบีบตัวเข้ามา เมื่อได้ฟังคำสั่งของเหลยเป้าพวกเขาก็ก้าวไปด้านหน้า แต่จังหวะการก้าวเท้าของพวกเขาก็ดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด........ ที่นี่เป็ใจกลางเมือง การ PK ไม่เพียงไม่เป็ผล กลับกันยังจะถูกจับกุมโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย อีกทั้งถ้าต่อกรกับคนเพียงคนเดียวแค่นี้ยังต้องพาคนมาถึงสามสิบกว่าคน ไม่ใช่ว่าจะเป็การทำให้คนนอกมองโบสถ์จิติญญาแห่งาเป็ตัวตลกหรือไง!
“คนเยอะขนาดนี้........ พวกเราควรจะเข้าไปช่วยหรือเปล่า” หัวใจของซูเฟยเฟยบีบรัดแน่นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ถ้าเป็ในโลกแห่งความจริงคาดว่าต่อให้มีคนมามากกว่านี้สามเท่าเธอก็ไม่กังวลว่าเย่เทียนเซี่ยจะจัดการไม่ได้ แต่ที่นี่............
“คุณหนูซู คำถามที่เธอถามนี่ไม่ฉลาดเอาซะเลย เธอน่าจะถามว่า..........คนตั้งเยอะขนาดนี้จะสามารถต่อกรกับพี่รองได้นานเท่าไรนะ?” จั้วพั่วจวินกระตุกริมฝีปากแล้วพูดออกมา สายตาของเขามองไปที่คนเกล่านั้นอย่างนึกสนุก ดูเหมือนว่ากำลังคาดเดาอย่างจริงจังว่าพวกเขาจะสามารถต่อต้านได้นานสักกี่วิก่อนจะตาย
“เทียนเซี่ย เขา..........จะไม่มีปัญหาจริงๆเหรอ?” ซูเฟยเฟยยังคงถามออกมาอย่างไม่วางใจ
“อั๊ยหยา! ถ้าสิ่งที่พี่รองมีคือไอเทมและคุณสมบัติเหมือนฉันในตอนนี้ล่ะก็ เขาก็คงจะเล่นกับพวกหมาหมู่นั่นเหมือนเล่นกับฝูงลิงนั่นแหละ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทุกอย่างบนตัวเขาที่ทำให้์อิจฉานั่นเลย........... เหอะ! ภาวนาให้เย็นวันนี้พวกนั้นไม่ฝันร้ายก็พอแล้ว” มู่หรงชิวสุ่ยแสดงสีหน้ามีเมตตาออกมา
ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การคาดการณ์ของเย่เทียนเซี่ยและเป็ตอนจบที่เขาอยากเห็น เขายื่นมือออกไปดันให้เฉินซินหลบไปด้านหลังเป็การบอกว่าให้ยืนไปด้านหลังเขาอีกหน่อย เขาเรียกห้วงเวลาแห่งโชคชะตาออกมาแล้วเผยยิ้มเย็นขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปหาสมาชิกโบสถ์จิติญญาแห่งาที่กำลังลังเลว่าจะโจมตีดีหรือไม่ “ดูเหมือนว่า คนใต้บังคับบัญชาของนายจะไม่ฟังคำสั่งนายนะ ถ้าอยากตายมากนักฉันก็จะสงเคราะห์พวกนายให้”
คำพูดของเขาทำให้ผู้คนโดยรอบตกตะลึง.......... หรือว่าเขาคิดจะใช้พลังของคนเพียงคนเดียวต้านทานผู้เล่นถึงสามสิบคน? นี่ไม่ใช่การท้าทายผู้เล่นสองสามคนอย่างง่ายๆ.......... แต่มันคือผู้เล่นสามสิบคน! มันคือสิ่งที่ผู้เล่นเพียงคนเดียวไม่สามารถเผชิญหน้าได้.............แม้ว่าเขาคนนั้นจะเป็เย่เทียนเซี่ยผู้ซึ่งอยู่อันดับที่หนึ่งในรายการจัดอันดับเลเวลก็ตาม
แต่คำตอบคือใช่........... เขาปลดปล่อย “เงาัสะบั้น” ออกไปทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนมองเห็นเงาสายหนึ่งอยู่ตรงหน้า ร่างของเย่เทียนเซี่ยเคลื่อนที่ออกไปห้าเมตรทันที ผู้เล่นที่เป็ผู้พิทักษ์สองคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป.......... และด้วยพลังป้องกันและพลังชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาชีพทั้งหมดของพวกเขาทำให้การโจมตีครั้งนั้นกวาดพลังชีวิตของเขาไปจนเหลือเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และการโจมตีครั้งนั้นก็ทำให้เย่เทียนเซี่ยก้าวเข้าไปท่ามกลางกลุ่มผู้เล่นของโบสถ์จิตวิญาณแห่งาที่ยืนอยู่ด้วยกัน ห้วงเวลาแห่งโชคชะตาในมือของเขาวาดออกไปเป็วงกลม 270 องศา.............. การโจมตีครั้งนั้นพุ่งเข้าใส่ผู้เล่นของโบสถ์จิตวิญาณแห่งาสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาอย่างจัง
-667,-672,-1302!
