“พวกเ้าลักพาตัวข้ามาที่นี่ ก็คงตรวจตราที่แห่งนี้มาก่อนแล้วกระมังหากข้าปล่อยพวกเ้าไป พวกเ้าก็คงหนีรอดกันไปได้”
คำของหลิ่วจิ้งที่จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นนี้ทำเอาพวกเขานึกว่าหูฝาดพากันยืนตะลึงมิอาจขยับตัวได้
“พวกเ้ารีบตัดสินใจเสีย หากช้ากว่านี้เกรงว่าต่อให้ข้าปล่อยพวกเ้าไปพวกเ้าก็คงหนีไม่รอดแล้ว” หลิ่วจิ้งยังร้อนใจแทนพวกเขาเสียอีกท่าทีดุร้ายเมื่อครู่ไม่รู้หายไปไหนหมด
“จะ...จริงหรือ องค์หญิงบอกว่าจะปล่อยพวกข้าไปจริงหรือปล่อยให้พวกข้าหนีไป” เมื่อครู่เด็กรับใช้สองคนยังตั้งตัวไม่ทันตอนนี้เกิดตื่นเต้นยินดีขึ้นมายกใหญ่
“พวกเ้าไม่ต้องคิดว่าจะจับข้าเป็ตัวประกันพวกเ้าอยู่ในจวนแม่ทัพมานาน ย่อมรู้ดีว่าท่านแม่ทัพไม่เคยขาดแคลนสตรี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเ้าก็เห็นแล้วว่ารูปโฉมของข้าก็มิได้เข้าตาท่านแม่ทัพแต่ท่านแม่ทัพเกลียดคนที่หักหลังเขาเป็ที่สุด ฉะนั้นต่อให้มิอาจช่วยข้ากลับไปได้ท่านแม่ทัพก็ไม่มีทางให้พวกเ้าได้ตายดี ดังนั้นก่อนพวกเ้าจะลงมือทำสิ่งใดก็จงคิดให้ดีเสียก่อน”
หลิ่วจิ้งพูดพลางจงใจมองแต้มพรหมจรรย์บนแขนของนาง
“ขอรับๆ พวกข้าจะไม่ลงมือกับองค์หญิงเป็แน่”เด็กรับใช้คนหนึ่งชี้นิ้วขึ้นฟ้าสาบาน
เมื่อเห็นดังนั้นหลิ่วจิ้งจึงถอยหลังไปสองสามก้าว เป็ทีบอกให้ทั้งสองคนพาคุณชายของพวกเขาหนีไปเสีย
เมื่อทั้งสองคนเห็นเช่นนั้นจึงไม่ลังเลอีก วิ่งเข้าไปทีละคนแล้วประคองคนผู้นั้นที่นอนอยู่บนพื้นเดินจากไป
เป็ดังที่หลิ่วจิ้งคาดไว้ พวกเขารู้ทางหนีทีไล่อยู่แล้วเพียงพริบตาเดียวคนกลุ่มนั้นก็หายออกไปจากศาลเ้าร้าง
เวลานี้หลิ่วจิ้งจึงเพิ่งรู้สึกหมดแรงไปทั้งตัวนางอยากวิ่งไปหาหั่วอี้ที่ประตูศาลเ้า แต่กลับรู้สึกราวสองขาหนักเป็พันจวิน [1] จนยกไม่ขึ้น
เมื่อหั่วอี้ถลันเข้ามาภายในก็เห็นหลิ่วจิ้งอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเท้าเดินโซเซจะมาที่ประตูศาลเ้า
“ท่านแม่ทัพ…” เมื่อหลิ่วจิ้งเห็นหั่วอี้ความดึงเครียดนานาก็ระบายออกมาจนหมดสิ้นในอึดใจเดียว นางมิอาจทนรับไหวได้อีกจึงเอนตัวจะล้มลงไปที่พื้น
“องค์หญิง…” หั่วอี้เห็นดังนั้นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาหลิ่วจิ้งรับตัวนางไว้ได้ก่อนล้มลงพื้น
แววตาของหั่วอี้พลันหนักอึ้งขึ้นเมื่อเห็นสภาพของหลิ่วจิ้งเขาเป็บุรุษจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าก่อนหน้านี้หลิ่วจิ้งเผชิญกับสิ่งใดมา ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่พูดแล้วกวาดตามองทั่วตัวหลิ่วจิ้งอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งจนกระทั่งเห็นแต้มพรหมจรรย์บนแขนซ้ายของหลิ่วจิ้งสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่จึงค่อยบางเบาลง
