บทที่ 33 แต้มทะลุหมื่น
รับภารกิจเสร็จ ฉินชูก็ไปจากหอคุณูปการ
“หลายคนคิดว่าฉินชูบ้าระห่ำและเ็า แต่อันที่จริงไม่ใช่เลย ในใจเขามีคนอยู่แค่สองประเภท ประเภทแรกคือคนอื่น อีกประเภทคือคนกันเอง ก่อนหน้านี้เขามองศิษย์รับใช้เป็คนของเขาเอง แต่หลังจากคนอื่นบนยอดเขาชิงจู๋ไปสนับสนุนเขาที่ท้าสู้กับทางยอดเขาหลัก เขาก็มองว่าทุกคนบนยอดเขาชิงจู๋เป็พวกเดียวกันกับเขาแล้ว” ผู้ดูแลหานพูด
“ผู้ดูแลหานครับ ข้าจะมองเขาเป็คนของพวกเราตลอด” ศิษย์สายในคนหนึ่งพูดขึ้น
“พวกเราก็จะมองเขาเป็พวกเดียวกันเช่นกัน” บรรดาลูกศิษย์บนยอดเขาชิงจู๋ต่างพูดออกมาเป็เสียงเดียวกัน
ผู้ดูแลหานเดินออกมาที่ด้านหน้าหอคุณูปการและมองไปทางยอดเขาอื่นๆ ของสำนักชิงหยุน “เมื่อก่อน ยอดเขาทั้งเจ็ดของสำนักชิงหยุนล้วนเคยเป็อันหนึ่งอันเดียวกันมาก่อน แค่ที่ผ่านมา่หนึ่ง สถานการณ์ของยอดเขาชิงจู๋ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ทำให้ถูกเพิกเฉยและถูกดูถูกสารพัด ไม่เช่นนั้นจะมีคนอย่างหลิ่วเจ๋อกล้ามาหาเื่ถึงหอศิษย์รับใช้งั้นหรือ สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด ก็เป็เพราะพวกเราไม่ได้เื่เองไม่ใช่หรือ ดังนั้นขอให้ทุกคนจงปลุกแรงใจขึ้นมาอีกครั้งและขัดเกลาทัศนคติให้ได้แบบฉินชู ผู้ใดคิดกลั่นแกล้ง พวกเราจะเอาคืนผู้นั้นอย่างสาสม!”
“หลายคนอาจมองว่าการกระทำเช่นนี้มันดุดันเกินไป แต่อันที่จริงมันเป็เพียงแค่จิติญญา ความมุ่งมั่นและทัศนคติที่สำแดงออกมาเท่านั้น!” ผู้าุโซ่งมาที่หอคุณูปการพร้อมกับยื่นป้ายภารกิจ
รับป้ายภารกิจมา ผู้ดูแลหานพลันใเล็กน้อย เพราะว่าเดือนนี้ทางสำนักเพิ่งแจกจ่ายภารกิจไป
“เพราะพวกเราทำภารกิจเสร็จเร็วเกินไป ดังนั้นทางศาลาโอสถและศาลาศัตราจึงมอบหมายภารกิจมาให้ทางยอดเขาชิงจู๋เพิ่ม ถือเป็โอกาสสร้างความประทับใจที่ดี” เมื่อมอบภารกิจเพิ่มเติมให้หอคุณูปการแล้ว ผู้าุโซ่งก็จากไป ภายในใจเขารู้สึกครั่นคร้ามรำไร ไม่นึกว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนยอดเขาชิงจู๋จะมาจากศิษย์รับใช้เพียงคนเดียว
“รีบๆ มารับภารกิจไปทำ ข้าหวังว่าพอถึงสิ้นเดือนกระดานภารกิจจะว่างเปล่า” ผู้ดูแลหานหันไปพูดกับเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ในหอคุณูปการ
สีหน้าของลูกศิษย์บนยอดเขาชิงจู๋ต่างพากันฉายแววตื่นเต้นดีใจออกมา สถานการณ์ตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร…มันหมายความว่ายอดเขาชิงจู๋ได้รับการยอมรับและให้ความสำคัญแล้ว
ฉินชูเดินทางมาที่เขามี่หยุนและเริ่มทำภารกิจ ครั้งนี้เขาตั้งใจมาตามล่าสัตว์อสูรที่อาศัยรวมกันเป็ฝูง เพื่อ้าขัดเกลาวิชากระบี่ที่ตัวเองฝึกฝนมาในสถานการณ์จริง นอกจากสัตว์ขั้นที่สี่แล้ว เขาก็ไร้ความกดดันจากสิ่งอื่นและเริ่มตระหนักได้ถึงพลังที่แท้จริงของวิชากระบี่พื้นฐานแล้ว เขาเชื่อคำพูดของไป๋อวี้แล้วว่าสาเหตุที่วิชากระบี่พื้นฐานสืบทอดมาเป็เวลานานย่อมมีเหตุผลของมัน และพลังที่ซุกซ่อนอยู่ในแก่นแท้และรากเหง้าของมันก็ค่อยๆ สำแดงออกมาผ่านการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
เขาต่อสู้อยู่ท่ามกลางเขามี่หยุนร่วมหกวัน เมื่อสิ่งของในภารกิจถูกเก็บรวบรวมเรียบร้อย ฉินชูก็กลับมาที่หอคุณูปการเพื่อส่งมอบ
“เ้าพัฒนาขึ้นมากนะฉินชู” ผู้ดูแลหานพูดกับฉินชู
“ครับ? ผู้ดูแลหานเห็นว่าข้าพัฒนาขึ้นตรงไหน” ฉินชูแปลกใจ
ผู้ดูแลหานคลี่ยิ้ม “ตอนที่เ้าไปทำภารกิจก่อนหน้านี้ เนื้อตัวมักเปรอะเปื้อนเกรอะกรังไปด้วยคราบเืเต็มไปหมด แต่ตอนนี้เ้ากลับมาในสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง”
ฉินชูเขินเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ข้าใช้กระบี่ไม่เป็ ก็เลยใช้แต่หมัดต่อสู้ ตอนนี้พอใช้กระบี่เป็บ้างแล้วเล็กน้อย ก็เลยไม่ค่อยได้ใช้วิธีต่อสู้เหมือนเมื่อก่อน”
ใช้กระบี่เป็บ้างแล้วเล็กน้อย...
ได้ยินประโยคนี้ ผู้ดูแลหานถึงกับมุมปากเกร็งกระตุก เหล่าลูกศิษย์ในหอคุณูปการที่ได้ยินประโยคนี้ต่างหันขวับกลับมาอย่างะเืใจ
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนได้ยินคำวิจารณ์ของหลัวเจินที่ยืนยันพร์ในวิถีกระบี่ของฉินชู ตอนนี้ฉินชูจัดว่าเป็ผู้ที่แตกฉานในวิถีกระบี่อย่างแท้จริง คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจขัดเกลาวิถีกระบี่จนถึงขั้นที่ฉินชูเป็อยู่ตอนนี้ได้
“ฉินชูเอ๋ย! คือตอนนี้เื่มันเป็แบบนี้ เนื่องจากทางยอดเขาของพวกเราถูกให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นภารกิจจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน แต่ถ้าทำไม่ได้ ปริมาณของภารกิจก็อาจจะลดลงไปเท่าเมื่อก่อน ตอนนี้บนกระดานภารกิจยังมีภารกิจเหลืออยู่ มันไม่มีคนทำและไม่มีใครทำได้...” ผู้ดูแลหานพูดกับฉินชู
ฉินชูเดินมาด้านหน้ากระดานภารกิจและหยิบป้ายภารกิจที่ค่อนข้างยากลงมาดู อาทิเช่น ฆ่ากิ้งก่าเกล็ดเหล็กเพื่อ่ชิงผลึกพลังของมัน สาเหตุที่ไม่มีใครทำและไม่มีใครทำได้ นั่นก็เพราะมันเป็สัตว์อสูรขั้นที่สี่ นอกเหนือจากนี้ยังมีภารกิจเก็บหญ้าใจทมิฬ ที่จำเป็ต้องผ่านเส้นทางที่เป็แหล่งอาศัยของฝูงหมาป่าอาชูร่า โดยมีจ่าฝูงเป็สัตว์อสูรขั้นที่สี่เช่นกัน
แต่กระนั้นฉินชูก็รับภารกิจมาและคลี่ยิ้มให้ผู้ดูแลหาน “ตอนที่ข้ากลับมา เตรียมสุราไว้สองไหได้เลย”
เมื่อฉินชูจากไปอีกครั้ง ผู้ดูแลหานก็กวาดตามองเหล่าลูกศิษย์ในหอคุณูปการโดยไม่พูดอะไร แต่กลับอัดแน่นไปด้วยคำพูด จนพวกเขาพากันก้มหน้าด้วยความละอายใจ ต่อให้พวกเขาจะพยายามแล้วก็ตาม
วันเวลาผ่านไปอย่างปกติสุข ในหนึ่งเดือนฉินชูจะโผล่มาที่หอคุณูปการสองครั้ง ต้นเดือนหนึ่งครั้งและกลางเดือนอีกหนึ่งครั้ง เพราะต้องกลับมาส่งมอบภารกิจของครั้งแรก จากนั้นก็รับภารกิจยากๆ ที่ไม่มีใครทำได้ไปทำคนเดียว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาฉินชูก็ได้อาศัยอยู่ที่ยอดเขาชิงจู๋มาแล้วแปดเดือน ตอนนี้ตบะของเขาบรรลุขั้นที่สองหนิงหยวนระดับหก แต้มคุณูปการที่ได้จากการทำภารกิจก็มีถึงแสนกว่าๆ
แม้มีแต้มแล้ว แต่ฉินชูก็ยังไม่รีบร้อนไปที่หอคัมภีร์ เพราะเขาคิดว่าเคล็ดวิชาปราณฟ้าเหมาะกับเขายิ่งนัก เขา้าจะฝึกฝนขัดเกลามันต่อไป ฝึกไปจนกว่าตัวเองจะบรรลุขั้นที่สามเจินหยวนแล้วค่อยว่ากันอีกที
เวลานอกเหนือจากการฝึกตน ฉินชูก็มาเดินเล่นที่ลานประลองของยอดเขาชิงจู๋และดูเหล่าลูกศิษย์ฝึกตนไปพลาง
