บนโต๊ะอาหารในจวนเช่าของฟู่หลงเหยียน ยามนี้มันเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลก ๆ แต่กลิ่นมันกลับหอมชวนให้ท้องร้องอยากกิน เสียเดี๋ยวนั้น สาเหตุมาจากอวี้จิ่นไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ นางจึงลุกไปยังห้องครัว และลงมือทำอาหารจากเนื้อและผักจากในมิติของตน โดยมีข้ออ้างกับตงลู่ว่า ตนเองแอบออกไปซื้อที่ตลาดมา และห้ามตงลู่บอกกับฟู่หลงเหยียนว่านางออกไปด้านนอก แต่ให้บอกว่าเขาคือคนที่ไปซื้อเนื้อกับผักพวกนี้ ตามคำขอของนาง อวี้จิ่นข่มขู่ตงลู่ด้วยอาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่ยอมทำตามที่นางบอกเขาจะอดกินมันอย่างแน่นอน
คำข่มขู่ของอวี้จิ่นย่อมเป็ผล เมื่อตงลู่อยากชิมอาหารบนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เหมือนอาหารที่เขาเคยทานมาก่อน ตงลู่ต้องออกจาก ห้วงความคิดของตน เมื่อได้ยินเสียงประตูจวนถูกเปิด เขารีบบอกให้อวี้จิ่นไปซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองจับดาบไว้แน่น ออกไปยืนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู แต่คนที่มากลับเป็เ้านายของตนมิใช่คนร้าย
“แอ๊ดดด!! ชิ้ง!! พวกเ้าปะ นายน้อย!!”
“ตงลู่! นี่เ้าอยากประลองฝีมือกับนายน้อย ถึงกับถือดาบมาดักรออยู่หลังประตูเชียวรึ” อู๋จิ้งเห็นตงลู่ชักดาบเมื่อประตูเรือนด้านหน้าเปิดออกจึงเรียกสหายทันที
“ขออภัยขอรับนายน้อย บ่าวคิดว่ามีคนของใต้เท้าจินตามมา จึงได้ทำการล่วงเกินนายน้อยเช่นนี้” ตงลู่ไม่ห่วงนักโทษอย่างเจียนฉือนัก แต่เขาต้องปกป้องสตรีที่เ้านายฝากไว้ให้ดูต่างหาก
“อืม ไม่เป็ไรเ้าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ว่าแต่ทำไมเ้าอยู่เพียงลำพัง จิ่นเอ๋อร์นางหายไปไหน หรือเ้าลืมตามดูนางงั้นหรือตงลู่” ฟู่หลงเหยียนน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเมื่อไม่เห็นอวี้จิ่นอยู่ในห้องนี้
“เอ่อ คือบ่าวให้คะ..”
“ข้าอยู่นี่เ้าค่ะพี่ชายฟู่ ท่านอย่าดุน้าตงลู่เลยนะเพราะพวกท่านไม่ส่งเสียง จึงคิดว่าเป็คนร้ายข้าถึงไปแอบหลบอยู่อีกห้องอย่างไรเล่า” อวี้จิ่นรีบแสดงตัวก่อนที่ตงลู่จะถูกทำโทษ
“พี่แค่ถามตงลู่ยังไม่ได้ดุอย่างที่เ้าเข้าใจเสียหน่อย”
“เ้าค่ะ ๆ ท่านไม่ได้ดุแค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง ว่าแต่ภารกิจของท่านเรียบร้อยดีหรือไม่เ้าคะ” อวี้จิ่นเปลี่ยนเื่คุยหันไปถามเื่งานของฟู่หลงเหยียนแทน
