มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจความหมายของหลงเซี่ยวเจ๋อ ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะคอของตนเบาๆ มองไปที่คราบเืในมือแล้วพยักหน้า “อืม ควรไปล้างออก ไปกันเถอะ”
ขณะที่พวกเขากำลังเดินไป มู่จื่อหลิงก็หันมาถามอย่างแปลกใจว่า “เ้าไม่มีเืไหล เ้าจะล้างคอด้วยเหตุใด?”
“เราดูิ่ฮองเฮาอย่างอุกอาจ เราควรล้างคอและรอที่จะถูกสังหารไม่ใช่หรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อทำท่าทางเคร่งขรึมราวกับว่าเขาได้ละทิ้งชีวิตไว้ข้างทางแล้ว
มู่จื่อหลิงรู้สึกหงุดหงิด
ปรากฏว่าหลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้กล้าที่จะแสดงความก้าวร้าวต่อฮองเฮาเหมือนอย่างนาง และเขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อทำให้ฮองเฮาขุ่นเคือง!
มู่จื่อหลิงเหยียดมือออกไปอย่างโกรธเคือง ก่อนจะตบหัวของหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างแรง “พี่สะใภ้สามของเ้าจะต่อกรโดยไม่มั่นใจได้หรือ? เ้าเป็หมูหรือ [1] ? เ้ายังต้องล้างคอรอการปะาอีกหรือ? เ้าไม่กลัวตาย แต่ข้ายังกลัวตายอยู่นะ”
“อุ๊ย เจ็บ!” หลงเซี่ยวเจ๋อจับหัวของตน และร้องออกมาด้วยท่าทางที่ดูเกินจริง ถามอีกครั้งด้วยดวงตาเป็ประกาย “พี่สะใภ้สาม ท่านหมายความว่าอย่างไร”
มู่จื่อหลิงโอบแขนของนางไว้รอบหน้าอก แล้วเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “หมายความว่าเราไม่ต้องเสียหัว และในวันหน้าฮองเฮาจะไม่กล้าลงมือต่อหน้าพี่สะใภ้สามของเ้าผู้นี้ และนางจะไม่กล้าทำแม้จะเป็การกระทำลับหลังก็ตาม”
สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก [2] ส่วนเื่ที่ฮองเฮาจะไปสร้างคลื่นลม [3] ให้กับผู้ใดนั้น ตราบใดที่มันไม่ยั่วยุนาง แน่นอนว่านางก็จะไม่สนมัน
ด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่งของมู่จื่อหลิง เห็นได้ชัดว่านางจัดการกับฮองเฮาสำเร็จแล้ว
“อะ...อะไรนะ พี่สะใภ้สาม ท่านจัดการกับฮองเฮาได้จริงหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
มู่จื่อหลิงเหล่มองเขาอย่างขบขัน แล้วกางมือของตนออก “เมื่อครู่เ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อฮองเฮาเห็นพวกเราก็รีบหลบเลี่ยงจากไป?”
หลงเซี่ยวเจ๋อพยักหน้า ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้น
จนถึงยามนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ฮองเฮาผู้สูงส่งเบี่ยงตัวหลบเมื่อเห็นพวกเขา เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกราวกับเป็ความฝัน ช่างเกินจริงเกินไป
เป็ไปได้ไหมว่าพี่สะใภ้สามจัดการกับฮองเฮาได้ด้วยริมฝีปากของนางจริงๆ?
