“หือ?”
พอได้ยินดังนั้น ิอวี่ก็หันหน้าไปมองแล้วเห็นว่าด้านข้างที่อยู่ไม่ไกลจากเขานั้น มีชายคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงินเข้มกำลังมองมาทางนี้ สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
หน้าตาของชายคนนั้นก็ดูธรรมดา แต่อกผายไหล่ผึ่ง ท่าทางดูมีอำนาจ ดูเหมือนคมดาบที่ออกจากฝักพร้อมจะเชือดเฉือน
ในความเป็จริงแล้ว ชายคนนี้มีชื่อว่าชุยเฟิง เขาเป็ศิษย์ที่โดดเด่นมากคนหนึ่งของสำนักกังเหรินในราชวงศ์อวินซี ปีนี้อายุยี่สิบสอง มีขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่แปดระดับประสานเป็หนึ่ง มีพลังเทียบเท่าราชสีห์หกพันตัว
วันนี้เขาได้รับอนุญาตจากอาจารย์ของเขาให้มาเลือกซื้อพาหนะสัตว์ปีกที่เหมาะสมกับตนเอง
ชุยเฟิงถือเป็คนที่มีความแข็งแกร่งและมีบารมีอย่างมากในสำนักกังเหริน พาหนะที่เขาเลือกซื้อนั้นจะธรรมดาได้อย่างไร ดังนั้น เขาต้องเลือกซื้อตัวที่เป็หนึ่งในสิบสุดยอดสัตว์ปีกแน่นอน
เพียงแต่เมื่อเห็นสัตว์ปีกทั้งสิบตัวบินมาหยุดที่แท่นหินพร้อมป้ายราคา สีหน้าของชุยเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที
นั่นก็หมายความว่า สัตว์ปีกพวกนี้มีราคาเฉลี่ยเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก
ขณะที่ชุยเฟิงกำลังรู้สึกลำบากใจ เขาก็พบว่าเหยี่ยวชางโม่นั้นตั้งราคาขายเอาไว้สามสิบหกล้านเหรียญหยกดำ ในบรรดาพาหนะทั้งสิบตัว สามสิบหกล้านเหรียญหยกดำนั้นถือว่าเป็ราคาที่ถูกที่สุดแล้ว และเป็ราคาที่เขายอมรับได้
ดังนั้น เขาจึงเริ่มทำการตรวจสอบเหยี่ยวชางโม่
ดวงตาสีเหลืองใส ปีกสีเทาที่มีความหนา ร่างกายที่กำยำแข็งแรง ดูไปแล้วสง่างามน่าเกรงขาม
พอนึกภาพว่าเขาสามารถขี่เ้าสัตว์ปีกที่ดูสง่างามตัวนี้แล้วจะทำให้เหล่าศิษย์น้องในสำนักพากันอิจฉา เขาก็รู้สึกมีความสุข รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
แต่ในเวลานี้เอง ิอวี่กลับพูดคำบางอย่างที่ลอยมาเข้าหูของชุยเฟิง
อะไรคือ สัตว์ปีกตัวนี้ ไม่ได้? กล้าสงสัยในการประเมินของข้าหรือ!
ในใจของชุยเฟิงโกรธจนแทบดิ้น และมองไปที่ิอวี่ด้วยท่าทางประชดประชัน
หลังจากนั้น ิอวี่ก็หันหน้ากลับมาแล้วสบตาเข้ากับเขาพอดี
“เ้าพูดกับข้าหรือ?” ิอวี่ขมวดคิ้วเบาๆ
“ไม่อย่างนั้นเ้าคิดว่าข้าพูดกับใคร” ชุยเฟิงยิ้มแบบไม่พอใจที่มุมปาก “ของในสวนสัตว์ปีกแห่งนี้ไม่ใช่ของที่คนอย่างเ้าจะมาประเมินได้ เข้าใจหรือเปล่า?”
“นั่นสิ เหยี่ยวชางโม่ดีจะตายไป แต่เ้ากลับบอกว่ามันไม่ได้ เ้านี่ไม่รู้จักของดีเลย”
“สายตาศิษย์พี่ใหญ่ของเราเฉียบแหลมจะตายไป เ้ามีสิทธิอะไรมาสงสัย?”
ด้านหลังของชุยเฟิงมีชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนหนึ่งส่งสายตาไม่เป็มิตรมาให้กับิอวี่ พวกเขาเป็ศิษย์ของสำนักกังเหรินที่วันนี้ตามชุยเฟิงมาดูสัตว์ปีกที่งดงามด้วย
พวกเขาเองก็รู้สึกว่าเหยี่ยวชางโม่องอาจสง่างาม ดูสูงส่งกว่าสัตว์ปีกตัวอื่นมาก ปักป้ายราคาสามสิบหกล้านเหรียญหยกดำก็ถือว่าน่าประหลาดใจมากแล้ว พูดได้เลยว่าเ้าเหยี่ยวชางโม่ตัวนี้มีมูลค่าที่สูงมาก
แต่ใครจะไปคิด ิอวี่กลับพูดคำที่ทำให้พวกเขารู้สึกขยะแขยง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงขนาดนี้ออกมา
“เหอะๆ ”
ิอวี่ก็เลยถูกพูดแขวะแบบนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้จักโกรธ เขาไม่มีความจำเป็ที่จะต้องทนเลยพูดขึ้นมาด้วยความเ็าว่า “ข้าจะพูดอะไรมันก็เป็สิทธิของข้า เ้าไม่มีสิทธิเข้ามาก้าวก่าย”
“ความหมายของเ้าคือเ้าดูถูกพาหนะในอนาคตของข้า ข้าไม่มีสิทธิยุ่งอย่างนั้นหรือ?”
ชุยเฟิงเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วจ้องมาที่ิอวี่แบบเอาเื่ เขาใช้ความน่าเกรงขามของผู้กล้าขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่แปดระดับประสานเป็หนึ่งพยายามข่มิอวี่ “เ้าจะต้องรับผิดชอบคำพูดที่โง่เง่าของเ้าเมื่อครู่ โดยการขอโทษข้า ตอนนี้”
ความน่าเกรงขามของชุยเฟิงในระดับนี้ปกติก็เหนือกว่าคนอื่นมาก และสามารถทำให้คนอื่นที่ได้เห็นนั้นรู้สึกหวั่นใจ ใจนสติแทบหลุด แต่โชคร้ายก็คือ เขามาเจอกับิอวี่ที่มีขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่เก้าระดับผนึกขั้วสูงสุด และมีพลังเทียบท่าราชสีห์สองหมื่นตัว!
ท่าทางของิอวี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาพูดขึ้นมาด้วยสายตาที่นิ่งมากว่า “คำพูดของข้าไม่ได้ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว”
“อวดดี เ้าพูดกับศิษย์พี่ใหญ่ของข้าแบบนี้ได้อย่างไร!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งด้านหลังแทบอยากจะพุ่งออกมาตบหน้าิอวี่ในทันที
แต่ชุยเฟิงยกมือขึ้นปรามชายหนุ่มคนนั้นไว้แล้วจ้องไปที่ิอวี่ เขาไม่โกรธแต่ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ดี ดีมาก ก่อนที่ข้าจะสั่งสอนเ้า ข้าจะบอกเ้าเองว่าเ้าผิดที่ตรงไหน”
“เหยี่ยวชางโม่ เป็อสูรทะเลทรายระดับเก้า หากพูดถึงเื่ความอดทน มันอาศัยอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้งมายาวนาน มันมีความ้าน้ำในปริมาณที่น้อยมาก และสามารถบินต่อเนื่องสิบวันโดยไม่ต้องกินอาหาร ความอดทนของมันไม่ธรรมดา”
“เื่ความเร็ว เมื่ออยู่กลางอากาศ ความเร็วในการบินของมันรวดเร็วดั่งสายฟ้า มันคือสัตว์ปีกระดับเก้าที่บินได้เร็วที่สุดในทะเลทราย!”
“เื่รูปลักษณ์ภายนอก รูปร่างกำยำ ปีกมีความหนาแน่น สง่างาม องอาจ แค่ดูด้วยตาก็รู้ว่าเป็สัตว์ปีกที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดา เ้ากลับกล้าพูดออกมาว่า มันไม่ได้”
ระหว่างที่พูด ชุยเฟิงก็จ้องมาที่ิอวี่อยู่ตลอด เขาใช้ความจริงพวกนี้เพื่อบอกว่าิอวี่นั้นผิด ผิดอย่างมหันต์ด้วย!