“คุณหนูอวี้จิ่นไม่ต้องห่วงขอรับ หากนายน้อยลงมือภารกิจย่อมสำเร็จอยู่แล้วขอรับ แต่ว่าตอนนี้ข้าได้กลิ่นหอมลอยมา คล้ายกับว่ามีคนทำอาหารอยู่ภายในจวนหลังนี้นะขอรับ” อู๋จิ้งตอบคำถามแทนเ้านายและไม่ลืมถามที่มาของกลิ่นอาหาร
“แน่นอนว่ามันคือกลิ่นของอาหาร และคนที่ทำก็ไม่ใช่ใครแต่เป็คุณหนูอวี้จิ่น ที่เข้าครัวทำอาหารหลายอย่างไว้ นายน้อยขอรับถือเสียว่าสงสารพวกบ่าว ท่านรีบไปล้างมือดีกว่าขอรับ หากปล่อยให้อาหารเย็นชืดไปเสียก่อน จะทานไม่อร่อยเอาได้นะขอรับ” ตงลู่อดทนั้แ่อวี้จิ่นทำอาหารจานแรกแล้ว จึงร้องขอความเมตตาจากเ้านายเช่นนี้
“ข้าเห็นด้วยกับน้าตงลู่เ้าค่ะ พี่ชายฟู่กับท่านน้าทั้งสอง รีบไปล้างมือให้สะอาดเถิด จะได้มานั่งทานอาหารด้วยกันนะเ้าคะ”
“อืม ขอบใจจิ่นเอ๋อร์มากที่ทำอาหารไว้รอ ประเดี๋ยวพี่จะตามไปที่ห้องทานอาหารก็แล้วกัน พวกเ้าสองคนก็ทำตามที่จิ่นเอ๋อร์บอกด้วยล่ะ แล้วไปนั่งทานอาหารพร้อมกันไม่ต้องแยกสำรับ” ฟู่หลงเหยียนสั่งให้คนสนิททำตามที่อวี้จิ่นบอก ทั้งที่เมื่อก่อนอดีตคนรักเคยสั่ง
พวกเฉินอิ่น แต่เขาไม่อนุญาตให้นางมายุ่งวุ่นวายกับทั้งสามคนสักครั้ง
‘แค่คำว่าน้าก็เ็ปแล้ว’
‘ทำตามคำสั่งของคุณหนูอวี้จิ่น!’
‘อึก นั่งกินข้าวด้วยกันกับนายน้อยงั้นหรือ?’
ทั้งสามคนไม่รู้ว่ายามนี้จะใกับเื่ไหนก่อนดี ท่าทางของเ้านายเปลี่ยนไปได้ภายในไม่กี่วันเมื่อพบกับอวี้จิ่น คงต้องพยายามปรับตัวกันเสียใหม่หลังจากนี้เสียแล้ว เมื่อได้ชิมอาหารฝีมือของอวี้จิ่น คำแรกบุรุษทั้งสี่กลายเป็คนใบ้ขึ้นมาทันที สตรีเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะอาหาร ได้แต่มองซ้ายทีขวาที มีแต่เสียงของตะเกียบกระทบชามข้าว นี่นางควรภูมิใจที่ฝีมือการทำอาหารยังใช้ได้อยู่ใช่ไหม
ภายหลังจากทานอาหารแสนอร่อยจนอิ่มหนำ ก่อนจะแยกย้ายฟู่หลงเหยียนไม่ลืมกำชับกับอวี้จิ่นว่า อีกสองวันหลังจากนี้ให้นางเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะนี่จะเป็การเดินทางไกลนับเดือนกว่าจะไปถึงเมืองหลวง อวี้จิ่นรับคำอย่างกระตือรือร้นที่จะได้ออกเดินทางเสียที
ณ ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นจ้าว
จิ้งโม่และมู่ฉีทั้งสองคนเป็บ่าวในจวนตระกูลฟู่ และทั้งสองได้ร่วมฝึกฝนกับนายน้อยของตระกูล เพื่อทำงานคอยสืบข่าวสำคัญ ซึ่งครั้งนี้จิ้งโม่ได้รับภารกิจจากนายน้อย จึงได้ชวนสหายอย่างมู่ฉีมาช่วยสืบเื่ราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ที่เป็ขุนนางในราชสำนัก เกี่ยวกับการมอบกุญแจหยกอายุยืนให้บุตรหลาน ในวันที่ออกมาลืมตาดูโลก รวมถึงตระกูลใดมีบุตรสาวหรือหลานสาวหายตัวไปหรือไม่
