อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากสถานการณ์ของเย่เฟิง เมื่อก่อนเขาก็ฝึกทักษะหล่อิญญาถึงขั้นสูงสุดจนสำเร็จ ทำให้มีพลังกายเพิ่มขึ้น ดังนั้นเย่เฟิงจึงมั่นใจว่าจะฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพานี้สำเร็จแน่นอน
“สวะก็คือสวะอยู่วันยังค่ำ ทักษะสองชุดที่เลือกก็ไม่มีใครใช้ฝึกมานานโขแล้ว” มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 1 คนหนึ่งถากถางเย่เฟิง ทำให้เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่าย
“สวะขั้นบ่มเพาะกายาอย่างเ้าจะฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสิบปีก่อนมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนหนึ่งปรารถนาร่างกายอันแข็งแกร่ง จึงเลือกคัมภีร์หล่อกายาเทพาเล่มนี้ หลังจากฝึก ไม่เพียงแต่ไม่ได้ร่างกายอันแข็งแกร่ง แต่ธาตุไฟยังเข้าแทรกเพราะทนความเ็ปทางกายและจิติญญาไม่ได้ สุดท้ายร่างะเิตาย นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าฝึกคัมภีร์เล่มนี้อีกเลย จนกระทั่งวันนี้มีสวะขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 คนหนึ่งที่ไม่เจียมตัวเลือกฝึกทักษะนี้ ช่างรนหาที่ตายชัด ๆ!” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว ทำให้คนอื่น ๆ ต่างใ ไม่นึกว่าคัมภีร์หล่อกายาเทพาเล่มนี้จะมีประวัติที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้อยู่ด้วย ถ้าเช่นนั้นเย่เฟิงเลือกฝึกมันก็อาจจะไม่ได้ร่างกายที่แข็งแกร่ง
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าคัมภีร์หล่อกายาเทพาจะมีประวัติแบบนี้ด้วย มิน่าถึงอยู่ในมุมอับบนชั้นวาง เพราะไม่มีใครสนใจ
“เ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง? ทักษะนี้ไม่เหมาะกับเ้า” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเห็นเย่เฟิงเงียบก็เดินมาที่ด้านข้างเย่เฟิง ก่อนกล่าวเช่นนั้น
“ข้าตัดสินใจเลือกคัมภีร์หล่อกายาเทพาเอง แล้วเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย? เ้าหุบปากเสียเถอะ” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น แม้ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้จะเตือนเขา แต่ทุกคำพูดกลับแฝงด้วยความดูแคลน แล้วเขาจะเคารพอีกฝ่ายไปทำไม จากนั้นเขาหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ทิ้งผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นให้ตะลึงงันอยู่เช่นนั้น
“จางิถูกคนเมินใส่งั้นหรือ?” ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งเดินมาหาชายผู้มีนามว่าจางิ ก่อนเย้ยหยันเช่นนั้น
“ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี กล้าดียังไงเมินใส่ข้า ไม่ช้าก็เร็วเ้าจะต้องชดใช้” จางิกัดฟันกรอดขณะมองแผ่นหลังของเย่เฟิง จากนั้นจางิและคนอื่น ๆ ก็เดินออกไป
“ผู้าุโ ข้าเลือกทักษะสองชุดนี้ เชิญท่านตรวจสอบ” เย่เฟิงส่งทักษะหอกปลิดชีวีและคัมภีร์หล่อกายาเทพาให้เฒ่าจิง เมื่อเฒ่าจิงรับมา พลันแววตาส่องประกายคมกริบ
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเ้า ทักษะสองชุดนี้ฝึกสำเร็จได้ยากมาก มีหลายคนฝึกทักษะหอกปลิดชีวีได้เพียงกระบวนที่หนึ่ง กระบวนที่สองไม่ค่อยมีใครฝึกสำเร็จ ยิ่งกระบวนที่สามก็ยิ่งไม่มีใครฝึกสำเร็จ ส่วนคัมภีร์หล่อกายาเทพาไม่มีใครแตะต้องมาเป็สิบปีแล้ว ข้าจะไม่พูดมาก ข้าทำได้เพียงเตือนเ้าเท่านั้น คัมภีร์นี้ไม่ใช่คัมภีร์ที่เ้าจะฝึกได้ หาไม่แล้วเ้าจะเจอกับหายนะ” เฒ่าจิงกล่าวด้วยความจริงใจและไม่เห็นด้วยกับเย่เฟิงที่เลือกทักษะสองชุดนี้ ถึงอย่างไรมีทักษะที่ฝึกไม่สำเร็จอยู่ตั้งมากมาย มีคนบางส่วนอยากฝึกทักษะสองชุดนี้ แต่ไม่มีใครเลยที่มีความสามารถอันล้ำเลิศ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ล้มเหลว กระทั่งมีคนธาตุไฟเข้าแทรกและร่างแตกะเิตายเพราะฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพา
“เ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะเลือกทักษะสองชุดนี้?” เฒ่าจิงเอ่ยถาม
“ผู้เยาว์แน่ใจขอรับ” เย่เฟิงพยักหน้า เขารู้ว่าตัวเอง้าอะไร
“ดี!” เฒ่าจิงผงกศีรษะขึ้นลง และกล่าวต่อ “อีกครึ่งเดือนค่อยมาคืนแล้วกัน จำไว้ หากฝึกไม่ได้ก็อย่าฝืน ชีวิตตัวเองสำคัญกว่าสิ่งใด”
“ผู้เยาว์จะจำไว้ ขอลา” เย่เฟิงโค้งคำนับเฒ่าจิง เขารู้ว่าเฒ่าจิงมีเจตนาดี ไม่อยากให้เขาฝึกมัน เพราะว่าผลที่จะตามมามันน่ากลัวมาก
“เป็แค่เศษสวะ ข้าก็อยากเห็นว่าเ้าจะฝึกมันได้ยังไง” จางิถากถางเย่เฟิงขณะเดินมาทางด้านเฒ่าจิงพร้อมชายหนุ่มขั้นรวมชี่
“เ้าช่างไม่มีเหตุผล คำสองคำก็หาว่าข้าสวะ เช่นนั้นเ้านับเป็สิ่งใด?” เย่เฟิงมองจางิด้วยสายตาเย็นเยียบ จางิผู้นี้ชอบพูดจาดูถูก ตอนนี้ก็ยังไม่เลิกราง่าย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ!” จางิได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะ มองเย่เฟิงด้วยสายตาเหยียดหยามแล้วกล่าวต่อ “ข้าอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 1 แต่เ้าอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 เ้ามีสิทธิ์อะไรมาเทียบชั้นกับข้า? เ้ากับข้ามันคนละชั้นกัน”
“ไร้ยางอาย!” เมื่อได้ยินคำพูดของจางิ เย่เฟิงก็แสยะยิ้มแล้วกล่าวว่า “อายุอานามของเ้าอย่างน้อยก็คง 18 ปีกระมัง ขั้นรวมชี่ที่ 1 ช่างน่าขันนัก หากข้าอายุ 18 ปีก็คงละอายใจที่จะพูดเื่ระดับการบ่มเพาะ แต่เ้ากลับพูดโดยไม่ดูสารรูปตัวเอง ช่างน่าขันสิ้นดี ข้าเห็นแล้วรู้สึกอายแทน!”
จางิได้ยินเช่นนั้นพลันหน้าแดงก่ำเปลี่ยนไปบูดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด คำพูดนั่นทิ่มแทงจุดอ่อนของจางิ ทำให้เขามองเย่เฟิงด้วยสายตาอาฆาต แต่กลับไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี
“ด้วยความเร็วในการฝึกของเ้าคิดจะโอ้อวดต่อหน้าข้างั้นหรือ? คนชั้นต่ำอย่างเ้าไม่มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของข้าหรอก” เย่เฟิงเย้ยหยัน ก่อนจะเดินออกจากหอวิชาโดยไม่ปรายตามองจางิ
“กรอบ!” จางิกำหมัดแน่น ดวงตาต้องลุกโชนไปด้วยเพลิงพิโรธ เดิมทีเขาคิดจะดูถูกเย่เฟิงเพื่อแสดงความสูงส่งของเขา แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจางิจะโดนเย่เฟิงดูถูก และเขาไม่เคยเสียหน้ามากเท่านี้มาก่อน
เย่เฟิงไม่สนใจท่าทีของจางิ เขาเดินออกจากหอวิชา แต่จ้าวเฉินอ๋องเล็กและจงเทารออยู่ที่ด้านนอกแล้ว เพื่อรอสั่งสอนเย่เฟิงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
“ในที่สุดเ้าก็ออกมา ข้าก็นึกว่าเ้าจะหดหัวอยู่แต่ในนั้น” จ้าวเฉินและจงเทาเดินมาที่ด้านหน้าเย่เฟิง ก่อนจ้าวเฉินจะพูดจาถากถางเย่เฟิง
“เริ่มเลยเถอะ แต่ข้าจะต่อให้เ้าสามกระบวนท่า เพราะข้าไม่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า!” จ้าวเฉินกล่าวพลางเอาสองมือไพล่หลัง ราวกับว่าเย่เฟิงไม่มีทางเอาชนะเขาได้
“ต่อให้ข้าสามกระบวนท่า?” เย่เฟิงแสยะยิ้มพร้อมพลังปราณปะทุออกจากร่าง ในเมื่อจ้าวเฉินเป็คนเสนอเอง เช่นนั้นเขาก็จะไม่เกรงใจ
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ เขาอัดพลังหยวนใส่มือ ก่อนจะปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาตที่ผสานด้วยเอกลักษณ์หอกออกไป ห้วงอากาศสั่นไหวราวกับว่ามีอำนาจฟ้าดินแฝงอยู่ในฝ่ามือ
จ้าวเฉินเหยียดยิ้มพร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา ก่อนจะเห็นเขากะพริบร่างหลบฝ่ามือของเย่เฟิงด้วยความรวดเร็ว โดยที่ไม่โจมตีกลับ
“กระบวนท่าที่หนึ่ง!” จ้าวเฉินเอ่ยนับจำนวน
“วูบ!” นาทีต่อมาเย่เฟิงปล่อยรังสีหอกออกไป ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจหอกที่น่าหวาดกลัว มันพุ่งโจมตีจ้าวเฉินด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ จ้าวเฉินเพิ่งหลบฝ่ามือภูผาพิฆาตพ้นและยังไม่ทันตั้งตัว รังสีหอกที่เย่เฟิงปล่อยออกมาก็มาถึงตัวแล้ว ทำให้จ้าวเฉินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย และพึมพำว่า “เ้าคนชั้นต่ำนี่ยังมีพลังอีกหรือ”
จ้าวเฉินหลบหลีกรังสีหอกอย่างรวดเร็วด้วยท่าร่างที่น่ามหัศจรรย์ ส่วนรังสีหอกเฉียดร่างเขาไป แต่กลับไม่โดนตัวจ้าวเฉิน
“กระบวนท่าที่สอง!” จ้าวเฉินกล่าว แต่ครั้งนี้น้ำเสียงดูเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
“พรึ่บ!” พลังดาราพวยพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง ก่อนจะปรากฏแผนที่ดาวขนาดใหญ่แล้วเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ แสงดาวส่องระยิบระยับ จากนั้นเย่เฟิงก้าวเดิน และเห็นเพียงเสี้ยวเงา ทุกเสี้ยวเงาล้วนดูเสมือนจริง ส่วนเย่เฟิงตัวจริงราวกับหายไปในชั่วพริบตา