ฮองเฮาเป็คนเช่นใด หลงเซี่ยวเจ๋อรู้ดีที่สุด เขาไม่อยากเชื่อเลย แต่นอกเหนือจากวิธีนี้แล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็ยังคิดหาวิธีอื่นที่จะจัดการกับฮองเฮาได้ไม่ออกเลยจริงๆ
“พี่สะใภ้สาม ท่านยอดเยี่ยมมาก!” หลงเซี่ยวเจ๋อยกยอและยกนิ้วให้มู่จื่อหลิง
“แน่นอนอยู่แล้ว” มู่จื่อหลิงพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะโยนกระบอกที่บรรจุน้ำยาหลิงอวิ้นให้กับหลงเซี่ยวเจ๋อ “นี่! ดื่มสิ่งนี้เสีย”
เมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อเปิดกระบอกน้ำออกมา กลิ่นหอมสดชื่นก็ไหลเข้าสู่จมูกของเขา ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
หลงเซี่ยวเจ๋อสูดดมเข้าไปอย่างแรงอีกระลอก ก่อนที่จะถามด้วยความสงสัย “พี่สะใภ้สาม นี่คือสิ่งใด? กลิ่นหอมจัง”
“เป็ยาพิษ หากดื่มเข้าไปเ้าจะตาย เ้าจะดื่มไหม?” มู่จื่อหลิงมองไปที่หลงเซี่ยวเจ๋ออย่างจริงจังและพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม
หลงเซี่ยวเจ๋ออาเจียนเอาหนอนกู่แดงเย็นในร่างกายของเขาออกมา ดังนั้นจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีพิษตกค้าง
น้ำยาหลิงอวิ้นไม่เพียงแต่สามารถล้างพิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของหลงเซี่ยวเจ๋อได้เท่านั้น แต่ยังบำรุงและเปลี่ยนแปลงอวัยวะภายในได้อีกด้วย หากมีโรคภัยก็จะได้รักษาไปเลย หากไม่มีก็เป็การป้องกัน
“เชอะ ข้าไม่เชื่อ สิ่งที่ท่านให้ แน่นอนว่าข้าต้องดื่มมัน” หลงเซี่ยวเจ๋อสูดหายใจสองครั้งด้วยรอยยิ้มโง่ๆ บนใบหน้าของเขา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นและดื่มน้ำยาหลิงอวิ้นเข้าไปทั้งหมด
มู่จื่อหลิงกลอกตาด้วยความรู้สึกพูดไม่ออก
หลังจากหลงเซี่ยวเจ๋อดื่มน้ำยาหลิงอวิ้นเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีอากาศสดชื่นปกคลุมไปทั่วร่างของตน และร่างกายของเขาราวกับได้เกิดใหม่ มันเต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา
ความรู้สึกนั้นทำให้หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตของเขาสบายขึ้นมาก ราวกับหนอนกู่ที่น่ารังเกียจและสกปรกที่อยู่ในท้องของเขาเมื่อไม่นานมานี้ได้รับการทำความสะอาดอย่างสมบูรณ์
และ...ดูเหมือนว่าจะมีกระแสลมร้อนไหลผ่านจุดตันเถียน หลงเซี่ยวเจ๋อดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าของเขาจึงดูใเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธ
เมื่อเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของหลงเซี่ยวเจ๋อเป็อย่างมาก มู่จื่อหลิงจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “มีอะไรผิดปกติหรือ? น้ำยาหลิงอวิ้นนี้สามารถขจัดพิษที่ตกค้างออกจากร่างกายของเ้าได้ แล้วเหตุใดเ้าถึงมีสีหน้าเช่นนี้? ถูกวางยาพิษมาจริงหรือ!”
“พี่สะใภ้สาม สิ่งนี้น่าทึ่งมาก เมื่อได้ดื่มเข้าไปแล้วข้าไม่รู้สึกอาการเจ็บป่วยอีกเลย ท่านลองดมดู ยามพูดยังมีกลิ่นหอมกระจายออกมา” หลงเซี่ยวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาของเขาเป็ประกายมากราวกับจะส่องแสงได้
์รู้ดี ยามที่หลงเซี่ยวเจ๋อพบว่าในท้องของตนเต็มไปด้วยหนอน เขารู้สึกขยะแขยงมากจนอยากจะเอาลำไส้ออกมาล้าง
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย นางมองหลงเซี่ยวเจ๋อด้วยสายตาที่โกรธเคือง “เก็บความทรงจำและความระมัดระวังในครั้งนี้ไว้ ต่อไปในวันหน้าอย่ากินอะไรตามอำเภอใจอีก ยังดีที่อาหารเ่าั้เป็แบบพิษเรื้อรัง ไม่เช่นนั้นเ้าคงตายไปแล้ว”
หลงเซี่ยวเจ๋อขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงของเขาหมองหม่น เขาพึมพำเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ “ผู้ใดไม่ระมัดระวังกัน? ก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็คนบอกข้าว่าให้กินอย่างเอร็ดอร่อย และไม่มีสิ่งใดต้องกังวลเล่า แล้วเช่นนี้ เื่นี้ยังเป็ความผิดข้าอีกหรือ?”
“เ้าพูดว่าอะไรนะ?” มู่จื่อหลิงได้ยินไม่ชัดนักจึงเอ่ยถามออกมา
หากมู่จื่อหลิงได้ยินคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างชัดเจน เขาจะได้รับรางวัลเป็การตบและเตะอีกครั้งอย่างแน่นอน
หลงเซี่ยวเจ๋อตัวสั่นและส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่ พูดอะไรที่ไหนกัน เฮ้อ วันนี้อากาศแจ่มใสจริงๆ”
หลงเซี่ยวเจ๋อเหยียดหลังของตน แล้วมองออกไปไกลอย่างตระหนักดีถึงความผิดของตน เขาไม่กล้าที่จะพูดคำใส่ความมู่จื่อหลิงออกมาดังๆ
มู่จื่อหลิงจ้องมาที่เขาด้วยความสงสัย เด็กผู้โชคร้ายคนนี้กำลังพูดถึงนางในทางไม่ดีหรือเปล่า?
แม้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะไม่ได้มองมาทางมู่จื่อหลิง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามู่จื่อหลิงกำลังจ้องมองเขาอยู่
ดังนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อจึงเลือกยกมือขึ้นไขว้หลังด้วยท่าทางคนอวดเก่งอีกครั้ง แล้วเดินอย่างโอ้อวดต่อหน้ามู่จื่อหลิง เขาเชิดหน้าขึ้นสูง ผิวปากด้วยท่าทางสบายๆ ดวงตาของเขากวาดมองไปโดยรอบ
เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยวเจ๋อยังคงมีท่าทางที่ดูเลอะเทอะ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกพูดไม่ออก
ในขณะเดินพูดคุยกันนั้น ทั้งสองก็ได้เดินออกจากตำหนักคุนหนิงมาแล้ว
เนื่องจากเขาจงใจเข้าวังอย่างเชื่องช้า มู่จื่อหลิงจึงให้ฝูหลินจอดรถม้าไว้นอกวัง แล้วค่อยเดินเข้าวังไปอย่างช้าๆ และยามนี้ก็ถึงเวลาต้องเดินออกจากวังแล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะกลับไปก่อน เ้าจงอยู่ในวังอย่างเชื่อฟัง” มู่จื่อหลิงโบกมือให้หลงเซี่ยวเจ๋ออย่างไม่เป็ทางการ และกำลังจะจากไป
ใครจะรู้...
เมื่อได้ยินว่าตนจะต้องอยู่ในวังอีกครั้ง หลงเซี่ยวเจ๋อก็พุ่งเข้ามาคว้าชายกระโปรงของมู่จื่อหลิง ราวกับว่าเขาสาบานว่าจะไปกับนาง
เห็นเขามีสีหน้าขมขื่น มองดูมู่จื่อหลิงอย่างน่าสงสาร และคร่ำครวญราวกับกำลังเสียใจ “พี่สะใภ้สาม ข้าจะกลับไปกับท่าน ฮองเฮาไม่อาจทำอะไรท่านได้ แต่นางจะทำข้า หากนางวางยาพิษข้าอีกเล่า เมื่อเป็เช่นนั้นแล้วข้าจะทำอย่างไร?”
หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังจะร้องไห้ด้วยท่าทางที่ดูน่าสงสารเหมือนเด็กน้อยผู้โดดเดี่ยวที่กำลังขอให้ผู้ใหญ่พาเขาไปด้วย
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
นี่มันอะไรกัน [4] คนผู้นี้กำลังพยายามหลอกนางด้วยท่าทางขมขื่นอยู่หรือไม่? ยังหวังพึ่งนางอีกหรือ?
เสียใจด้วย...นางไม่กินสิ่งนี้ [5] !