เขากอดหลิ่วจิ้งไว้ในอ้อมอก อุ้มนางขึ้นอย่างระมัดระวังประหนึ่งนางเป็ตุ๊กตาเครื่องเคลือบที่บุบสลายได้ง่ายเช่นนั้น
“พวกเ้าไปค้นดูให้ทั่ว โจรนั่นจะต้องยังไปได้ไม่ไกล หากพบคนน่าสงสัยจับเป็ได้ให้จับเป็ จับเป็ไม่ได้ก็สังหารได้ทันที”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของหั่วอี้ ทหารกองหนึ่งก็กระจายกำลังออกไปทั่วทิศเรียกว่าปูพรมตามหาเลยทีเดียวส่วนทหารอีกกองก็กระจายกันออกไปตามหาในที่ที่ไกลออกไป
กองหนึ่งค้นหาไม่เว้นสักตารางนิ้ว ส่วนอีกกองก็ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกโจรหนีไปได้เมื่อหั่วอี้ออกคำสั่งก็ไม่มีใครมีคำถามใด ต่างรู้ว่าต้องทำอย่างไรเพราะเขานำกองกำลังทหารจริงออกมาด้วยนั่นเอง
หลิ่วจิ้งแอบภาวนาในใจให้สามคนนั้นหนีรอดไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับไม่ได้เคียดแค้นพวกเขา คงเพราะผู้ที่บ้านเมืองล่มสลายนับเป็คนที่น่าสงสารกระมัง
นางรู้สึกอ่อนล้าเหลือทนจนมิอาจคิดเื่ใดต่อได้จึงปล่อยให้ตนเองหลับตาทั้งคู่ลงเสีย
“องค์หญิง องค์หญิง…” ระหว่างที่นางกำลังสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงของหั่วอี้คอยเรียกอยู่ข้างหูไม่หยุดจนในที่สุดนางก็ไม่ได้ยินอีก
เมื่อเห็นว่าหลิ่วจิ้งที่ยังมีสติอยู่เมื่อครู่กลับหมดสติไปเสียแล้วหั่วอี้ก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก จึงเร่งฝีเท้าผนึกพลังตัวเบาวิ่งออกไปนอกศาลเ้าร้าง
ข้างนอกศาลเ้าร้างมีคนที่จูงม้ารออยู่หลายคนหั่วอี้ะโขึ้นหลังม้าตัวหนึ่ง มือข้างหนึ่งกอดหลิ่วจิ้งไว้แน่นส่วนอีกข้างกุมบังเหียนม้าเขาแผดเสียงลั่นแล้วเดินทางกลับไปตามทางที่มาอย่างรีบเร่ง
เหล่ากำลังพลที่เฝ้าอยู่นอกศาลเ้าร้างทิ้งคนเฝ้าไว้สองคนนอกนั้นก็เร่งควบม้าตามติดหั่วอี้ไป
หั่วอี้ควบม้าซึ่งเร่งความเร็วด้วยแส้ แต่มิได้กลับไปจวนแม่ทัพหากไปที่จวนของอาเหมิ่งต๋าแทน
เด็กรับใช้ในจวนอาเหมิ่งต๋าเห็นเขาควบม้ามาอย่างเร่งร้อน ก็รีบเปิดประตูจวนรอรับให้หั่วอี้ควบม้าตรงเข้าไปทันทีจนเมื่อเขาเข้าไปในลานเรือนแล้วจึงอุ้มหลิ่วจิ้งะโลงจากม้าอย่างรวดเร็ว
เด็กรับใช้ที่ตามมายังไม่ทันเอ่ยปาก หั่วอี้ก็ชิงพูดก่อนว่า“คนหนึ่งไปตามหมอที่เก่งที่สุดในจวนมา อีกคนไปหาห้องสะอาดๆ ให้ข้าห้องหนึ่ง”
เด็กรับใช้สองคนรีบแบ่งงานกัน คนหนึ่งวิ่งไปตามหมอ ส่วนอีกคนนำทางพาหั่วอี้ไปที่เรือนแห่งหนึ่ง
หั่วอี้ไม่รอให้เด็กรับใช้ผลักประตูเปิดแต่ะโข้ามประตูลานเรือนเข้าไปข้างในและไปถึงห้องนอนก่อนเด็กรับใช้คนนั้นเสียอีก
เขาเข้าไปดูในห้อง เห็นว่าภายในจัดเก็บดูแลอย่างสะอาดทั้งไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์จึงวางหลิ่วจิ้งลงบนเตียงอย่างพอใจ คอยเขย่าตัวด้วยหวังให้นางตื่นขึ้นมา
ทว่าเขาเขย่าอยู่หลายคราหลิ่วจิ้งก็ยังไม่รู้สึกตัว
“เหตุใดหมอยังไม่มา ต้องให้ข้าไปตามเองหรือ?”