จ้าวเฉินชะงักเล็กน้อยพลางขมวดคิ้ว พลังของเย่เฟิงเกินความคาดหมายของเขามาก ทำให้เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม
“ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แน่จริงก็ออกมาสิ!” จ้าวเฉินตวาดเสียงดังขณะกวาดตามองรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวัง แต่ตอนนั้นเองมีแสงดาวสว่างจ้าที่ข้างหลังของจ้าวเฉิน แสงดาวเหล่านี้ค่อย ๆ ก่อตัวเป็รูปร่างมนุษย์ นั่นก็คือเย่เฟิง
“ระวังข้างหลัง!” จงเทาเห็นฉากนี้ก็อดะโบอกจ้าวเฉินไม่ได้ จ้าวเฉินต้องใและหันหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นรังสีหอกที่อัดแน่นด้วยพลังแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งมาหาเขาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพียงพริบตามันมาเยือนเบื้องหน้าจ้าวเฉิน ทำให้จ้าวเฉินหน้าถอดสี แล้วมีหรือเวลานี้เขาจะสนใจสัญญาสามกระบวนท่าที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ เขาชักดาบแล้วตวัดออกไป ก่อนจะเข้าปะทะกับรังสีหอกของเย่เฟิง ตามมาด้วยเสียงปะทะ รังสีหอกหันเหทิศทาง จึงเฉียดคอของจ้าวเฉินไป ทว่าทิ้งรอยเืเป็ทางยาวไว้บนนั้น
“นี่...” ผู้คนมองฉากนี้ก็อดใไม่ได้ เมื่อเห็นว่ารังสีหอกของเย่เฟิงทำร้ายจ้าวเฉินได้
“ทักษะหอกนี้ร้ายกาจมาก หากเปลี่ยนเป็ข้าคงหลบไม่ได้แน่นอน” ผู้คนคิดในใจ พวกเขาใกับพลังของเย่เฟิงจนพูดไม่ออก
“จ้าวเฉินผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 1 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาถูกทำร้าย ชายผู้นี้ลึกลับคาดเดาไม่ได้” มีคนหนึ่งกล่าว แม้จ้าวเฉินจะไม่ลงมือ แต่เขาไม่ระวังตัวจึงได้รับาเ็ จ้าวเฉินเป็ผู้แข็งแกร่ง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาทั่ว ๆ ไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แค่จ้าวเฉินโบกสะบัดมือก็เอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว จึงยิ่งทำร้ายจ้าวเฉินไม่ได้ ดูแล้วเย่เฟิงคงจะแข็งแกร่งใช่ย่อย
“ชายผู้นี้ใจกล้ามาก แม้แต่จ้าวเฉินอ๋องเล็กก็กล้าทำร้าย เห็นทีเขาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ!” ผู้คนคิดในใจ บุตรแห่งเซิ่งอ๋องไม่ใช่ใครที่ไหนจะล่วงเกินได้ ทว่าวันนี้กลับถูกชายหนุ่มขั้นบ่มเพาะกายาผู้หนึ่งทำร้ายกลางลานกว้างนอกหอวิชา แล้วพวกเขาจะไม่ใได้อย่างไรกัน
“ต่อให้ข้าสามกระบวนท่า? ช่างน่าขันนัก!” เย่เฟิงกล่าวพลางถือหอก เสื้อคลุมโบกสะบัดตามแรงลม พร้อมกับเผยสีหน้าดูแคลน
จ้าวเฉินต่อให้เย่เฟิงสามกระบวนท่า แต่สุดท้ายก็ถูกบีบบังคับให้ลงมือเพื่อรักษาชีวิต ทำให้สีหน้าของจ้าวเฉินในเวลานี้ดูย่ำแย่มาก แต่ก็ยังไม่หายจากอาการใ จากนั้นเขามองเย่เฟิงแล้วกล่าวขึ้น “หากเ้าไม่ใช้วิธีต่ำทราม เ้าจะทำร้ายข้าได้หรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้