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ชุยเฟิงกลับไม่เห็นสีหน้าเสียใจหรือว่าเขินอะไรเลยบนหน้าของิอวี่ แต่กลับมองเห็นความดูถูกและประชดประชันกลับมาแทน
“ข้อแรก”
ิอวี่ยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาแล้วพูดว่า “สิ่งที่เ้าพูดมาทั้งหมดเมื่อครู่ มันเป็จุดเด่นของเหยี่ยวชางโม่ ซึ่งมันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แต่สิ่งที่ข้าวิเคราะห์คือตัวของเหยี่ยวชางโม่ตัวนี้ ข้าจึงพูดว่ามันไม่ได้”
“ข้อที่สองที่ข้าจะพูดต่อไป ก็คือก็จะหมายถึงเหยี่ยวชางโม่ตัวนี้เท่านั้น ถึงแม้ดูจากแววตาภายนอกของมันจะสวยงาม แต่เมื่อจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว สายตาของมันล่องลอยมาก ร่างกายมีอาการสั่นเล็กน้อย นั่นก็หมายความว่าอารมณ์ของมันไม่คงที่ หรือไม่ก็เพิ่งจะสงบลง”
“ข้อที่สาม ้าปีกซ้ายของเ้าเหยี่ยวชางโม่ตัวนี้ ถึงแม้จะมีขนที่หนาแน่นแต่ก็ดูยุ่งเหยิงมาก และถึงแม้สีของมันจะเป็สีเทา แต่สีของมันอ่อนจนเกือบขาว นั่นก็หมายความว่าขนบริเวณนั้นมันเป็ขนที่เพิ่งขึ้นมาใหม่”
“เพราะฉะนั้น ข้าถึงได้ใช้พลังจิตไปสำรวจตรวจสอบที่ปีกของมันอย่างละเอียด ก็เลยพบว่ากระดูกบริเวณปีกตรงนั้นมีรอยร้าวเล็กๆ นั่นก็หมายความว่า เมื่อไม่นานมานี้ เ้าเหยี่ยวชางโม่นั้นเพิ่งได้รับาเ็มา และาเ็ที่บริเวณกระดูกด้วย”
“หากจะบินในระยะที่สูง แค่รอยแผลเล็กๆ นั่นคงไม่มีผลอะไร แต่เมื่อบินสูงและ้าความเร็วด้วย ปีกซ้ายของเ้าเหยี่ยวชางโม่ตัวนี้คงรับไม่ไหวแน่”
เมื่อได้ยินิอวี่วิเคราะห์ พวกของชุยเฟิงก็ถึงกับตะลึงไป พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าิอวี่จะวิเคราะห์อะไรออกมาได้มากมายขนาดนี้ และยังเป็เหตุเป็ผลจนพวกเขาหาจุดโต้แย้งไม่ได้เลย
หลังจากนั้น ชุยเฟิงก็ใช้พลังจิตสำรวจไปที่ปีกซ้ายของเ้าเหยี่ยวชางโม่ เขาพบว่าสีที่ขนของมันแตกต่างกันจริง แต่ไม่ได้สำรวจไปตรงบริเวณกระดูก
ไม่ใช่ว่าที่กระดูกไม่มีรอยร้าว แต่เพราะพลังจิตของเขาไม่สามารถสำรวจได้ละเอียดขนาดนั้น
“เหอะๆ รอยร้าวอะไรที่ไหนกัน เดี๋ยวไปถามครูฝึกก็จะรู้ว่าเ้าโกหก!”
สายตาของชุยเฟิงดุดันมาก เขาเอานิ้วชี้จิ้มไปที่หัวไหล่ขวาของิอวี่ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก “สรุปแล้วก็คือ เ้าซื้อเหยี่ยวชางโม่ไม่ไหว ก็เลยอิจฉาข้า ถึงได้พูดจาไร้สาระพวกนี้ออกมา แต่ข้าจะบอกอะไรเ้าให้นะ เ้าน่ะมันตาต่ำ อย่าริอ่านมาเทียบกับข้าเลยจะดีกว่า เ้ายาจก”
“ข้าขอเตือนเ้าก่อนนะ เอามือสกปรกของเ้าออกไป”
สายตาของิอวี่เย็นะเืลงในทันที
“เ้ายังกล้าโอหังแบบนี้อีกหรือ!” พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ชุยเฟิงไม่ได้คิดเลยว่าิอวี่จะยังกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอีก?
ชุยเฟิงโกรธมากแล้วจริงๆ เขาใช้มือซ้ายจับไปที่เสื้อบริเวณหน้าอกของิอวี่และคิดอยากจะยกตัวิอวี่ขึ้นมา!