หั่วอี้หมดความอดทนนานแล้วพลันเข้าไปกระชากคอเสื้อเด็กรับใช้ขึ้นมาแทบจะโยนเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ออกไปนอกห้องเสียแล้วดีที่มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากประตูขึ้นก่อน เขาจึงปล่อยเด็กรับใช้คนนั้นลง
เด็กรับใช้ที่ถูกเขาปล่อยตัวลงต้องม้วนตัวนั่งคุดคู้อยู่กับพื้นไร้กำลังลุกขึ้นชั่วขณะ
ท่านหมอที่เร่งเดินมากำลังจะคารวะ กลับเห็นหั่วอี้สะบัดมือ“รีบไปดูว่าองค์หญิงเป็เช่นใด นางหมดสติมาตลอดทางไม่ตื่นเสียที”
ท่านหมอผู้นั้นไม่กล้าเสียเวลา รีบเข้าไปจับชีพจรให้หลิ่วจิ้งเพราะหั่วอี้คอยจับจ้องอยู่ เขาจึงต้องคลำหาชีพจรอย่างยากเย็นกว่ามือจะหยุดสั่น
“ท่านแม่ทัพขอรับ องค์หญิงเพียงใเกินไปไม่มีเื่ใดน่าเป็ห่วง พักสักหน่อยก็จะตื่นขึ้นเองขอรับ”
“พักสักหน่อยหรือ แต่นี่ก็ผ่านมานานแล้วเหตุใดองค์หญิงจึงยังไม่ได้สติ” หั่วอี้ถลึงตาใส่ท่านหมอทำเอาหน้าผากของท่านหมอท่วมเหงื่อในทันใด
“เื่นี้ เื่นี้…”ท่านหมอมองใบหน้าอันน่าเกรงขามของท่านแม่ทัพ มิอาจพูดจาออกมาได้ชัดเจน
หั่วอี้กำลังจะะเิอารมณ์ ตอนนี้เองหลิ่วจิ้งก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาพอดี
“ท่านแม่ทัพ เสียงเอะอะเหลือเกิน” เสียงของหลิ่วจิ้งดั่งเสียงจาก์แม้บางเบานักแต่หั่วอี้กลับยังได้ยิน
เขาดีใจเสียเหลือเกิน นางยังรู้ว่าเสียงดังเอะอะ เห็นชัดว่าคงไม่เป็ไรจริงๆกระมัง
หั่วอี้สะบัดมือแล้วออกมานอกห้องอย่างเงียบเชียบ เมื่อคนอื่นเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงและค่อยๆเดินตามเขาออกมาข้างนอก ด้วยกลัวว่าหากทำเสียงดังเพียงน้อยนิดก็จะทำให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจแล้วจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ยังพูดยาก
หลังจากหั่วอี้พาทุกคนออกมานอกห้องก็พาท่านหมอเดินไปข้างๆ ก่อนสอบถามเสียงเบาว่า“ท่านว่าภายหลังควรจะบำรุงรักษาองค์หญิงเช่นใด ต้องพักผ่อนอย่างสงบสักสองสามวันหรือว่าอย่างไร ต้องทานยาหรือไม่”
เขาถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปในอึดใจเดียว
ท่านหมอท่านนั้นก็เป็ผู้ที่เผชิญลมผจญคลื่นมามาก เมื่อครู่เพียงเพราะหั่วอี้กำลังโมโหเขาจึงลนลานจนทำตัวไม่ถูกเท่านั้น
ยามนี้เขาสงบลงแล้ว จึงสามารถพูดจาได้อย่างปกติ “ท่านแม่ทัพระยะนี้ให้องค์หญิงพักผ่อนสักหน่อยเป็ดีขอรับ เพราะนางใจนขวัญกระเจิงแม้จะไม่เป็อันใดมากมาย แต่ก่อนที่องค์หญิงจะตื่นขึ้นมา ก็ต้องให้นางพักผ่อนอย่างสงบเป็ดีขอรับ
ส่วนว่าต้องทานยาหรือไม่นั้น แม้ไม่ทานก็ไม่เป็ไรเพราะสามในสิบส่วนของยาล้วนเป็พิษองค์หญิงเพียงตื่นใเท่านั้นอีกไม่นานก็จะฟื้นแต่จะเห็นได้ว่าองค์หญิงค่อนข้างโรยแรงจึงไม่จำเป็ต้องใช้ยาใด แค่พักดีๆ ให้สบายใจก็จะช่วยให้องค์หญิงมีเรี่ยวแรงเช่นเดิมได้ในเร็ววันแล้วขอรับ”
ท่านหมอพูดจนจบในคราเดียวจนแม้แต่ตัวเขาก็ยังนับถือตนเองอยู่ในใจ ที่สามารถเผชิญหน้ากับท่านแม่ทัพอย่างเป็ปกติได้รวดเร็วเพียงนี้
เมื่อท่านหมอให้ความมั่นใจแก่หั่วอี้ดังนี้ จิตใจของชายหนุ่มที่เฝ้าเป็ห่วงเรื่อยมาก็วางลงได้เสียที
“ให้บ่าวที่มีไหวพริบสองคนคอยเฝ้าอยู่นอกประตู ท่านหมอก็เข้าไปพักในห้องใกล้ๆนี้ ยามเรียกจะได้มาได้ทันท่วงที”
หั่วอี้พูดจบก็ค่อยๆ ย่องกลับเข้าไปในห้อง
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] จวิน เป็หน่วยวัดน้ำหนักโบราณของจีน 1 จวินเท่ากับ 30 จิน ปัจจุบันนี้ 1 จินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม