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่มล้วนเป็ผู้พิทักษ์หรือนักรบ แต่ภายใต้การโจมตีเพียงครั้งเดียวของเย่เทียนเซี่ยกลับฆ่าผู้พิทักษ์ที่ถือโล่อันหนึกอึ้งคนหนึ่งลงไปได้ทันที ส่วนนักรบอีกสองคนก็เหลือพลังชีวิตน้อยนิดจนน่าสงสาร ก่อนที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ห้วงเวลาแห่งโชคชะตาที่เย่เทียนเซี่ยโบกสะบัดออกไปก็ถูกดึงกลับมาแล้วสังหารสองนักรบภายในการโจมตีครั้งเดียว
เวลาเพียงพริบตาทุกอย่างก็เกินขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ แต่ผู้ที่เริ่มก่อนกลับไม่ใช่ผู้เล่นสามสิบกว่าคนที่มาจากโบสถ์จิตวิญาณแห่งา........... คนที่ทำการโจมตีออกไปก่อนกลับเป็เย่เทียนเซี่ยที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น การพุ่งโจมตีอย่างน่าใหนึ่งครั้ง การโบกสะบัดโจมตีอย่างรวดเร็วสองครั้ง ภายในระยะเวลาที่พวกเขากำลังมีปฏิกิริยาตอบโต้ก็มีคนตายสามาเ็สองเข้าไปแล้ว!
ความสามารถในการโจมตีและความเร็วของเขาน่ากลัวอะไรขนาดนี้!
และเมื่อเย่เทียนเซี่ยปลดปล่อยการโจมตีออกไปครั้งหนึ่ง ผู้พิทักษ์สองคนที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งก็มองไปที่เย่เทียนเซี่ยจากนั้นก็รีบจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อมีคำสั่งนิรโทษกรรมแห่งเมืองเทียนเฉินอยู่ในมือเย่เทียนเซี่ยก็มีสิทธิ์ PK ผู้เล่นในเมืองเทียนเฉินได้ 5 ครั้งโดยไม่ได้รับการลงโทษและยังสามารถลดค่าบาปกรรมได้ถึง 50 หน่วยเต็มๆ และร่างของเย่เทียนเซี่ยก็มีคำสั่งนิรโทษกรรมอยู่สองฉบับ นั่นก็หมายความว่าเขาสามารถ PK ผู้เล่นในเมืองเทียนเฉินได้ทั้งหมดสิบครั้งและต่อให้ฆ่าคนไปเป็ร้อยค่าบาปกรรมก็จะไม่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น
“ไปสิ! ไปจัดการมันเร็วเข้า!”
สถานการณ์ที่มีคนตายสามาเ็สองทำให้คนของโบสถ์จิตวิญาณแห่งาตกอยู่ในความช็อคและรู้ว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าน่ากลัวขนาดไหน ในที่สุดเหลยเป้าก็เริ่มร้อนรนและทำได้เพียงะโออกไป
ผู้พิทักษ์สองคนที่ถูกจู่โจมจนกระเด็นไปไกลบนพื้นดื่มน้ำยาฟื้นฟูพร้อมทั้งขยับตัวไปด้านหลังเพื่อรับการรักษาและฟื้นฟูพลังชีวิตจากนักบวช นักเวทย์ห้าคนที่อยู่ด้านหลังสุดเริ่มร่ายคาถาออกมาพร้อมกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่โอบล้อมเข้ามาเย่เทียนเซี่ยก็ยิ้มอย่างดูถูกออกมา ร่างของเขาพุ่งออกไปเหมือนปลาแล้วอาศัยมุมเล็กๆในการหลบหลีกคนทั้งหมดจนไปถึงตรงหน้านักเวทย์ที่ถูกปกป้องอยู่ทางด้านหลังสุด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยามปรากฏขึ้นมาในกรอบสายตาของพวกเขาทำให้พวกเขาเกือบจะชะงักการร่ายเวทย์
“ยืนใกล้กันขนาดนี้รอตายพร้อมกันเหรอ?”
ห้วงเวลาแห่งโชคชะตาถูกวาดออกไปสุ่มๆนำมาซึ่งตัวเลขความเสียหายสามตัวลอยขึ้นมาและทำให้นักเวทย์สามคนนั้นตายไปภายในเสี้ยววินาที การโจมตีนั้นยังไม่จบลง เท้าของเขาก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ห้วงเวลาแห่งโชคชะตาถูกดึงกลับมาแล้วเปลี่ยนเป็ฟาดฟันลงไปด้านหน้ากวาดนักเวทย์อีกสองคนให้หายไปทันที ด้วยพลังชีวิตอันน่าสงสารของนักเวทย์ไม่มีทางต้านทานการโจมตีของเย่เทียนเซี่ยได้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาเลยถูกฆ่าตายภายในระยะเวลาสั้นๆ นักเวทย์ห้าคนดูเหมือนจะถูกฆ่าตายภายในวินาทีเดียวกัน
บริเวณโดยรอบท่ามกลางกลุ่มคนที่จ้องมองมาที่นี่แทบเป็แทบตาย ทันใดนั้นก็มีเสียงอันเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
เมื่อทุกคนหันกลับไปก็พบคนห้าคนที่ถูกปกป้องไว้ด้านหลังสุด แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือนักเวทย์ห้าคนที่โจมตีได้แข็งแกร่งที่สุดถูกฆ่าตายไปแล้ว!