“ปึก! มู่ฉีเ้ากับข้าสืบเื่ราวของตระกูลใหญ่ จนเกือบจะครบทั้งเมืองหลวงแล้ว แต่มีเพียงตระกูลเจียงของแม่ทัพใหญ่ที่เดียวเท่านั้น ที่เ้าก็รู้อย่างที่ข้ารู้ว่าไม่สามารถจะแฝงตัวเข้าไปได้ง่ายดายนัก เฮ้อ” จิ้งโม่ถอดถอนใจเพราะคิดไม่ออกว่า จะเข้าไปในจวนตระกูลเจียงอย่างไร
“เท่าที่ข้าคิดออกในตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือพวกเราต้องขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง ในเมื่อไม่อาจแฝงตัวสืบอย่างลับ ๆ มิสู้เข้าหาอย่างตรงไปตรงมาไม่ดีกว่ารึ” มู่ฉีก็หนักใจไม่ต่างกับสหายนัก
“ก็ดีเหมือนกันเพราะอย่างน้อย ๆ รองแม่ทัพเจียงก็เป็สหายกับนายน้อย หากพวกเราสอบถามไปตามตรง ย่อมดีกว่าเป็ไหน ๆ ถึงอย่างไรพวกเราก็มีข้ออ้าง เกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนนั่น เพราะตระกูลอื่นใช้ทองคำมานานแล้ว ยกเว้นตระกูลเจียงที่ยังคงใช้หยก ทำเป็กุญแจอายุยืนมอบให้บุตรหลานจนถึงทุกวันนี้” จิ้งโม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ของสหาย
“อืม พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปพบรองแม่ทัพ ที่ค่ายฝึกทหารในยามเฉิน ข้าคิดว่าเื่นี้อาจทำให้รองแม่ทัพต้องรู้สึกเสียใจอีกครั้ง”
“วันนี้พวกเรากลับไปพักกันก่อนเถิด จะได้นำจดหมายติดตัวไปด้วย” จิ้งโม่คิดว่านำจดหมายของเ้านายไปด้วยเผื่อจำเป็ต้องใช้
“อืม”
ด้านรองแม่ทัพเจียงหยวน บุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่ ยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนนำเื่เกี่ยวกับน้องสาวเพียงคนเดียว ที่ต้องตายอย่างไร้สาเหตุั้แ่ยังไม่ทันได้ลืมตา เื่นี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจของเจียงหยวนมาถึงปัจจุบัน และมันยังทำให้มารดาของเขา
ไม่มีรอยยิ้ม ไม่ว่าบิดาจะพยายามทำทุกวิธีที่คิดได้ ก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากมารดาได้อยู่ดี
ยามเฉินของวันต่อมาจิ้งโม่และมู่ฉีมาถึงค่ายฝึกทหาร เพื่อขอเข้าพบรองแม่ทัพเจียง เนื่องจากมีเื่สำคัญ้าสอบถามด้วยตนเอง หลี่อี้ที่รับเื่แล้วนำไปรายงานต่อเ้านาย มีความสงสัยเล็กน้อยว่า เหตุใดคนของใต้เท้าฟู่ ถึงได้มาขอพบเ้านายของตนถึงค่ายฝึกทหารเช่นนี้
“เรียนคุณชายที่หน้าค่ายทหาร มีคนของใต้เท้าฟู่มาขอพบท่านขอรับ”
“หืม มิใช่ว่าสหายข้าคนนี้ไปทำภารกิจที่ต่างเมืองมิใช่หรือ แล้วคนที่มาขอพบข้าเป็คนไหนงั้นรึหลี่อี้” เจียงหยวนรู้เพียงว่าสหายของเขาคนนี้เดินทางไปทำภารกิจจากรับสั่งของฮ่องเต้
“คนหนึ่งชื่อจิ้งโม่ส่วนอีกคนชื่อมู่ฉีขอรับคุณชาย”