แต่สำหรับสิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวมา ใจของมู่จื่อหลิงยังไม่อาจบอกได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่ ต้องบอกว่า มันฟังดูสมเหตุสมผลจริงๆ
ยามนี้ฮองเฮากำลังโกรธจัด และเป็การยากที่จะดับไฟ อีกทั้งหลงเซี่ยวเจ๋อก็เป็หนึ่งในผู้ริเริ่มจุดไฟในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ในความเป็จริงหลงเซี่ยวเจ๋อเป็เด็กที่น่าสงสารมาก
แม้ว่าเขาจะมีสถานะที่โดดเด่น ทั้งยังใช้ชีวิตโดยการสวมใส่ชุดสีทองและทานอาหารหยก [6]
แต่สำหรับคนที่ไม่อาจนั่งนิ่งได้เกินสามนาทีเช่นนี้ มันช่างน่าอึดอัดจริงๆ ที่ต้องอยู่ในกรงที่เรียกว่าวังหลวงตลอดเวลา
หากหลงเซี่ยวเจ๋ออยู่ในวัง เขาคงไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น...เพื่อที่ครั้งหน้าจะไม่ต้องพบหลงเซี่ยวเจ๋อในคราบคนขอทานสวมผ้าขี้ริ้ว
มู่จื่อหลิงยักไหล่อย่างไม่สนใจ แล้วเอ่ยเตือนอย่างติดตลกว่า “หากเ้าไม่กลัวพี่สาม ก็มากับข้าเถอะ”
ก่อนที่นางจะพูดจบ นางก็ดึงชายกระโปรงที่หลงเซี่ยวเจ๋อจับไว้แน่นขึ้นมาโดยไม่ต้องรอให้หลงเซี่ยวเจ๋อตอบสนอง แล้วหันหน้าไป เดินมุ่งไปทางประตูวัง
หลงเซี่ยวเจ๋อหยุดนิ่งเป็เวลาแวบหนึ่ง
แต่หลังจากที่ต่อสู้กับตนเองอยู่ภายในใจอย่างดุเดือด เขาก็หันหน้ากลับไป และเดินไปทางประตูวังหลวงตามรอยเท้าของมู่จื่อหลิง
-
ประตูวังหลวง
มีรถม้าสองคันหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่จอดอยู่ไม่ไกลจากนอกวังมากนัก
รถม้าคันเล็กนั้นจะบอกว่าเล็กก็ไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับรถม้าอีกคันที่ดูหรูหราแล้ว มันก็ดูเล็กลงไปมากจริงๆ
เห็นเพียงรถม้าคันใหญ่มีความงดงามและหรูหราอลังการ ม่านรถล้อมรอบด้วยมุกและหยก ล้อมด้วยผ้าไหม เป็ม่านผ้าไหมผืนใหญ่ซึ่งถูกปักด้วยดิ้นสีแดงเข้มลายดอกเหมย แลดูโอ่อ่าและทรงพลัง ยามสายลมพัดผ่านจนผ้าพลิ้วไหว ราวกับจะทำให้มันกลายเป็ของจริง
รถม้าขนาดใหญ่ที่สวยหรูทำจากไม้จันทน์สีแดง เนื้อััที่เรียบเนียน ผนังทั้งสองข้างของรถม้าประดับด้วยหยกที่ถูกแกะสลักเป็ลายดอกไม้และปลาทองอย่างประณีต ทั้งยังมีสีสันที่สวยสด พู่หลากสีห้อยรอบโครงรถและปลิวไปตามสายลม แกว่งไปมาอย่างมีสีสัน
รถม้าทั้งคันประดับด้วยทองคำและหยก ให้บรรยากาศระดับที่หรูหรา งดงามตระการตา แต่ท่ามกลางความงามนั้น กลับมีความเงียบงันที่เอื้อมไม่ถึง
ที่สะดุดตายิ่งกว่าคือม้าสองตัวที่อยู่ข้างหน้ารถม้า
เห็นเพียงม้าที่ดูไม่ธรรมดาสองตัว ตัวหนึ่งสีนิลและอีกหนึ่งตัวสีขาว ยืนอยู่หน้ารถม้าขนาดใหญ่อย่างเงียบๆ
ม้าสองตัวนั้นก็เกินพอแล้ว
ม้าตัวสีขาวนั้นแลดูน่าทึ่ง มันให้ความรู้สึกถึงม้าพยศ มีกลิ่นอายของความเย่อหยิ่งจางๆ
แต่เมื่อเทียบกับม้าสีนิลแล้ว ม้าสีนิลนั้นดูโเี้ มีกลิ่นอายที่บ่งบอกว่าคนแปลกหน้าไม่ควรเข้าใกล้ อย่างที่ทราบกันดี ทันทีที่เห็นม้าสีดำตัวนี้ ก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันเป็รถม้าเฉพาะของฉีอ๋อง มันคือม้าเปินเหลย
เมื่อมองผ่านม่านเก๋งหยกอันงดงาม จะสามารถมองเห็นหลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังนั่งไขว้ขาอยู่ภายในรถม้าได้ เขานั่งเอนกายอย่างสง่างามอยู่บนเบาะนุ่มหรูหรา