ก่อนหน้านี้ สถานะของศิษย์รับใช้ที่ยอดเขาชิงจู๋ตกต่ำมาก แม้ตอนนี้สถานะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง แต่กฎบางกฎก็ยังมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์รับใช้ไม่สามารถเที่ยวเตร่เพ่นพ่านไปทั่วสำนัก แต่ฉินชูเป็กรณียกเว้น เขาเปรียบเสมือนคนล่องหนไร้เงา ไม่ว่าคนจะไปที่ไหน เหล่าผู้ดูแล ผู้คุมกฎและผู้าุโล้วนไม่เห็นเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครมายุ่ง
ในวันนี้ฉินชูมาที่ลานประลอง เขาเห็นศิษย์สายในกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกฝนวิชากระบี่อยู่ เขายืนมองอยู่ไกลๆ และคิดเล่นๆ ว่าหากกระบวนท่าเ่าั้พุ่งเข้ามาจู่โจมเขา เขาจะป้องกันหรือสลัดมันหลุดได้อย่างไร
“เข้าไปดูด้วยกัน จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันไปด้วย” เหยียนอี้ปรากฏตัวมาอยู่ข้างๆ ฉินชู ถัดจากเหยียนอี้มีผู้หญิงในชุดกระโปรงอยู่อีกหนึ่งคน
“ข้าไม่ชิน แม้ศิษย์รับใช้จะไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าใคร แต่ใช่ว่าศิษย์รับใช้จะสามารถทำอะไรตามใจไปทั่วได้” ฉินชูส่ายหน้า
“เ้าไม่อยากพัฒนาตัวเองไปมากกว่านี้หรือ การฝึกโดยการลองประมือกับคู่ฝึกจะช่วยให้เ้าเห็นจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น เมื่ออยู่ในลานประลอง ทุกคนจะมีศักดิ์เป็คู่ซ้อมที่เท่าเทียมกันหมด” เหยียนอี้พูดกับฉินชู
ครุ่นคิดสักพัก ฉินชูก็พยักหน้าและเดินตามเหยียนอี้ไปที่ลานประลอง
“ลูกพี่ฉิน พอจะมาเป็คู่ซ้อมกันหน่อยได้หรือไม่” เมื่อเห็นฉินชู ศิษย์สายในคนหนึ่งก็พูดขึ้น แม้จะเป็ถึงศิษย์สายใน แต่น้ำเสียงกลับเปี่ยมไปด้วยความเคารพ
จะให้ปฏิเสธงั้นหรือ? เื่แบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉินชูแน่นอน ครั้นแล้วฉินชูก็พยักหน้าและตรงไปยังกลางลานประลอง
หลังจากประสานมือ ศิษย์สายในคนนี้ก็เริ่มชักกระบี่โจมตี
ไม่ว่าจะโจมตีเข้ามาด้วยท่าฟาดฟัน ปาดเฉือนหรือเสียบแทง ฉินชูล้วนสามารถปัดเป่ากระบี่ของอีกฝ่ายได้หมด จนกระทั่งปลายกระบี่ของฉินชูชี้จ่ออยู่ที่หน้าของอีกฝ่าย
เรียบง่าย เฉียบคม ลื่นไหล!
“ไม่อยากจะข่มขวัญเ้า แต่การต่อสู้ของจริงมักเป็เช่นนี้ ดังนั้นข้าจำเป็ต้องทำแบบนี้!” ฉินชูพูดกับศิษย์สายใน
ศิษย์สายในคนนี้มองฉินชูอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ประสานมือขึ้นและถอยหลังกลับไป
ต่อมาก็มีศิษย์สายในอีกสองสามคนเข้ามาขอฝึกด้วย แต่ไม่มีใครสามารถต้านทานกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของฉินชูได้เลยสักคน
“ฉู่หยุน จากยอดเขาเชียนหลัว ได้ยินมาว่าเ้าปฏิเสธคำเชิญของท่านปรมาจารย์ของข้า วันนี้ข้าขอดูฝีมือของเ้าหน่อยแล้วกัน!” ผู้หญิงข้างๆ เหยียนอี้เดินเข้ามาในลานประลอง
เมื่อมีรังสีเจือแววปรปักษ์ แม้จะไม่เท่าไร แต่ฉินชูก็พอััได้ว่าฉู่หยุนผู้นี้ค่อนข้างจะไม่พอใจเขา