“เ้าไปพาทั้งสองคนเข้ามาพบข้าที่นี่ก็แล้วกัน”
“รับทราบขอรับ”
จิ้งโม่และมู่ฉีที่ยืนรอเมื่อเห็นหลี่อี้กลับออกมา และบอกว่าเจียงหยวนอนุญาตให้เข้าพบได้ก็รู้สึกดีใจมาก ทั้งสองเดินตามหลี่อี้เข้าไปยังกระโจมทำงานของเจียงหยวน
“ข้าน้อยจิ้งโม่กับมูฉีคารวะรองแม่ทัพเจียงขอรับ”
“ไม่ต้องมากพิธีพวกเ้าสองคน้าพบข้า เพราะเ้านายของเ้ามีเื่อันใดจะให้ข้าช่วยรึ” เจียงหยวนคิดเพียงเื่งานเท่านั้น
“เอ่อ เื่ที่นายน้อย้าจากรองแม่ทัพเจียง มิใช่ความช่วยเหลือเื่งานแต่อย่างใดขอรับ แต่ว่ามันเป็เื่เกี่ยวกับน้องสาวของท่านน่ะขอรับ” จิ้งโม่พูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะเขาคาดเดาได้ถูก หากพูดเื่ของน้องสาวเจียงหยวนย่อมไม่อยากพูดถึง
“เื่ของน้องสาวข้า แล้วฟู่หลงเหยียน้ารู้ไปทำไม พวกเ้ากลับไปเถิดข้าไม่อยากพูดถึงเื่ในอดีตอีก” เจียงหยวนเมื่อได้ยินว่าเป็เื่ของน้องสาวก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“รองแม่ทัพเจียงอย่าเพิ่งไล่พวกข้าเลยขอรับ ที่นายน้อย้าทราบเื่ของน้องสาวท่าน เป็เพราะยามนี้นายน้อยพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เมืองเฉียนโจว ที่สำคัญนางมีกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียงของท่านด้วยขอรับ” จิ้งโม่รีบขอร้องเจียงหยวน และบอกรายละเอียดในจดหมายของฟู่หลงเหยียนออกไป
“เ้าว่าอะไรนะ!! อาเหยียนเจอใครที่เมืองเฉียนโจว พวกเ้าเล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้” แม้เจียงหยวนจะใแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“เรียนรองแม่ทัพเจียง นายน้อยของพวกเราเจอหญิงสาวคนหนึ่ง ยามนี้อายุน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว มันเป็ความบังเอิญเสียมากกว่า ที่นายน้อยได้ยินสิ่งที่นางพูดก่อนเข้าเมืองเฉียนโจว จึงให้ตงลู่สะกดรอยตามนางไป และนั่นทำให้ตงลู่ได้เห็นกุญแจหยก
อายุยืน รวมถึงคำพูดของนางที่ว่าจะเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อตามหาครอบครัว โดยใช้หยกชิ้นนี้เป็หลักฐานขอรับ เื่ทั้งหมดเป็ที่มาของการสืบเื่ราวของตระกูลขุนนางใหญ่ ซึ่งพวกข้าสองคนไปสืบมาจนครบแล้ว เหลือเพียงตระกูลเจียงที่พวกข้าตัดสินใจมาขอเข้าพบท่านโดยตรงขอรับ” มู่ฉีรีบอธิบายเื่ราวที่มาที่ไปให้สหายของเ้านายทราบ ก่อนที่เขาจะโมโหไปมากกว่านี้แล้วพวกตนต้องคว้าน้ำเหลว
“ ตุบ นางมีหยกชิ้นนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวที่น่าสงสารของข้า นางตายั้แ่คลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ”