สวมชุดสีขาวเนื้อนุ่มที่ปักด้วยดิ้นทองเบาๆ บนชุดคลุมตรงชายผ้ามีลวดลายที่บิดไปมาจนคล้ายลายเมฆา ลายนูนเด่นเป็ชั้นบนขอบที่อ่อนนุ่ม แลดูหล่อเหลา เปล่งประกายและทรงพลัง
ด้านนอกรถม้า ฝูหลินคนขับรถม้าคันเล็กกำลังยืนตัวสั่นอยู่หน้ารถม้าคันใหญ่ ทั้งยังโน้มตัวลงคุกเข่า
ด้วยก่อนหน้านี้มู่จื่อหลิงได้แจ้งฝูหลินไว้ว่านางจะออกมาก่อนมืด
แต่ฝูหลินคาดไม่ถึงว่า มู่จื่อหลิงจะไม่ออกมาจากประตูวังตลอดทั้งคืน และคนใช้ตัวน้อยอย่างเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้โดยปราศจากคำสั่งของผู้เป็นาย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรอคอยอยู่นอกวังหลวง
สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ การที่ฉีอ๋องจะเสด็จมาั้แ่เช้าตรู่เช่นนี้
พระองค์เสด็จมาวังหลวงแต่ไม่เข้าไป จุดประสงค์นั้นจึงชัดเจนในตัวของมันเองแล้ว
หลังจากบทเรียนอันแสนเ็ปจากครั้งที่แล้ว ฝูหลินรู้สึกว่าเื่ในครั้งนี้คงไม่จบลงเพียงแค่หวดหลังร้อยครั้ง ครั้งนี้จะรอดหรือไม่ยังเป็อีกคำถามหนึ่ง
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ฝูหลินก็รู้สึกเ็ปอย่างน่าเศร้าในหัวใจของตน แผ่นหลังของเขามีเหงื่อหยดลงมา ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
แม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการรองรับบทลงโทษ แต่ไม่ว่าจะเป็คนที่แข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทนต่อการลงโทษที่ฉีอ๋องมอบให้ได้!
โธ่! ไม่รู้ว่ามันเป็พรหรือคำสาปที่มีนายหญิงที่ชอบทำตัวน่าเป็ห่วงเช่นนี้ ฝูหลินรู้สึกเ็ปในใจ!
ทั้งยังมีกุ่ยหยิ่งที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของรถม้าด้วยท่าทางนอบน้อม
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เ้าเป็หมูหรือ (你是猪吗) เป็วลีที่คนในโลกออนไลน์มักใช้กัน มีความหมายว่าคนโง่ ใช้ในการดุหรือหยอกล้อ แต่บางครั้งก็หมายถึงอ้วนเหมือนหมูได้เช่นกัน
[2] สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก (江山易改,本性难移) เป็วลี มีความหมายว่า หน้าตาของแม่น้ำ ูเานั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แต่นิสัยสันดานคนกลับเปลี่ยนได้ยากมาก ใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์คนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง
[3] คลื่นลม (掀浪) มีความหมายว่ายุยง ปลุกปั่น กระตุ้นให้เกิดปัญหาและความเดือดร้อน
[4] นี่มันอะไรกัน (敢情) มีความหมายว่าพบสถานการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งไม่สามารถเข้าใจมันได้ ทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยง
[5] ไม่กินสิ่งนี้ (不吃这套) เป็สำนวน มีความหมายว่าไม่ยอมรับ (การกระทำแบบนี้) หรือไม่เล่นด้วย
[6] สวมใส่ชุดสีทองและทานอาหารหยก (锦衣玉食) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า อยู่ดีกินดี เป็การบรรยายชีวิตที่หรูหรา ได้ทานอาหารล้ำค่า สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้