แต่ในเวลานี้เอง มือซ้ายของิอวี่ก็ไวพอ เขายกมือขึ้นมาจับมือของชุยเฟิงเอาไว้ ชุยเฟิงพยายามจะออกแรงเพื่อสลัดมือซ้ายออกไป แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำได้ หลังจากนั้นเขาเลยคิดอยากจะดึงเอามือขวาของเขากลับมา แต่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
เขารู้สึกว่าิอวี่เหมือนรูปปั้นแกะสลักที่ทำจากเหล็กกล้า มือซ้ายของเขาเหมือนติดอยู่ในแขนของรูปปั้นแกะสลักเอาออกมาไม่ได้
สิ่งที่ทำให้ชุยเฟิงรู้สึกกลัวมากที่สุดก็คือ มือซ้ายของิอวี่ที่จับข้อมือซ้ายของเขาอยู่นั้นมันทำให้เขารู้สึกเจ็บอย่างมาก และกำลังของิอวี่ก็ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ชุยเฟิงรู้สึกเจ็บมาก แค่ไม่ถึงสองวินาที กำลังของิอวี่ก็แรงขึ้นอีก และทำให้ชุยเฟิงเจ็บหนักมากกว่าเดิมจนแทบอยากจะส่งเสียงร้องออกมาโดยสัญชาตญาณเลย
แต่ชุยเฟิงก็พยายามอดทนจนหน้าแดงและไม่ยอมร้องออกมาเพราะ “ศักดิ์ศรี” ด้านหลังของเขานั้นยังมีศิษย์น้องอยู่อีกหลายคน เขาจะขายหน้าได้อย่างไร!
ตอนนี้เขาแค่อยากเอามือซ้ายของเขาออกมาจากมือซ้ายของิอวี่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าแรงของิอวี่นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเ็ปของเขานั้นไปสู่จุดสูงสุดแล้ว ชุยเฟิงรู้สึกว่ากระดูกข้อมือของเขากำลังจะแตกแล้ว
ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ...
“แคร็ก”
“อือ! … ”
ชุยเฟิงกัดฟันแน่น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง วินาทีที่กระดูกหักนั้นเขารู้สึกเ็ปอย่างถึงที่สุด มันทำให้เขาอดส่งเสียงร้องเบาๆ ไม่ได้!
และในเวลานี้เอง ิอวี่ก็ปล่อยมือของเขาอย่างสบายๆ และปล่อยชุยเฟิงไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ เป็อะไรไป?” ศิษย์น้องด้านหลังรีบเดินเข้ามาหาแล้วถามด้วยความเป็ห่วง
“ข้าไม่เป็ไร ... แค่ไม่อยากจะไปมีเื่กับเขาแค่นั้นเอง ไปซื้อเหยี่ยวชางโม่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชุยเฟิงห้อยมือซ้ายลง ต่อให้เขาจะเ็ปมากแค่ไหน แต่ก็ยังทำท่าทางสบายอารมณ์เหมือนเดิม
“แต่ว่าทำไมบนหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ถึงมีเหงื่อไหลออกมาเยอะขนาดนี้ล่ะ?” ศิษย์น้องผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมา
ชุยเฟิงยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นใช้มือขวาปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดว่า “อากาศมันร้อนน่ะ เวลาเ้ารู้สึกร้อน เหงื่อเ้าไม่ออกหรืออย่างไร? เหอะๆ ”
ศิษย์น้องผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าแบบงงๆ
ศิษย์น้องผู้ชายอีกคนก็ถามขึ้นมาว่า “แล้วทำไมมือซ้ายของศิษย์พี่ถึงได้สั่นแบบนั้นล่ะ?”
“สั่นด้วยหรือ?”
ชุยเฟิงยักไหล่ให้กับศิษย์น้องคนนั้น แล้วใช้แรงที่กล้ามเนื้อทำให้แขนซ้ายขยับ ถึงแม้เขาจะเจ็บจนหน้าซีดแล้ว แต่ก็ยังทำท่าทางเหมือนไม่เป็ไรเลยให้กับศิษย์น้อง
“ไม่ ... ไม่มี”
“ก็นั่นน่ะสิ มือข้าจะสั่นได้อย่างไรล่ะ” ชุยเฟิงส่ายหน้า
เมื่อเห็นชุยเฟิงไม่เป็ไร ศิษย์สำนักกังเหรินก็ไม่พูดอะไรอีก
มีแค่ชุยเฟิงคนเดียวที่อารมณ์ดำดิ่งอย่างมาก!
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าิอวี่จะมีกำลังกายที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้ แต่สำนักกังเหรินขึ้นชื่อเื่เพลงดาบ แม้กำลังกายเขาอาจจะสู้ิอวี่ไม่ได้ แต่หากเขาใช้ดาบแล้วล่ะก็ ต่อให้ิอวี่จะมีกำลังกายแข็งแกร่งแค่ไหนเขาก็สามารถฉีกิอวี่เป็ชิ้นๆ ได้อยู่ดี!
